ดีเอสไอส่งสำนวนฟ้อง “ประชัย” กับพวกถ่ายเททรัพย์ทีพีไอให้บริษัทลูก เสียหาย 1.3 หมื่นล้าน อัยการฝ่ายคดีพิเศษนัดสั่งคดี 20 พ.ย.
วันนี้ (20 ต.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ นำสำนวนการสอบสวน จำนวน 57 แฟ้ม รวม 14 ลัง พร้อมความเห็นสั่งฟ้อง นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตกรรมการบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ, นายประทีป เลี่ยวไพรัตน์, นายประมวล เลี่ยวไพรัตน์ นายชัยณรงค์ แต้ไพสิฐพงษ์ และ นายประหยัด เลี่ยวไพรัตน์ เป็นผู้ต้องหาที่ 1-5 ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 307, 311 ,312, 313, 315 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มอบให้กับ นายรุจ เขื่อนสุวรรณ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 ไว้เพื่อพิจารณาสั่งคดี
นายรุจ กล่าวว่า จะนำสำนวนการสอบสวน เสนอต่อ นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เพื่อให้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานขึ้นพิจารณาสำนวน โดยเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 5 คนมาพบพนักงานอัยการครบทั้งหมด โดยอัยการนัดฟังการสั่งคดีในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ เวลา 10.00 น.
คดีนี้สืบเนื่องจาก บริษัท อุตสาหกรรมปิโตเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอเดิม โดย พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ และนายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา กรรมการผู้มีอำนาจ ผู้กล่าวหา ให้ดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาทั้งห้าว่า ระหว่างปี 2538-2543 ขณะที่ผู้ต้องหาที่ 1-4 เป็นกรรมการและผู้บริหารบริษัททีพีไอ มีพฤติการณ์ถ่ายเทเงิน ด้วยการปล่อยกู้ให้กับกลุ่มบริษัทที่พวกตนเองร่วมเป็นกรรมการ ผู้ถือหุ้น และเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วย บริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด บริษัท ทีพีไอ โฮลดิ้ง จำกัด บริษัท ทีพีไออีโออีจี จำกัด และบริษัท โรงงานฝ้ายสระบุรี จำกัด ต่อมามีการทำเอกสารระบุว่า บ.พรชัยวิสาหกิจ บ.ทีพีไอโฮลดิ้ง และบ.ทีพีไออีโออีจี ได้ซื้อหุ้นของบริษัทเลี่ยวไพรัตน์ วิสาหกิจ ในราคาหุ้นละ 5,500 บาท จนเป็นเหตุทำให้บริษัททั้ง 3 แห่งซึ่งเป็นลูกหนี้เงินกู้ของบริษัททีพีไอมีหนี้สิน ความสามารถในการชำระหนี้ลดน้อยลง จนทำให้บริษัททีพีไอได้รับความเสียหายถึง 13,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เพราะอดีตผู้บริหารบริษัททีพีไอขาดความระมัดระวัง และมีการลงบัญชีไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของนิติบุคคล กระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่นิติบุคคล กระทำหรือยินยอมให้กระทำการเปลี่ยนแปลงบัญชีเอกสาร และทำบัญชีไม่ตรงต่อความเป็นจริง เพื่อลวงบุคคลใดๆเป็นกรรมการหรือผู้จัดการ ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของนิติบุคคลที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ดีเอสไอจึงมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1-4 ในความผิดตามมาตรา 307 และมาตรา 311 และ 312 พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และฟ้องผู้ต้องหาที่ 5 ฐานกระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่กรรมการหรือผู้จัดการซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของนิติบุคคลให้กระทำความผิด