“อธิบดีศาลแรงงานภาค 6” ทายาทถูกปลอมใบหุ้น 67 ล้าน เผยเสียความรู้สึก กก.ตรวจสอบบริษัท ยังไม่มีมติเยียวยา อ้างผลสอบภายในและคดีความยังไม่ชัดเจน พร้อมเดินหน้าฟ้องแพ่ง-อาญา ชี้ ควรทบทวนรางวัลดีเยี่ยมด้านบริหารจัดการ
วันนี้ (25 ก.พ.) นายเกียรติพงศ์ อมาตยกุล อธิบดีศาลแรงงานภาค 6 กล่าวชี้แจงกรณี นายประพันธ์ ชูเมือง พนักงานเครือบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) ปลอมใบหุ้นบริษัท มูลค่า 67 ล้านบาท ว่า ในวันนี้ตนได้รับแจ้งจาก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย เกี่ยวกับมติที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เกี่ยวกับกรณีการพิจารณาให้คำตอบการช่วยเหลือ หรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กองมรดกผู้ถือหุ้นของบริษัท
เนื่องจากกรณีการปลอมใบหุ้นของ นายประพันธ์ พนักงานบริษัทที่ประชุมมีมติเห็นว่า ขณะนี้ข้อเท็จจริงที่รวบรวมได้จากการสอบสวนภายใน และจากพนักงานสอบสวนที่บริษัท ได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้ ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนจนถึงขนาดทำให้บริษัทต้องรับผิดชอบในทางกฎหมาย ที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กองมรดกของผู้ถือหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการคืนเป็นหุ้น หรือชดใช้เป็นเงิน ซึ่งต้องรอข้อเท็จจริงหรือผลสรุปให้แน่ชัดเสียก่อน จึงไม่อาจให้คำตอบได้ว่าบริษัทจะรับผิดชอบหรือไม่
นายเกียรติพงษ์ กล่าวว่า ตนในฐานะที่เป็นทายาทของ นายวรรโณทัย อมาตยกุล บิดาซึ่งเสียชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นดั้งเดิม ที่มีความรัก และเชื่อมั่นต่อบริษัทมาโดยตลอดตั้งแต่บิดายังมีชีวิตอยู่ รู้สึกเสียใจถึงบทบาทและท่าทีของการตัดสินใจของบริษัทในครั้งนี้ โดยบริษัทควรจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นอย่างที่ควรจะเป็นอย่างรวดเร็ว แต่กลับอาศัยขั้นตอนของความล่าช้าของคดีความมาเป็นเหตุผลการปฏิเสธความรับผิดชอบ แสดงให้เห็นว่า รางวัลของบริษัทที่ได้รับ คือ บริษัทดีเยี่ยมอันดับ 1 ได้รับการการันตีคุณภาพจากหลายสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เช่น รางวัลบริษัทดีเยี่ยมอันดับ 1 ของไทยด้านการบริหารจัดการ ด้านการดำเนินการธุรกิจ ด้วยหลักการบรรษัทภิบาล รวมทั้งรางวัลบริษัทจดทะเบียนยอดเยี่ยมด้านการดูและผู้ถือหุ้นจากศูนย์ฝากหลักทรัพย์ เห็นควรที่จะให้หน่วยงานหรือผู้มอบรางวัลดังกล่าวควรจะเข้ามาทำการทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อยืนยันหรือควรเรียกคืนรางวัลจากบริษัท
“หลังจากนี้ไป จะมอบหมายทนายความให้พิจารณาว่าจะต้องดำเนินคดีทางแพ่ง ทางอาญา และทางบริหารกับผู้กระทำความผิดในเรื่องนี้ทั้งหมดและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ต่อไปหรือไม่อย่างไร เพื่อเยียวยาความเสียหายและชื่อเสียงของตระกูลที่ควรจะปกป้องและรักษาต่อไป” นายเกียรติพงษ์ กล่าว