สุดท้ายก็ต้องโบกมือลาเก้าอี้ แม่ทัพนครบาล ของ “บิ๊กเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.เมื่อเข้ามานั่งตำแหน่งนี้ได้เพียง 5 เดือน เพราะการเข้ามาครองตำแหน่ง ผบช.น.ด้วยความที่เป็นคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อนร่วมรุ่น นรต.26 ในยุคที่ พรรคพลังประชาชน ที่นำโดย นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และต้องการขจัดเสี้ยนหนามสำคัญ คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมยืดเยื้อเพื่อโค่นล้มรัฐบาลนอมินี และไม่พอใจผลงาน ของ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่อยู่ในตำแหน่ง น.1 ขณะนั้น จึงต้องการคนที่สามารถชี้ซ้ายชี้ขวาได้ ชื่อ ของ “บิ๊กเบื๊อก” จึงถูกเสนอเข้ามานั่งเก้าอี้แม่ทัพเมืองหลวงอย่างมิอาจหลีกหนี
และผลงานของบิ๊กเบื๊อกก็ไม่ทำให้ผู้ที่ผลักดันเข้ามานั่งตำแหน่งนี้ต้องผิดหวัง เพราะเพียงการเข้ามารับตำแหน่งได้เพียง 7 วัน การสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา จนมีคนเจ็บและตายจำนวนมาก จนกลายเป็นการตรวจสอบจากคณะกรรมการกลาง ว่า ใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นบ้าง และ “บิ๊กเบื๊อก” ต้องเป็น 1 ในผู้ที่ถูกคณะกรรมการกลางพิจารณา เพราะเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์โดยตำแหน่ง ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุการณ์นองเลือด 7 ตุลาคม ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดง ของ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.จนต้องกระเด็นตกเก้าอี้เมืองหลวง ระเห็จไปคุมภาคอิสานตอนบน ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4
แม้ครั้งแรกจะมีการลือออกมาอย่างหนาหู ว่า ผู้ที่จะเข้ามานั่งแทน คือ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู จเรตำรวจ (สบ8) นรต.27 สามี นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู หรือ แม่เลี้ยงติ๊ก เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นคนที่มีความสนิทชิดเชื้อกับพรรคประชาธิปัตย์ มากที่สุดคนหนึ่ง แต่เมื่อการประชุม ก.ตร.ในท้ายที่สุดที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม และผู้ได้รับอำนาจเต็มจากนายกรัฐมนตรี ในการพิจารณาโยกย้ายนายตำรวจ แม้ที่ผ่านมาหน้าที่ดังกล่าวผู้ทำหน้าที่นายกฯ มักจะเป็นคนที่มานั่งประธานด้วยตนเอง และสุดท้ายโผกลับพลิกมาลงที่ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก.นรต.30 ขยับมานั่งในตำแหน่งนี้แทน ส่วนหนึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นลดแรงเสียดทานจากหลายฝ่าย
สำหรับ พล.ต.ท.วรพงษ์ ถือเป็นนายตำรวจที่เป็นกลางทางการเมือง ไม่มีภาพความเกี่ยวพันกับนักการเมือง ทั้งซีก พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคร่วมรัฐบาล และเป็นนายตำรวจที่ได้รับการยอมรับในวงการสีกากี มีความสามารถด้านการสืบสวนและการบริหาร ผ่านการเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ยุค คมช.ก่อนจะโยกมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา เคยไปทำงานแก้ปัญหาชายแดนจังหวัดภาคใต้ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เติบโตเป็นนายพลตำรวจคนแรกของรุ่น นรต.30 มีเพื่อนที่โด่งดัง เช่น พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล พล.ต.ต.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น.เป็นต้น
แต่เก้าอี้ ผบช.น.ในยุคที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครอยู่ครบเทอม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาถรรพ์ปืนใหญ่ที่สถิตย์อยู่ที่สนามด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล เพราะในอดีต ผบช.น.อย่าง พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี และ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ที่เข้ามากุมตำแหน่งเจ้าของรหัส น.1 แล้วดันไปย้ายปืนใหญ่ ใน บช.น.เข้า ก็มีอันให้เด้งกระเด็นกระดอนไปจากตำแหน่งเสีย แต่ยุคของ “บิ๊กเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว นั้น แม้ไม่ได้ทำการย้ายปืนใหญ่กระบอกนั้นไป แต่หลังจากเข้านั่งตำแหน่งครองเก้าอี้ได้เพียง 6 วัน ปืนใหญ่ใน บช.น.ถึงกับพังทลายลงมา เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ปีที่ผ่านมา และเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ปีนี้ แอบเห็น บิ๊กเบื๊อก เอาดอกไม้ไปไหว้ที่ ปืนใหญ่ ไม่รู้อธิษฐานให้ตัวเองรอดอยู่ตำแหน่งเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้ ??!!