โฆษก ตร.ยันไม่เกียร์ว่าง ดำเนินคดีคนจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูง แต่คดี “เจ๊เพ็ญ” ต้องให้คณะกรรมการ บช.ก.-ระดับ ตร.พิจารณาอีกครั้ง เพราะสอบพยานเพิ่มมีประเด็นให้การของพยานอาจมีผลต่อความเห็นทางคดีที่ บช.ก.-ตร.เคยเห็นชอบหรือไม่ ขณะเดียวกัน เตรียมกำลังทั้ง ตร.-ทหาร รปภ.นปช.วัน “แม้ว” โฟนอินเต็มที่
วันนี้ (28 ต.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการดำเนินการคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้มีคำสั่งกำชับการปฏิบัติในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้ทุกกองบัญชาการปฏิบัติไปเมื่อวานนี้ (27) ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการตั้งคณะกรรมการระดับกองบัญชาการกลั่นกรองเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไปแล้ว เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรายงานผลการดำเนินการมาทุก 15 วัน ส่วนเรื่องที่ทาง กอ.รมน.ออกมาระบุว่า พื้นที่ กทม.พบมีการหมิ่นฯอย่างชัดเจนนั้นก็ต้องมีการตรวจสอบว่าคดีอะไร เราได้ดำเนินการอะไรไปบ้างแล้ว เพราะเมื่อคดีเหล่านี้ถึงมือตำรวจก็ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ รวบรวมพยานหลักฐานอย่างชัดเจน
พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวต่อว่า สำหรับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมราชานุภาพในเว็บไซต์ ก็มอบให้ทางสำนักงานสารสนเทศและการสื่อสาร (สทส.) เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งมีศูนย์ตรวจสอบและติดตามการกระทำผิดทางเทคโนโลยี (ศตท.) คอยติดตามการกระทำความผิดทางเว็บไซต์ต่างๆ อยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็ได้มีการประสานกับทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) อยู่ตลอด อย่างเว็บไซต์ฟ้าเดียวกัน หรือประชาไทก็ได้มีการประสานทางกระทรวงไอซีทีทำการบล๊อกแล้ว แต่ขั้นตอนของกระทรวงไอซีทีก็ต้องมีการร้องต่อศาลเพื่อทำการปิดหรือบล็อกเว็บไซต์นั้นๆ
“นอกจากจะประสานปิดหรือบล็อกเว็บไซต์แล้ว เรื่องการดำเนินคดีทางอาญา เราก็ต้องดูไปตามพยานหลักฐานว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ อย่างเช่นข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ต่างๆ กระบวนการต่างๆจะต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบเพราะเป็นข้อหาที่ละเอียดอ่อน การดำเนินการตามกฎหมายบางครั้งอาจจะไม่ทันใจ แต่เราก็ทำอยู่ตลอด ทางกองบัญชาการตำรวจสันติบาลเองก็ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อติดตามการกระทำผิดในเรื่องนี้โดยเฉพาะ” โฆษก ตร.กล่าว
พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวต่อว่า สำหรับคดีของ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมราชานุภาพนั้น ล่าสุด ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามสอบพยานเพิ่มตามที่ผู้ต้องหาร้องขอมา ตามสิทธิของผู้ต้องหาสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ขัดข้อง ซึ่งพนักงานสอบสวนกองปราบปราบก็รับผิดชอบการสอบพยานเพิ่มเติม เมื่อสอบพยานเสร็จเรียบร้อยก็มีประเด็นว่าการให้การของพยานดังกล่าวอาจมีผลต่อความเห็นทางคดีที่ทางคณะกรรมการคดีหมิ่นฯของบช.ก.และคณะกรรมการคดีหมิ่นฯของตร.มีความเห็นไป พนักงานสอบสวนกองปราบปราบหลังจากสอบพยานเสร็จก็ต้องส่งเรื่องมายังคณะกรรมการคดีหมิ่นฯของ บช.ก.มีความเห็นอีกครั้ง คณะกรรมการของบช.ก.ก็ต้องส่งเรื่องมายังคณะกรรมการคดีหมิ่นฯและผบ.ตร.มีความเห็นอีกครั้งตามขั้นตอน ก่อนจะส่งสำนวนให้พนักงานสอบสวนเสนออัยการต่อไป ซึ่งกระบวนการต่างๆ ก็ต้องใช้ระยะเวลา
โฆษก ตร.กล่าวต่อไปว่า สำหรับคดีของ นายสุชาติ นาคบางไทร แกนนำ นปช.ที่ถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นฯแล้วยังหลบหนีอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดำเนินการติดตามอยู่ เมื่อมีหมายจับแล้วไปปรากฏตัวที่ไหนก็สามารถจับกุมได้ทันที ตามอายุความของกฎหมาย การดำเนินการจับกุมเป็นไปตามขั้นตอน เมื่อมีการออกหมายจับ ก็มีการออกประกาศสืบจับ มีการแจ้งไปยังตม. กระทรวงต่างประเทศ ตามมาตรฐานเดียวกัน ส่วนจะหลบหนีอยู่ในประเทศหรือต่างประเทศก็ไม่สามารถตอบได้
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงการการเตรียมความพร้อมรับมือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่จะมาชุมนุมที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 1 พ.ย.ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะมีการโฟนอินจากประเทศอังกฤษ ว่า เรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน ตร.และ บช.น.มีการติดตามสถานการณ์วิเคราะห์กันอยู่ตลอด ซึ่งในวันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องทำหน้าที่ของตำรวจในการดูแลความปลอดภัย อำนวยความสะดวกด้านการจราจร มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เพราะสถานที่อยู่ในพื้นที่จำกัด หน้าที่หลัก บช.น.จะเป็นคนรับผิดชอบในเรื่องของการดูแลความปลอดภัย หากกำลังไม่เพียงพอก็ขอจากภูธรมาช่วย ในส่วนของทหารเองก็มาดูด้วย
พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวว่า สำหรับการพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ตำรวจก็ต้องมีการบันทึกเสียงเอาไว้เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องเตรียมพร้อม หากมีอะไรเกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเป็นผู้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน ซึ่งการดำเนินคดีต่างๆที่เกิดขึ้นต้องใช้พยานหลักฐานเป็นหลักและเป็นรูปธรรม
แต่งตั้งวาระประจำปี ตร.ทัน พ.ย.นี้
พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวถึงการดำเนินการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจประจำปี ว่า ขณะนี้แม้ยังไม่มีคำสั่งให้ทุกหน่วยดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับรองผู้บังคับการลงมา แต่ทั้งนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.มีนโยบายชัดเจนว่าการแต่งตั้งวาระประจำปีนี้ ต้องยึดตามกฎก.ตร.ที่ต้องจะแต่งตั้งเสร็จสิ้นมีผลภายในวันที่ 30 พ.ย.โดยการแต่งตั้งครั้งนี้ผบ.ตร.ได้กระจายอำนาจไปยังผู้บัญชาการหน่วยทุกหน่วยตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547
พล.ต.ท.วัชรพล กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีข้าราชการตำรวจจำนวนมากร้องเรียนมายังคณะอนุกรรมการก.ตร.เกี่ยวกับการร้องทุกข์ ว่าได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งเรื่องนี้ ตร.รับไว้พิจารณา โดยจะตรวจสอบว่ามีรายใดบ้างที่เข้าข่ายไม่ได้รับความเป็นธรรมจริง ก็จะมาพิจารณาปรับย้ายให้ในการแต่งตั้งครั้งนี้ แต่ก็ยอมรับว่าทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะการแต่งตั้งที่ผ่านมานั้นใช้อำนาจ ผบ.ตร.ตามมาตรา 56 ใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ แต่การแก้ไขนั้นแต่งตั้งโดยการกระจายอำนาจ การแต่งตั้งโยกย้ายข้ามหน่วยต้องได้รับการยินยอมจากทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องด้วย
สำหรับการแต่งตั้งตำรวจลงปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.ตร.จชต.) นั้นจะดำเนินการภายหลัง หลังจากพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการตร.ที่เพิ่ม ศปก.ตร.จชต. เข้าไป ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเสียก่อน และภายหลังมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการ (ผบช.) รอง ผบช.และผู้บังคับการลงในหน่วยเสียก่อนด้วย เพื่อให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย