ทาสรับใช้ “แม้ว” เปิดทางให้ลูกน้อง พปช.แจ้งเอาผิดพันธมิตรฯ

"สมุนแม้ว"เรียงหน้า แจ้งความเอาผิดแกนนำพันธมิตรฯรุ่น 2 อ้างเข้าสภาไปเสออะหน้าขานรับ การแถลงนโยบายรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดได้ไม่สะดวกบนความฉิบหายของประชาชน ขณะที่ ตำรวจฆาตกรทำร้ายผู้บริสุทธิ์ก้มหัวไฟเขียวให้ส.ส.ที่เข้า - ออกสภาวันที่ 7 ตุลามหาวิปโยคไม่ได้ทยอยเข้าแจ้งความเต็มที่

วันนี้ (16 ต.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. นายซูการ์โน มะทา ส.ส.จังหวัดยะลา นายสุชาย ศรีสุรพล ส.ส.จังหวัดขอนแก่น นายนิยม เวชกามา ส.ส.จังหวัดสกลนคร และนายวรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ ส.ส.จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งหมดสังกัดพรรคพลังประชาชน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.เอกชัย ศรีระหงษ์ พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.ดุสิต เพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรฯรุ่น 2 ที่พาประชาชนไปปิดล้อมรัฐสภา ใน 2 ข้อหา ประกอบด้วย หน่วงเหนี่ยวกักขัง ตามมาตรา 310 ผู้ใด หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใด ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้น กระทำการใด ให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และข้อหากีดกันไม่ให้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่

นายนิยม เปิดเผยว่า ที่เดินทางมาแจ้งความในวันนี้ก็เนื่องจากเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่มีการประชุมสภา เพื่อแถลงนโยบายของรัฐบาล กลุ่มพันธมิตรฯได้ไปปิดล้อมอาคารรัฐสภาไว้ จนกระทั่งประชุมสภาเสร็จ พวกตน กับนายสุชาย และนายซูการ์โน ก็ไม่สามารถกลับออกมาได้ ถูกปิดล้อมอยู่จนถึงช่วงเย็น เวลาประมาณ 17.30 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงสามารถเปิดทางให้พวกตนออกมาได้

นายนิยม กล่าวด้วยว่า ที่มาแจ้งความก็เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้มาในนามพรรคพลังประชาชน และไม่ได้นัดหมายกับกลุ่มส.ส.ของพรรค ที่มาแจ้งความไว้แล้วเมื่อวันที่ 14 ต.ค.แต่อย่างใด ซึ่งหลังจากนี้จะมีกลุ่มส.ส.ของพรรคตนทยอยกันมาแจ้งความเพิ่มเติมด้วย

ด้าน นายวรสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับตนจะแจ้งข้อหากีดกันไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ เพิ่มเติม เนื่องจากวันนั้นตนไม่สามารถเข้าไปร่วมประชุมสภาได้ เนื่องจากเดินทางมาถึงประมาณ 09.00 น. ก็พบว่ารถติดมากต้องนั่งรถจยย.รับจ้างเข้าไป แต่ก็เข้าไม่ได้เพราะมีกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 20-30 คนมาปิดล้อม และด่าทอ ทำให้ไม่สามารถเข้าประชุมได้

ด้าน พ.ต.ท.เอกชัย กล่าวว่า เบื้องต้นจะตรวจสอบสำนวนของคดีที่กลุ่มส.ส.พรรคพลังประชาชน มาแจ้งความไว้เมื่อวันที่ 14 ต.ค.เนื่องจากเป็นคดีเดียวกัน หากมีรายละเอียดเพิ่มเติมก็จะสอบปากคำไว้แล้วรวบรวมเป็นคดีเดียวกันส่งให้ผู้บังคับบัญชาต่อไป

ขณะที่ พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.ดุสิต กล่าวว่า คดีนี้ได้ทำหนังสือยื่นไปยังเลขาธิการรัฐสภาแล้วว่า หากมีผู้ประสงค์เข้าแจ้งความในคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. สว. คณะรัฐมนตรี หรือเจ้าหน้าที่ ก็ให้แจ้งมาพร้อมกันทีเดียว เพราะคดีนี้เมื่อสอบปากคำจะนำหลักฐาน การสอบปากคำส่งให้คณะกรรมการสอบสวนของ บช.น. ประกอบในการพิจารณาต่อไป