ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯมีมติเลือกองค์คณะวินิจฉัยคำร้อง ป.ป.ช.“ยงยุทธ ติยะไพรัช-สมบัติ อุทัยสาง” 2 รัฐมนตรียุคทักษิณ จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ รอฟังคำสั่งศาลฎีกาฯรับฟ้องหรือไม่
วันนี้ (25 ก.พ.) ที่ศาลฎีกา สนามหลวง ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯเรียกประชุมผู้พิพากษาเพื่อคัดเลือกผู้พิพากษาจำนวน 9 คน เป็นองค์คณะพิจารณาคำร้องหมายเลขดำ อม.2/2552 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อต้นเดือน ก.พ.2552 ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยกรณีที่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรัฐบาลยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จต่อป.ป.ช.หลังจากพ้นจากตำแหน่ง ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 263
โดยผลการลงคะแนนที่ประชุมใหญ่มีมติเลือก นายณรงค์พล ทองจีน, นายมนูพงศ์ รุจิกัณหะ, นางเปรมใจ กิติคุณไพโรจน์, นายชัยวุฒิ โลหชิตรานนท์, นางอัปษร หิรัญบูรณะ, นายสมศักดิ์ ตันติภิรมย์, นายศิริชัย จิระบุณศรี, นายกีรติ กาญจนรินทร์ และ นายสมศักดิ์ อเนกพุฒิ
ขณะเดียวกัน วันนี้ที่ประชุมใหญ่ยังเลือกผู้พิพากษา 9 คน เป็นองค์คณะพิจารณาคำร้องหมายเลขดำ อม.3/2552 ที่ ป.ป.ช.ยื่นต่อศาลฎีกาฯเพื่อให้วินิจฉัยกรณีที่ นายสมบัติ อุทัยสาง อดีตรมช.มหาดไทย สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯมีมติเลือก นายสมศักดิ์ ตันติภิรมย์, นายณรงค์พล ทองจีน, นางเปรมใจ กิติคุณไพโรจน์, นายมนูพงศ์ รุจิกัณหะ, นายศิริชัย จิระบุญศรี, นายชัยวุฒิ โลหชิตรานนท์, นายสมศักดิ์ อเนกพุฒิ, นางอัปษร หิรัญบุรณะ และ นายเกษม วีรวงศ์ โดยศาลฎีกาฯ จะปิดประกาศรายชื่อองค์คณะให้คู่ความทราบ ซึ่งหากคู่ความฝ่ายใดประสงค์จะยื่นคัดค้านผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะ ให้ดำเนินการก่อนที่ศาลจะนัดพิจารณาคดี ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ จะนัดฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องคำร้องของ ป.ป.ช.ไว้พิจารณาเพื่อมีคำวินิจฉัยหรือไม่ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามรัฐธรรมนุญฯมาตรา 263 บัญญัติว่า หากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ หรือจงใจ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ให้ ป.ป.ช.เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยต่อไป ถ้าศาลฎีกาฯวินิจฉัยว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำผิด ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งในวันที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัย และผู้นั้นต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลวินิจฉัยด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับกรณี นายยงยุทธ ได้ยื่นแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อป.ป.ช.ระบุว่า ได้ขายหุ้นบริษัท มิติฟู้ดโปรดักส์ จำนวน 24,500 หุ้น ให้แก่ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ยุววรรณ ซึ่งเป็นน้องภริยา เป็นเงิน 2.45 ล้านบาท แต่ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ชำระเป็นเงินสดจำนวน 8.5 แสนบาท ส่วนที่ค้างชำระอีก 1.6 ล้านบาท ได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ไว้ แต่จากการตรวจสอบพบว่า นับตั้งแต่วันจดทะเบียนจนถึงปัจุบันรวม 18 ปีเศษ บริษัทดังกล่าวไม่ได้ประกอบกิจการค้าแต่อย่างใด และ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ไม่มีฐานะการเงินเพียงพอที่จะชำระเงินค่าหุ้นเป็นเงินสดได้ถึง 8.5 แสนบาท จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่าไม่มีการซื้อขายหุ้นกันจริง และไม่มีเงินให้กู้ยืมตามที่ได้แสดงบัญชีไว้ แต่ นายยงยุทธ ต้องการหลีกเลี่ยงจากการที่จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี
ส่วนกรณีของ นายสมบัติ นายสมบัติ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.แต่ไม่ได้แสดงรายการทรัพย์สินของคู่สมรสที่อยู่ในของบุตรและหรือมีชื่อร่วมกับบุตรในบัญชีฯ ที่มีหน้าที่ต้องแสดงต่อคณะกรรมการทั้ง 9 ครั้ง คือ เงินฝากของ นางสุจิวรรณ อุทัยสาง คู่สมรส ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาคอนแวนต์ 3 บัญชี และมีชื่อร่วมกับบุตรในบัญชีเงินฝากธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาพุทธมณฑล 6 บัญชี ซึ่งมียอดรวมของเงินฝาก ณ วันเข้ารับตำแหน่ง พ้นจากตำแหน่ง และพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี รวม 9 ครั้ง จำนวนเงินอยู่ระหว่าง 86,263,255.88-111,503,500.69 บาท
ทั้งนี้ นายสมบัติ ชี้แจงว่า คู่สมรสเห็นว่า เป็นเงินของบุตรทั้ง 3 คน ที่บรรลุนิติภาวะแล้วจึงไม่ต้องแสดงต่อคณะกรรมการ แต่จากพยานหลักฐานฟังได้ว่า ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของ นายสมบัติ อุทัยสาง และ นางสุจิวรรณ อุทัยสาง คู่สมรส ที่อยู่ในชื่อของคู่สมรสและบุตร ซึ่งการที่ นายสมบัติ ไม่ได้แสดงบัญชีเงินฝากของตนเอง และคู่สมรสที่อยู่ในชื่อของบุตรหรือคู่สมรสมีชื่อร่วมกับบุตรทั้ง 9 บัญชีดังกล่าว เป็นการปกปิดไม่ให้คณะกรรมการตรวจพบถึงจำนวนทรัพย์สินที่แท้จริงของตน