คนร้ายประกบยิงเศรษฐีแขกซิกข์เจ้าของโรงงานทอผ้าย่านสำเพ็งตายคาที่ พยานให้การเห็นชาย 2 คนซิ่งมอเตอร์ไซค์ใส่กันน็อกเต็มใบ-ใส่หมวกแก็ปปิดหน้าชักปืนยิงผู้ตายระยะประชิดหน้าซอยสุขุมวิท 59 ขณะที่ตำรวจยังไม่ฟันธงขัดผลประโยชน์ส่วนตัว หรือธุรกิจ เพราะเหตุผู้ตายถูกยึดโรงงานขายทอดตลาด
วันนี้ (17 ต.ค.) เมื่อเวลา 07.30 น. พ.ต.ท.ประวิทย์ กังวล พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทองหล่อ ได้รับแจ้งอุบัติเหตรถชนเสาไฟฟ้าบริเวณปากซอยสุขุมวิท 61 ถนนสุขุมวิทฝั่งขาออก หน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์เอกมัย แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พ.ต.อ.อาจินต์ จารุวร รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผกก.สน.ทองหล่อ พ.ต.ท.ชนิน วชิรปาณีกูล รอง ผกก.สส.สน.ทองหล่อ พ.ต.ท.เศกสิทธิ์ สุภาอ้วน สว.สส.สน.ทองหล่อ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน บก.น.5 เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) แพทย์ รพ.จุฬาฯ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋งวอลโว่ สีเขียวเข้ม รุ่น 960 ทะเบียน 8ธ-5753 กทม.สภาพรถพังยับเยิน พบศพผู้เสียชีวิตลักษณะนั่งอยู่บริเวณที่พักเท้าด้านคนขับ จากการตรวจสอบสภาพศพในเบื้องต้นพบร่องรอยถูกอาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงเข้าที่ลำคอ ใกล้ที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนจำนวน 1 ปลอก นอกจากนี้ยังมีบาดแผลจากเหตุรถชนทำให้กระดูกซี่โครงหัก กะโหลกแตก ทราบชื่อต่อมาคือ นายสวัสดิ์ เศรษฐี อายุ 70 ปี เป็นชาวแขกซิกข์ อยู่บ้านเลขที่ 52 ซ.สุขุมวิท 59 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร
จากการสอบสวนพยานให้การว่า ก่อนเกิดเหตุพบรถผู้ตายขับออกมาจากปากซอยสุขุมวิท 59 โดยขับอยู่เลนกลางถนน จากนั้นได้มีคนร้ายเป็นชาย 2 คนขับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นคลิก สีขาว ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน คนขับสวมหมวกกันน็อกเต็มใบ คนซ้อนท้ายซึ่งเป็นคนชักอาวุธปืนออกมายิงสวมหมวกแก็ปสีน้ำตาล สวมเสื้อยืดสีน้ำตาล โดยยิงใส่จำนวน 1 นัด จากนั้นคนร้ายก็เลี้ยวรถหลบหนีโดยใช้เส้นทางถนนสุขุมวิทฝั่งขาเข้า ส่วนผู้ตายก็ได้เร่งเครื่องรถเพื่อขับหลบหนีจนเกิดอุบัติเหตุชนเสาไฟฟ้าและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
พ.ต.อ.อาจินต์ กล่าว่า ในเบื้องต้นได้นำพยานแวดล้อมไปสอบปากคำที่ สน. และจากการตรวจสอบประวัติทราบว่าผู้ตายเป็นเจ้าของบริษัท เอสวีเทค ตุ้งอยู่ย่านสำเพ็ง ทำธุรกิจค้าผ้า นอกจากนี้ ผู้ตายยังมีโรงงานทอผ้าตั้งอยู่ที่ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งขณะนี้ศาลได้ทำการยึดที่ดังกล่าวและอยู่ระหว่างเปิดขายทอดตลาด เปิดให้คนนอกประมูลซื้อโรงงาน แต่ผู้ตายได้ยื่นอุธรณ์คัดค้านให้ยกเลิกการประมูลหลังจากทราบว่ามีการรื้อทรัพย์สินโดยที่ผู้ประมูลยังไม่ได้จ่ายเงินตามเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งวันนี้ (17 ต.ค.) เวลา 09.00 น.ผู้ตายได้นัดกับกรมบังคับคดีไว้ที่ จ.ปราจีนบุรี โดยผู้ตายได้ขับรถคันเกิดเหตุออกจากบ้านเมื่อช่วงเช้าเพื่อเดินทางไป จ.ปราจีนบุรี แต่ก็มาถูกคนร้ายดักประกบยิงจนเสียชีวิต
“ขณะนี้ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนของ บก.น.5 และของ สน.ทองหล่อ ลงพื้นที่เกิดเหตุ พร้อมกับประสานไปยัง จ.ปราจีนบุรี เพื่อสืบหาเบาะแสที่แท้จริงว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ซึ่งประเด็นการเสียชีวิตครั้งนี้น่าจะมาจากเรื่องผลประโยชน์ เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องธุรกิจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง และประเด็นหลักคงเป็นเรื่องที่ผู้ตายยื่นเรื่องคัดค้านยกเลิกการประมูลโรงงานดังกล่าว ทำให้กลุ่มผู้ประมูลหรือผู้มีผลประโยชน์จากการประมูลเกิดความไม่พอใจจึงจ้างวานมือปืนมาก่อเหตุดังกล่าว เพราะหากไม่มีผู้ตายแล้วเรื่องการดำเนินการประมูลคงราบรื่น” พ.ต.อ.อาจินต์ กล่าว
พ.ต.อ.อาจินต์ กล่าวอีกว่า ตามบันทึกประจำวันเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ตายได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.ระเบาะไผ่ จ.ปราจีนบุรี เนื่องจากมีคนบุกรุกเข้าไปในโรงงานของผู้ตายที่อยู่ระหว่างการประมูลเพราะโรงงานผู้ตายถูกบังคับคดีให้ขายทอดตลาด เนื่องจากผู้ตายได้เอาหลักทรัพย์ดังกล่าวไปกู้เงินธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยในบันทึกดังกล่าวมีนายกุสน ป้องบุญจันทร์ เป็นผู้เปิดประมูลโรงงานดังกล่าวไปได้ในราคา 52.2 ล้านบาท และวางเงินมัดจำงวดแรกเป็นเงิน 5 หมื่นบาท และต้องนำเงินส่วนที่เหลือมาจ่ายภายใน20 วัน แต่จนถึงวันนี้นายกุสน ยังไม่มีการมาชำระตามกำหนด นอกจากนี้ยังได้ขอผัดผ่อนไปจนถึงเดือน พฤศจิกายน 2551 ผู้ตายเกรงว่าทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดีจะถูกทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งจากการตรวจสอบก็พบว่าหลังคาโรงทอผ้าบางส่วนได้ถูกรื้อไป ผู้ตายจึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเพื่อเป็นหลักฐานให้ทางธนาคารกรุงไทยประสานกับกรมบังคับคดีให้เข้ามาดูแล เพื่อไม่ให้ทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดีเกิดความเสียหาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสุวรรณ เศรษฐี อายุ 63 ปี ภรรยาเดินทางมาพร้อมบุตรสาวและญาติ มาดูที่เกิดเหตุ ได้ร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเสียใจและแค้นเคืองต่อการตายของนายสวัสดิ์ เจ้าหน้าที่ต้องคอยห้ามปรามและปลอบใจ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวญาติผู้เสียชีวิตมาสอบปากคำที่ สน.ทองหล่อ แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสอบปากคำได้ เนื่องจากญาติอยู่ในอาการเศร้าเสียใจ และร้องไห้โวยวายตลอดเวลา รวมทั้งด่าทอผู้สื่อข่าวที่ไปบันทึกภาพทำข่าวด้วย
วันนี้ (17 ต.ค.) เมื่อเวลา 07.30 น. พ.ต.ท.ประวิทย์ กังวล พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทองหล่อ ได้รับแจ้งอุบัติเหตรถชนเสาไฟฟ้าบริเวณปากซอยสุขุมวิท 61 ถนนสุขุมวิทฝั่งขาออก หน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์เอกมัย แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พ.ต.อ.อาจินต์ จารุวร รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผกก.สน.ทองหล่อ พ.ต.ท.ชนิน วชิรปาณีกูล รอง ผกก.สส.สน.ทองหล่อ พ.ต.ท.เศกสิทธิ์ สุภาอ้วน สว.สส.สน.ทองหล่อ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน บก.น.5 เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) แพทย์ รพ.จุฬาฯ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋งวอลโว่ สีเขียวเข้ม รุ่น 960 ทะเบียน 8ธ-5753 กทม.สภาพรถพังยับเยิน พบศพผู้เสียชีวิตลักษณะนั่งอยู่บริเวณที่พักเท้าด้านคนขับ จากการตรวจสอบสภาพศพในเบื้องต้นพบร่องรอยถูกอาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงเข้าที่ลำคอ ใกล้ที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนจำนวน 1 ปลอก นอกจากนี้ยังมีบาดแผลจากเหตุรถชนทำให้กระดูกซี่โครงหัก กะโหลกแตก ทราบชื่อต่อมาคือ นายสวัสดิ์ เศรษฐี อายุ 70 ปี เป็นชาวแขกซิกข์ อยู่บ้านเลขที่ 52 ซ.สุขุมวิท 59 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร
จากการสอบสวนพยานให้การว่า ก่อนเกิดเหตุพบรถผู้ตายขับออกมาจากปากซอยสุขุมวิท 59 โดยขับอยู่เลนกลางถนน จากนั้นได้มีคนร้ายเป็นชาย 2 คนขับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นคลิก สีขาว ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน คนขับสวมหมวกกันน็อกเต็มใบ คนซ้อนท้ายซึ่งเป็นคนชักอาวุธปืนออกมายิงสวมหมวกแก็ปสีน้ำตาล สวมเสื้อยืดสีน้ำตาล โดยยิงใส่จำนวน 1 นัด จากนั้นคนร้ายก็เลี้ยวรถหลบหนีโดยใช้เส้นทางถนนสุขุมวิทฝั่งขาเข้า ส่วนผู้ตายก็ได้เร่งเครื่องรถเพื่อขับหลบหนีจนเกิดอุบัติเหตุชนเสาไฟฟ้าและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
พ.ต.อ.อาจินต์ กล่าว่า ในเบื้องต้นได้นำพยานแวดล้อมไปสอบปากคำที่ สน. และจากการตรวจสอบประวัติทราบว่าผู้ตายเป็นเจ้าของบริษัท เอสวีเทค ตุ้งอยู่ย่านสำเพ็ง ทำธุรกิจค้าผ้า นอกจากนี้ ผู้ตายยังมีโรงงานทอผ้าตั้งอยู่ที่ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งขณะนี้ศาลได้ทำการยึดที่ดังกล่าวและอยู่ระหว่างเปิดขายทอดตลาด เปิดให้คนนอกประมูลซื้อโรงงาน แต่ผู้ตายได้ยื่นอุธรณ์คัดค้านให้ยกเลิกการประมูลหลังจากทราบว่ามีการรื้อทรัพย์สินโดยที่ผู้ประมูลยังไม่ได้จ่ายเงินตามเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งวันนี้ (17 ต.ค.) เวลา 09.00 น.ผู้ตายได้นัดกับกรมบังคับคดีไว้ที่ จ.ปราจีนบุรี โดยผู้ตายได้ขับรถคันเกิดเหตุออกจากบ้านเมื่อช่วงเช้าเพื่อเดินทางไป จ.ปราจีนบุรี แต่ก็มาถูกคนร้ายดักประกบยิงจนเสียชีวิต
“ขณะนี้ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนของ บก.น.5 และของ สน.ทองหล่อ ลงพื้นที่เกิดเหตุ พร้อมกับประสานไปยัง จ.ปราจีนบุรี เพื่อสืบหาเบาะแสที่แท้จริงว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ซึ่งประเด็นการเสียชีวิตครั้งนี้น่าจะมาจากเรื่องผลประโยชน์ เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องธุรกิจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง และประเด็นหลักคงเป็นเรื่องที่ผู้ตายยื่นเรื่องคัดค้านยกเลิกการประมูลโรงงานดังกล่าว ทำให้กลุ่มผู้ประมูลหรือผู้มีผลประโยชน์จากการประมูลเกิดความไม่พอใจจึงจ้างวานมือปืนมาก่อเหตุดังกล่าว เพราะหากไม่มีผู้ตายแล้วเรื่องการดำเนินการประมูลคงราบรื่น” พ.ต.อ.อาจินต์ กล่าว
พ.ต.อ.อาจินต์ กล่าวอีกว่า ตามบันทึกประจำวันเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ตายได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.ระเบาะไผ่ จ.ปราจีนบุรี เนื่องจากมีคนบุกรุกเข้าไปในโรงงานของผู้ตายที่อยู่ระหว่างการประมูลเพราะโรงงานผู้ตายถูกบังคับคดีให้ขายทอดตลาด เนื่องจากผู้ตายได้เอาหลักทรัพย์ดังกล่าวไปกู้เงินธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยในบันทึกดังกล่าวมีนายกุสน ป้องบุญจันทร์ เป็นผู้เปิดประมูลโรงงานดังกล่าวไปได้ในราคา 52.2 ล้านบาท และวางเงินมัดจำงวดแรกเป็นเงิน 5 หมื่นบาท และต้องนำเงินส่วนที่เหลือมาจ่ายภายใน20 วัน แต่จนถึงวันนี้นายกุสน ยังไม่มีการมาชำระตามกำหนด นอกจากนี้ยังได้ขอผัดผ่อนไปจนถึงเดือน พฤศจิกายน 2551 ผู้ตายเกรงว่าทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดีจะถูกทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งจากการตรวจสอบก็พบว่าหลังคาโรงทอผ้าบางส่วนได้ถูกรื้อไป ผู้ตายจึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเพื่อเป็นหลักฐานให้ทางธนาคารกรุงไทยประสานกับกรมบังคับคดีให้เข้ามาดูแล เพื่อไม่ให้ทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดีเกิดความเสียหาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสุวรรณ เศรษฐี อายุ 63 ปี ภรรยาเดินทางมาพร้อมบุตรสาวและญาติ มาดูที่เกิดเหตุ ได้ร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเสียใจและแค้นเคืองต่อการตายของนายสวัสดิ์ เจ้าหน้าที่ต้องคอยห้ามปรามและปลอบใจ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวญาติผู้เสียชีวิตมาสอบปากคำที่ สน.ทองหล่อ แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสอบปากคำได้ เนื่องจากญาติอยู่ในอาการเศร้าเสียใจ และร้องไห้โวยวายตลอดเวลา รวมทั้งด่าทอผู้สื่อข่าวที่ไปบันทึกภาพทำข่าวด้วย