รอง อสส.เผยขั้นตอนตามล่า “ใจ อึ๊งภากรณ์” ตำรวจขอหมายจับ พร้อมระบุถิ่นที่อยู่ ก่อนขอให้อัยการประสานขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ส่วน “ทักษิณ” ยังยื่นคำร้องไม่ได้เพราะไม่มีที่อยู่แน่ชัด ขณะที่ตำรวจระบุหากจงใจหลบหนี เตรียมยื่นถอนและริบหลักประกันทันที
วันนี้ (12 ก.พ.) นายถาวร พานิชพันธ์ รองอัยการสูงสุด กล่าวถึงการติดตามตัวนายใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่หลบหนีไปยังประเทศอังกฤษกลับมาดำเนินคดีว่า เรื่องนี้ถือเป็นหน้าที่โดยตรงของอัยการที่จะดำเนินการติดตามตัวต้องหา อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการประสานขอความร่วมมือเข้ามาจากพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี
นายถาวร กล่าวว่า ตามขั้นตอนการติดตามตัวผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีไปยังต่างประเทศ หากพนักงานสอบสวนเห็นว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนีจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับจากศาล หลังจากจะต้องสืบหาถิ่นที่อยู่ที่ชัดเจนของผู้ต้องหา ก่อนประสานพนักงานอัยการเพื่อตรวจสอบว่าประเทศที่ผู้ต้องหาหลบหนีอยู่นั้น มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับรัฐบาลไทยหรือไม่ ก่อนประสานขอให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีต่อไป
นอกจากนี้ รองอัยการสูงสุดในฐานะประธานติดตามตัวนักการเมืองที่หลบหนีหมายจับไปอยู่ต่างประเทศเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมารับโทษตามคำพิพากษาของศาลในประเทศไทย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ว่าขณะนี้คณะทำงานได้รวบรวม และจัดทำคำแปลเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องไว้พร้อมแล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องถิ่นที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้นจึงยังไม่สามารถดำเนินการขอให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมารับโทษตามคำพิพากษาได้
ขณะเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวถึงการสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า พนักงานสอบสวนนครบาลดำเนินการสอบสวนรวบรวมหลักฐานอย่างต่อเนื่อง และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเพียง 8 คดีส่วนการระทำผิดที่ปรากฏตามในเว็ปไซด์นั้น ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ บช.น.ดำเนินการ
ผบช.น.กล่าวถึงกรณีนายใจ อึ๊งภากรณ์ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาอยู่ระหว่างการหลบหนีในต่างประเทศรวมถึงผู้ต้องหารายอื่นๆ ที่หลบหนีหมายจับว่า หลักการขั้นตอนดำเนินการมีอยู่แล้วซึ่งกรณีของนายใจนั้นได้ให้ประกันตัวไปก่อนหน้า หากพนักงานสอบสวนเรียกมาสอบปากคำเพิ่มเติมแล้วไม่มาก็ถือว่ามีความผิดสามารถพิจารณาถอนประกันหรือปรับนายประกันและยึดหลักทรัพย์ได้ แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นการหลบหนีจริงหรือไม่ หากพบว่าหลบหนีต้องดูในข้อกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนว่าประเทศนั้นๆมีหรือไม่ หากมีก็ต้องให้ตำรวจสากลหรืออัยการดำเนินการตามขั้นตอน
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะโฆษกตร. กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า นายใจ สามารถ เดินทางออกไปได้ แต่ทั้งนี้หากถึงเวลาที่พนักงานสอบสวนรวบรวมสำนวนคดี เพื่อส่งฟ้องต่ออัยการ ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้ต้องหาไปส่งฟ้องด้วย ถึงตอนนั้นหากนายใจไม่อยู่ ไม่มาแสดงตัว พนักงานสอบสวนก็จะต้องออกหมายจับตามกฎหมาย จากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนสืบสวนว่าผู้ต้องหาอยู่ในประเทศไหนก็ต้องประสาน อัยการสูงสุดดำเนินการเอาตัวมาดำเนินคดี
ส่วนกรณีที่นายใจไปออกแถลงการณ์ ในต่างประเทศ ที่อาจเข้าข่ายก้าวล่วง หมิ่นสถาบัน นั้น โฆษกตร. กล่าวว่า เรื่องนี้ ต้องตรวจสอบข้อกฎหมายว่า การกระทำดังกล่าวใน ประเทศนั้นๆ เข้าข่ายผิดกฎหมาย สามารถดำเนินคดีตามกฎหมายไทยหรือไม่ ซึ่งต้องตรวจสอบในรายละเอียดอีกครั้ง หากสามารถดำเนินคดีได้ก็ต้องดำเนินการต่อไป