วันศุกร์ 13 ถือว่าเป็นวันอัปมงคลตามความเชื่อของชาวตะวันตก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีผลต่อความเชื่อของตำรวจไทยหรือไม่ เพราะที่แน่ๆ วันศุกร์ที่ 13 ก.พ.นี้ ซึ่งมีกำหนดการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณาแต่งตั้ง พล.ต.อ. ระดับรอง ผบ.ตร. มีอันต้องให้เลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนดอีกครั้ง
ผู้ที่ถูกจับตามองว่า น่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้มีเพียง 3 คนประกอบด้วย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ประจำ ตร. นรต.28 ซึ่งขึ้นเป็น พล.ต.อ.มานานแต่ยังไม่สามารถเข้าตำแหน่งหลักเป็นรอง ผบ.ตร.ได้ จนคณะอนุกรรมการ ก.ตร.อุทธรณ์มีมติให้แต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร เข้าตำแหน่งหลักในโอกาสแรกที่มีการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ซึ่งน่าจะมีภาษีดีกว่าคนอื่นตามแง่ของกฏหมาย อีกทั้งหากพิจารณาผลงานก็ได้รับมอบหมายงานสำคัญให้ดูแลหลายครั้ง ทั้งการเลือกตั้งในบรรยากาศการเมืองที่ร้อนระอุ และงานด้านความมั่นคงที่แม้แต่ รอง ผบ.ตร.หลายคนก็ยังไม่กล้ารับ เพราะเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานที่มีการปรับเปลี่ยนทางการเมืองกันบ่อย
อีกคนหากพิจารณาตามลำดับอาวุโสในระดับ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ชลอ ชูวงศ์ นรต.26 ที่ได้คำสั่งศาลปกครองกลางคืนสิทธิลำดับอาวุโสให้เท่ากับก่อนที่จะถูก คมช.ย้ายให้ไปช่วยราชการเป็นที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี จึงทำให้ลำดับอาวุโสระดับ ผู้ช่วย ผบ.ตร.เปลี่ยนไป คือ พล.ต.อ.ชลอ อันดับที่ 1 พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ อันดับที่ 2 พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส อันดับที่ 3 และ พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อันดับที่ 4 ซึ่งโดยปกติก็มักจะพิจารณาเลือกจากลำดับอาวุโสก่อนตามธรรมเนียม
แต่ตัวเต็งที่น่ากลัวกลับกลายเป็น พล.ต.ท.วัชรพล นรต.29 ที่มีผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการโดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.นั่นเอง ซึ่งที่ต้องการจะสนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นรอง ผบ.ตร. โดยชี้แจงในที่ประชุมด้วยตนเองว่า พล.ต.ท.วัชรพล มีความเหมาะสมกับตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ฝ่ายบริหารที่ว่างนี้ เนื่องจากเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร.เพียงคนเดียวที่ดูงานด้านบริหาร ซึ่งว่ากันว่าถึงกับทำให้เกิดการถกเถียงในที่ประชุมวันนั้น ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธาน เนื่องจากหากที่ประชุมเห็นชอบตามที่ ผบ.ตร.เสนอการแต่งตั้งครั้งนี้ คงจะข้ามหน้าข้ามตา ข้ามรุ่น ข้ามอาวุโส ฯลฯ จนต้องมีมติสรุปให้ไปลำดับอาวุโสมาใหม่ และให้ พล.ต.อ.พัชรวาท เสนอรายชื่อในที่ประชุมในวันศุกร์ที่13 นี้
อย่างไรก็แล้วแต่ ใช่ว่าจะหมดหนทางสำหรับ พล.ต.ท.วัชรพล เพราะเป็นลูกน้องที่โปรดปรานที่สุดยามนี้ของ ผบ.ตร. ด้วยต้องทำหน้าที่หลายอย่าง ทั้งงานโฆษก ตร. ที่ต้องคอยตอบคำถามแทน ผบ.ตร.ที่ยังไม่กล้าตอบ หรืองานปรับโครงสร้างตำรวจที่ดูแลรับผิดชอบอยู่ แต่การข้ามอาวุโส ก็ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะเมื่อครั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ก็ถูกดันข้ามอาวุโส พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวสมาครั้งหนึ่งแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ ที่อาวุโสไม่ถึง แต่ผลงานโดดเด่นและหลายคนก็คอยลุ้นให้ได้ขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร.คงไม่พ้น พล.ต.ท.อดุลย์ นรต.29 ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอาสาลงทำงานพื้นที่แก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้มาหลายปี จนได้รับการชื่นชมจากทุกฝ่ายเพราะเป็นผู้ที่ทำงานจริงจังและรู้ปัญหาอย่างแท้จริงเพราะทำงานอยู่แต่ในพื้นที่มาโดยตลอด ไม่ใช่ประเภทพวกที่ทำงานอยู่หาดใหญ่แล้วอ้างว่าลงพื้นที่อย่างแน่นอน
งานนี้ก็ไม่อยากไปเต็งว่าใครจะได้ขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร.เพราะทุกคนก็ล้วนมีลุ้น และมีโอกาสพลิกโผในนาทีสุดท้ายได้ทุกเมื่อ เอาเป็นว่า วันศุกร์ที่ 13 ก.พ.นี้ แม้จะไม่มีการประชุมเพื่อพิจารณาผู้ดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร. แต่ก็คาดว่า ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ การประชุมน่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีล่มหรือล้มเหมือนครั้งที่เพิ่งผ่านมา แต่เชื่อหรือไม่ว่า เก้าอี้รอง ผบ.ตร.ตัวนี้ ใครได้ไป ถือเป็น“ทุกขลาภ” ย่อมนั่งไม่เป็นสุขแน่ เพราะต้องมีการฟ้องร้องตามมากันชนิดอีนุงตุงนัง เพราะต่างคน มัวแต่จ้องมองแต่เก้าอี้ที่จะไปนั่ง แต่ไม่เคยมองดูตัวเองเลยว่า เหมาะสมกับตำแหน่งนี้หรือไม่!
ผู้ที่ถูกจับตามองว่า น่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้มีเพียง 3 คนประกอบด้วย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ประจำ ตร. นรต.28 ซึ่งขึ้นเป็น พล.ต.อ.มานานแต่ยังไม่สามารถเข้าตำแหน่งหลักเป็นรอง ผบ.ตร.ได้ จนคณะอนุกรรมการ ก.ตร.อุทธรณ์มีมติให้แต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร เข้าตำแหน่งหลักในโอกาสแรกที่มีการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ซึ่งน่าจะมีภาษีดีกว่าคนอื่นตามแง่ของกฏหมาย อีกทั้งหากพิจารณาผลงานก็ได้รับมอบหมายงานสำคัญให้ดูแลหลายครั้ง ทั้งการเลือกตั้งในบรรยากาศการเมืองที่ร้อนระอุ และงานด้านความมั่นคงที่แม้แต่ รอง ผบ.ตร.หลายคนก็ยังไม่กล้ารับ เพราะเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานที่มีการปรับเปลี่ยนทางการเมืองกันบ่อย
อีกคนหากพิจารณาตามลำดับอาวุโสในระดับ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ชลอ ชูวงศ์ นรต.26 ที่ได้คำสั่งศาลปกครองกลางคืนสิทธิลำดับอาวุโสให้เท่ากับก่อนที่จะถูก คมช.ย้ายให้ไปช่วยราชการเป็นที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี จึงทำให้ลำดับอาวุโสระดับ ผู้ช่วย ผบ.ตร.เปลี่ยนไป คือ พล.ต.อ.ชลอ อันดับที่ 1 พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ อันดับที่ 2 พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส อันดับที่ 3 และ พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อันดับที่ 4 ซึ่งโดยปกติก็มักจะพิจารณาเลือกจากลำดับอาวุโสก่อนตามธรรมเนียม
แต่ตัวเต็งที่น่ากลัวกลับกลายเป็น พล.ต.ท.วัชรพล นรต.29 ที่มีผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการโดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.นั่นเอง ซึ่งที่ต้องการจะสนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นรอง ผบ.ตร. โดยชี้แจงในที่ประชุมด้วยตนเองว่า พล.ต.ท.วัชรพล มีความเหมาะสมกับตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ฝ่ายบริหารที่ว่างนี้ เนื่องจากเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร.เพียงคนเดียวที่ดูงานด้านบริหาร ซึ่งว่ากันว่าถึงกับทำให้เกิดการถกเถียงในที่ประชุมวันนั้น ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธาน เนื่องจากหากที่ประชุมเห็นชอบตามที่ ผบ.ตร.เสนอการแต่งตั้งครั้งนี้ คงจะข้ามหน้าข้ามตา ข้ามรุ่น ข้ามอาวุโส ฯลฯ จนต้องมีมติสรุปให้ไปลำดับอาวุโสมาใหม่ และให้ พล.ต.อ.พัชรวาท เสนอรายชื่อในที่ประชุมในวันศุกร์ที่13 นี้
อย่างไรก็แล้วแต่ ใช่ว่าจะหมดหนทางสำหรับ พล.ต.ท.วัชรพล เพราะเป็นลูกน้องที่โปรดปรานที่สุดยามนี้ของ ผบ.ตร. ด้วยต้องทำหน้าที่หลายอย่าง ทั้งงานโฆษก ตร. ที่ต้องคอยตอบคำถามแทน ผบ.ตร.ที่ยังไม่กล้าตอบ หรืองานปรับโครงสร้างตำรวจที่ดูแลรับผิดชอบอยู่ แต่การข้ามอาวุโส ก็ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะเมื่อครั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ก็ถูกดันข้ามอาวุโส พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวสมาครั้งหนึ่งแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ ที่อาวุโสไม่ถึง แต่ผลงานโดดเด่นและหลายคนก็คอยลุ้นให้ได้ขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร.คงไม่พ้น พล.ต.ท.อดุลย์ นรต.29 ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอาสาลงทำงานพื้นที่แก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้มาหลายปี จนได้รับการชื่นชมจากทุกฝ่ายเพราะเป็นผู้ที่ทำงานจริงจังและรู้ปัญหาอย่างแท้จริงเพราะทำงานอยู่แต่ในพื้นที่มาโดยตลอด ไม่ใช่ประเภทพวกที่ทำงานอยู่หาดใหญ่แล้วอ้างว่าลงพื้นที่อย่างแน่นอน
งานนี้ก็ไม่อยากไปเต็งว่าใครจะได้ขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร.เพราะทุกคนก็ล้วนมีลุ้น และมีโอกาสพลิกโผในนาทีสุดท้ายได้ทุกเมื่อ เอาเป็นว่า วันศุกร์ที่ 13 ก.พ.นี้ แม้จะไม่มีการประชุมเพื่อพิจารณาผู้ดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร. แต่ก็คาดว่า ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ การประชุมน่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีล่มหรือล้มเหมือนครั้งที่เพิ่งผ่านมา แต่เชื่อหรือไม่ว่า เก้าอี้รอง ผบ.ตร.ตัวนี้ ใครได้ไป ถือเป็น“ทุกขลาภ” ย่อมนั่งไม่เป็นสุขแน่ เพราะต้องมีการฟ้องร้องตามมากันชนิดอีนุงตุงนัง เพราะต่างคน มัวแต่จ้องมองแต่เก้าอี้ที่จะไปนั่ง แต่ไม่เคยมองดูตัวเองเลยว่า เหมาะสมกับตำแหน่งนี้หรือไม่!