xs
xsm
sm
md
lg

อุทธรณ์ยกฟ้อง “เบอร์ซาตู” ป่วนใต้ ชี้พยานขาดน้ำหนัก

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายยา อะแด จำเลยที่ 3
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ยกฟ้อง “นายยา อะแด” จำเลยคดีกบฏแบ่งแยกดินแดน ก่อตั้งขบวนการ “เบอร์ซาตู” ก่อเหตุป่วนใต้ ชี้พยานโจทก์ไร้ขาดน้ำหนัก

วันนี้ (12 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 613 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอาญาออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่พนักงานอัยการกองคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ฟ้อง นายอิลยาซ มะลี อายุ 42 ปี, นายมะเพาซี สะเตง อายุ 30 ปี และนายยา อะแด อายุ 61 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจรและสมคบกันเป็นกบฏ

คดีนี้โจทก์เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2547 โดยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 1 และ 2 ได้เสียชีวิตในระหว่างอุทธรณ์ศาลจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 และ 2 ได้ให้นายประกันมารับหลักทรัพย์คืน ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนของจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่สามารถพูดฟังภาษาศาลจึงต้องใช้ล่ามภาษายาวีอธิบายคำพิพากษาให้จำเลยฟัง

คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ.2542 ถึงเดือน ก.พ.2545 พวกจำเลยได้ร่วมกันจัดประชุม รวมตัวขบวนการก่อการร้าย กลุ่มพลูโลเก่า พลูโลใหม่ บีอาร์เอ็น มูจาฮีดีน ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อมาได้มีการรวมกลุ่มกันใช้ชื่อว่า“เบอร์ซาตู” แปลว่าหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นขบวนการที่ปกปิดวิธีดำเนินการ มีวัตถุประสงค์ต้องการแบ่งแยกดินแดน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลาบางส่วนออกจากราชอาณาจักรไทย เป็นรัฐอิสระปัตตานีดารุสลาม มีจำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้า และจำเลยที่ 2-3 กับพวกที่ยังหลบหนีเป็นสมาชิกรวมกันยุยุง ปลุกปั่นให้ประชาชนไทยที่นับถือศาสนาอิสลามรวมเป็นสมาชิก วางแผนก่อการร้าย ใช้มีดฟันคอพระ ลอบยิง-วางระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารและระเบิดสถานที่ราชการ สร้างความปั่นป่วนกับประชาชนให้เกิดความในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์คำเบิกความ และพยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายนำสืบหักล้างแล้วเห็นว่า พยานโจทก์ปากนายมะลาเซ็ม สมาชิก อบต.ลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลาประจักษ์พยาน เบิกความว่า เมื่อเดือน ต.ค.2544 จำเลยที่ 1 ชักชวนให้ไปร่วมประชุมที่สวนยางพาราร่วมกับชายอีก 20 คน โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าบอกว่า ชาวรัฐปัตตานีถูกประเทศไทยมาข่มเหงยึดครองไป จำเป็นต้องแยกออกมาเพื่อให้ชาวมุสลิมปกครองกันเอง โดยจะต้องรวมกับกลุ่มต่างๆที่ก่อความไม่สงบในภาคใต้ สำหรับผลงานของกลุ่มคือการวางระเบิดสะพานปะนังสะตา ส่วนจำเลยที่ 2-3 เป็นผู้ควบคุมการประชุม โดยจำเลยที่ 1 กำชับว่าให้ทำตามคำสั่งและไม่ให้แจ้งเจ้าหน้าที่รัฐไม่เช่นนั้นจะฆ่าให้ตาย และเมื่อเดือน ม.ค.2545 จำเลยที่ 2 ยังได้นำปืนเล็กกล เอ็ม-16 เอ-1 ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 มาให้ฝึกยิงบนภูเขาในสวนยางห่างบ้านไป1ก.ม. และ พยานยังได้ร่วมประชุมกับพวกจำเลยที่บ้านพยานอีก 2-3 ครั้ง แต่นายดอรอแม บิดาของพยานทราบจึงห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวอีก ต่อมาบิดาของพยานถูกยิงเสียชีวิต เชื่อว่ามาจากสาเหตุที่พยานถอนตัวออกจากขบวนการ และได้ไปแจ้งให้กำนัน ต.ลำใหม่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ

จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า เป็นโต๊ะอิหม่ามมีหน้าที่เผยแพร่คำสอนศาสนาอิสลาม นายดอรอแมและนายมะลาเซ็มเป็นผู้มีอิทธิพลค้ายาเสพติดในพื้นที่ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ต่อต้านจัดทำรายชื่อผู้ค้า ทำให้นายมะลาเซ็มไม่พอใจ หลังถูกจับกุมจำเลยถูกสอบสวนหลายครั้งและถูกทำร้ายร่างกายบังคับให้รับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2-3 ระบุว่า ไม่เคยประชุมหรือยุ่งเกี่ยวกับขบวนการเบอร์ซาตู

ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า คดีมีความผิดอาญาร้ายแรง โจทก์มีประจักษ์พยานเพียงปากเดียว ไม่มีพยานแวดล้อม พยานเอกสาร และอื่น ๆ มาสนับสนุน ที่นายมะลาเซ็มเสนอให้จำเลยประชุมที่บ้านถึง 3 ครั้ง ก็ไม่ปรากฏว่าพยานและจำเลยสนิทกันอย่างไร อีกทั้งยังผิดวิสัยที่จำเลยจะชักชวน นายมะลาเซ็ม ซึ่งเป็น สมาชิก อบต.ลำใหม่เข้าร่วมขบวนการเพราะเสี่ยงต่อการถูกแจ้งต่อเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งเป็นเวลาหลายเดือนที่นายมะลาเซ็มเข้าร่วมประชุมแต่กลับไม่แจ้งเจ้าหน้าที่รัฐ คงแจ้งภายหลังที่นายดอรอแมบิดาถูกยิงเสียชีวิต ดังนั้นคำเบิกความของนายมะละเซ็มจึงมีพิรุธ และมีสาเหตุโกรธเคืองพวกจำเลยทั้งสาม คำเบิกความโจทก์มีนำหนักบางเบา อีกทั้งคำให้การของพยานโจทก์ปากอื่นๆ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็เป็นเพียงพยานบอกเล่าทั้งจำเลยทั้งสามยืนยันมาตลอดว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายบังคับให้รับสารภาพ ซึ่งจำเลยไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนเบอร์ซาตูเลยนั้น พยานโจทก์จึงมีพิรุธน่าสงสัยหลายประการ ไม่มีน้ำหนักรับฟังเพียงพอลงโทษจำเลยได้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องจำเลยนั้นชอบแล้วศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน
กำลังโหลดความคิดเห็น