ยังถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องว่า "แก๊สน้ำตา"ที่ใช้ยิงในวันสายการชุมนุม 7 ตุลามหาวิปโยค สามารถทำให้ขาขาด หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้หรือไม่ ? แม้จะมีการตั้งคณะกรรมการกลางขึ้นตรวจสอบข้อเท็จจริง ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน...
แต่จากปากแหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายผู้หนึ่ง ออกมาแสดงทัศนะ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะต้นเหตุจริง ๆ คือการชุมนุมของประชาชนนั้นตำรวจไม่มีอำนาจในการสลายการชุมนุม
“ตำรวจมีอำนาจในการสลายการชุมนุม เป็นความเข้าใจผิดกันมาตลอด และเข้าใจผิดทุกระดับชั้น และหากจะว่ากันตามขั้นตอนของกฎหมายนั้น ตำรวจไม่มีอำนาจในการสลายการชุมนุม มีสิทธิ์เพียงการจับกุม คือ การจับกุมตามหมายจับ หรือการจับกุมแบบซึ่งหน้า เมื่อมีคนมานั่งขวางประตูสภา และเห็นว่าเข้าสภาไม่ได้ หน้าที่ของตำรวจก็มีหน้าที่เพียงป้องกันชีวิตตนเองและทรัพย์สิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นการป้องกันอะไร การที่เราจะไปทำร้ายคนได้ การที่ทำให้คนบาดเจ็บได้ เป็นอำนาจในการป้องกันตนเองหรือทรัพย์สิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นป้องกันอะไร ใครจะไปตีหัว ส.ส. ใครจะตีหัว ส.ว. ก็ไม่ใช่ และเมื่อถามว่าเป็นการสมควรแก่เหตุหรือไม่ ฝ่าย ส.ส. บอกสมควรแก่เหตุ ฝ่ายนิติบัญญัติ บอกประชุมไม่ได้ แต่อีกฝ่ายบอก ประชุมไม่ได้ ก็ไปประชุมที่อื่น เหมือนคนมาขวางบ้านเรา เราจะเอาขวานไปจามหัว ก็คงไม่ได้ เมื่อเข้าไม่ได้ก็ต้องไปแจ้งตำรวจมาจับ” แหล่งข่าวระบุ
การที่ยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มชุมนุมนั้น ปัญหาอยู่ที่ว่าการยิงนั้นเลินเล่อ หรือตั้งใจ ลักษณะของการยิงต้องเป็นวิถีโค้ง ต้องไม่ยิงใส่คน ต้องยิงห่าง ต้องดูทิศทางลมด้วย หากมีลมบางครั้งก็ยิงไม่ได้เพราะจะพัดเข้าตัว ต้องไม่ยิงใส่ตัว และต้องมีระยะ ยิง ไม่ใช่ยิงใส่กลุ่มคน เช่นต้องมีระยะว่าต้องห่างกี่เมตร แก๊สจึงจะฟุ้งกระจาย
เมื่อถามว่ามีการสั่งการอย่างไรในการควบคุมฝูงชน แหล่งข่าวคนเดิม บอกว่า การสั่งการนั้นไม่ทราบว่ามีการสั่งการอย่างไร แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว ก็ยากแก่การควบคุม โดยปกติการยิงแก๊สน้ำตาต้องมีการฝึกกันก่อน และต้องดูว่ามีความรุนแรงขนาดไหน และ ครั้งนี้ถือเป็นการใช้แก๊สน้ำตามากที่สุดเป็นครั้งแรก แม้ก่อนหน้านี้จะมีการใช้จริง แต่ไม่มีการใช้มากขนาดนี้
ตำรวจต้องรู้ว่าหากมีการยิงออกไปต้องมีคนที่ได้รับบาดเจ็บ อีกอย่างเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ยังมีการออกมาใส่ความคนตายอีก มีการสันนิษฐานมั่ว ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ 2 นาย ที่ถูกสั่งห้ามให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ ไม่รู้เอาหลักฐานมาจากที่ใด ซึ่งการออกมาพูดในลักษณะนี้ถือเป็นการผิดวินัยราชการ แต่ก็ยังไม่มีการลงโทษ สิ่งที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่ความอาฆาตมาดร้ายในสังคม ซึ่งสังคมจะสงบได้ต้องยุติอย่างมีธรรมมะ หรือ ยุติธรรม คือการใช้กฎหมาย และเหตุที่คนต้องตายนั้น ต้องมีคนรับผิดชอบ และต้องดูว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่อหรือเจตนา
ตำรวจเป็นผู้รักษากฎหมาย ต้องพูดกันตามข้อกฎหมายตำรวจมีอำนาจอะไรไปสลายการชุมนุม และการยิงแก๊สน้ำตา ก็เป็นการยิงอย่างประมาท ถึงไม่ได้ตั้งใจ แต่ทางกฎหมายก็แล้วเล็งเห็นผล การที่ยิงเข้าใส่คนแม้ไม่จงใจให้ตาย แต่ถือเป็นการเล็งเห็นผล ว่าถ้าถูกอาจตายได้ ก็ถือว่าเจตนาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องตั้งฐานว่า ผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ปัญหาคือว่าใครคือคนสั่งการ เพราะต่างฝ่ายต่างออกมาปฏิเสธเพียงอย่างเดียว “กูก็ไม่รู้เรื่อง กูก็ไม่รู้” เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนของตำรวจ ที่ต้องมาศึกษาว่าจะไปก้าวร้าวใส่ประชาชนคงไม่ได้ การที่ประชาชนมาเดินขบวน และจะบอกว่ายิงให้ตายให้หมด คงทำไม่ได้
แต่เมื่อถามว่าจุดสุดท้ายของการชุมนุมครั้งนี้จะจบลงที่จุดใด แหล่งข่าวคนเดิมบอกว่า ตามความคิดนั้น คิดว่าการชุมนุมครั้งจะจบลงได้รัฐบาลต้องออก เพราะสิ่งที่รัฐบาลพยายามยื้ออยู่คือการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร พ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด และต้องทำให้จบภายในวันที่ 21 ต.ค. นี้ เพราะเป็นวันที่ศาลจะตัดสินเรื่องที่ดินรัชดา หากศาลตัดสินจำคุก จะกลายเป็นมลทิน ตลอดชีวิต เพราะเรื่องนี้จะดำเนินการเพียงศาลเดียว หากตัดสินว่าผิดก็ติดคุกทันที และจะขอลี้ภัยก็ทำไม่ได้ ต้องกลายเป็นผู้ร้ายทันที
“เพราะฉะนั้นเชื่อว่าขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นให้พรรคพวก มาทำการปฏิวัติ หรือก็ต้องดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จ เพราะหากแก้สำเร็จจะทำให้คดีต่าง ๆ มีโอกาสรอด เพราะ คตส. จะเป็นโมฆะหมดความชอบธรรม แต่หากอยู่เฉย ๆ เสร็จแน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องการมีชีวิตรอด ทั้งสองคน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน หากทำอะไรได้ก็ต้องทำ มนุษย์นี่เพราะความอยู่รอด ทำให้แรง ขณะนี้เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่าแม้มีคนตาย ซักพันคน ตัวเองก็ไม่มีทางสนใจ เพื่อที่จะให้ตัวเองรอด และเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะมีการสั่งการอะไรที่พิลึก ๆ เช่น สั่งการให้ นปช. มาตีกับกลุ่ม พันธมิตรฯ เพื่อสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อการใดการหนึ่งก็เป็นไปได้” แหล่งข่าวคนเดิม กล่าวทิ้งท้าย
แต่จากปากแหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายผู้หนึ่ง ออกมาแสดงทัศนะ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะต้นเหตุจริง ๆ คือการชุมนุมของประชาชนนั้นตำรวจไม่มีอำนาจในการสลายการชุมนุม
“ตำรวจมีอำนาจในการสลายการชุมนุม เป็นความเข้าใจผิดกันมาตลอด และเข้าใจผิดทุกระดับชั้น และหากจะว่ากันตามขั้นตอนของกฎหมายนั้น ตำรวจไม่มีอำนาจในการสลายการชุมนุม มีสิทธิ์เพียงการจับกุม คือ การจับกุมตามหมายจับ หรือการจับกุมแบบซึ่งหน้า เมื่อมีคนมานั่งขวางประตูสภา และเห็นว่าเข้าสภาไม่ได้ หน้าที่ของตำรวจก็มีหน้าที่เพียงป้องกันชีวิตตนเองและทรัพย์สิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นการป้องกันอะไร การที่เราจะไปทำร้ายคนได้ การที่ทำให้คนบาดเจ็บได้ เป็นอำนาจในการป้องกันตนเองหรือทรัพย์สิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นป้องกันอะไร ใครจะไปตีหัว ส.ส. ใครจะตีหัว ส.ว. ก็ไม่ใช่ และเมื่อถามว่าเป็นการสมควรแก่เหตุหรือไม่ ฝ่าย ส.ส. บอกสมควรแก่เหตุ ฝ่ายนิติบัญญัติ บอกประชุมไม่ได้ แต่อีกฝ่ายบอก ประชุมไม่ได้ ก็ไปประชุมที่อื่น เหมือนคนมาขวางบ้านเรา เราจะเอาขวานไปจามหัว ก็คงไม่ได้ เมื่อเข้าไม่ได้ก็ต้องไปแจ้งตำรวจมาจับ” แหล่งข่าวระบุ
การที่ยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มชุมนุมนั้น ปัญหาอยู่ที่ว่าการยิงนั้นเลินเล่อ หรือตั้งใจ ลักษณะของการยิงต้องเป็นวิถีโค้ง ต้องไม่ยิงใส่คน ต้องยิงห่าง ต้องดูทิศทางลมด้วย หากมีลมบางครั้งก็ยิงไม่ได้เพราะจะพัดเข้าตัว ต้องไม่ยิงใส่ตัว และต้องมีระยะ ยิง ไม่ใช่ยิงใส่กลุ่มคน เช่นต้องมีระยะว่าต้องห่างกี่เมตร แก๊สจึงจะฟุ้งกระจาย
เมื่อถามว่ามีการสั่งการอย่างไรในการควบคุมฝูงชน แหล่งข่าวคนเดิม บอกว่า การสั่งการนั้นไม่ทราบว่ามีการสั่งการอย่างไร แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว ก็ยากแก่การควบคุม โดยปกติการยิงแก๊สน้ำตาต้องมีการฝึกกันก่อน และต้องดูว่ามีความรุนแรงขนาดไหน และ ครั้งนี้ถือเป็นการใช้แก๊สน้ำตามากที่สุดเป็นครั้งแรก แม้ก่อนหน้านี้จะมีการใช้จริง แต่ไม่มีการใช้มากขนาดนี้
ตำรวจต้องรู้ว่าหากมีการยิงออกไปต้องมีคนที่ได้รับบาดเจ็บ อีกอย่างเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ยังมีการออกมาใส่ความคนตายอีก มีการสันนิษฐานมั่ว ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ 2 นาย ที่ถูกสั่งห้ามให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ ไม่รู้เอาหลักฐานมาจากที่ใด ซึ่งการออกมาพูดในลักษณะนี้ถือเป็นการผิดวินัยราชการ แต่ก็ยังไม่มีการลงโทษ สิ่งที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่ความอาฆาตมาดร้ายในสังคม ซึ่งสังคมจะสงบได้ต้องยุติอย่างมีธรรมมะ หรือ ยุติธรรม คือการใช้กฎหมาย และเหตุที่คนต้องตายนั้น ต้องมีคนรับผิดชอบ และต้องดูว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่อหรือเจตนา
ตำรวจเป็นผู้รักษากฎหมาย ต้องพูดกันตามข้อกฎหมายตำรวจมีอำนาจอะไรไปสลายการชุมนุม และการยิงแก๊สน้ำตา ก็เป็นการยิงอย่างประมาท ถึงไม่ได้ตั้งใจ แต่ทางกฎหมายก็แล้วเล็งเห็นผล การที่ยิงเข้าใส่คนแม้ไม่จงใจให้ตาย แต่ถือเป็นการเล็งเห็นผล ว่าถ้าถูกอาจตายได้ ก็ถือว่าเจตนาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องตั้งฐานว่า ผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ปัญหาคือว่าใครคือคนสั่งการ เพราะต่างฝ่ายต่างออกมาปฏิเสธเพียงอย่างเดียว “กูก็ไม่รู้เรื่อง กูก็ไม่รู้” เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนของตำรวจ ที่ต้องมาศึกษาว่าจะไปก้าวร้าวใส่ประชาชนคงไม่ได้ การที่ประชาชนมาเดินขบวน และจะบอกว่ายิงให้ตายให้หมด คงทำไม่ได้
แต่เมื่อถามว่าจุดสุดท้ายของการชุมนุมครั้งนี้จะจบลงที่จุดใด แหล่งข่าวคนเดิมบอกว่า ตามความคิดนั้น คิดว่าการชุมนุมครั้งจะจบลงได้รัฐบาลต้องออก เพราะสิ่งที่รัฐบาลพยายามยื้ออยู่คือการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร พ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด และต้องทำให้จบภายในวันที่ 21 ต.ค. นี้ เพราะเป็นวันที่ศาลจะตัดสินเรื่องที่ดินรัชดา หากศาลตัดสินจำคุก จะกลายเป็นมลทิน ตลอดชีวิต เพราะเรื่องนี้จะดำเนินการเพียงศาลเดียว หากตัดสินว่าผิดก็ติดคุกทันที และจะขอลี้ภัยก็ทำไม่ได้ ต้องกลายเป็นผู้ร้ายทันที
“เพราะฉะนั้นเชื่อว่าขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นให้พรรคพวก มาทำการปฏิวัติ หรือก็ต้องดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จ เพราะหากแก้สำเร็จจะทำให้คดีต่าง ๆ มีโอกาสรอด เพราะ คตส. จะเป็นโมฆะหมดความชอบธรรม แต่หากอยู่เฉย ๆ เสร็จแน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องการมีชีวิตรอด ทั้งสองคน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน หากทำอะไรได้ก็ต้องทำ มนุษย์นี่เพราะความอยู่รอด ทำให้แรง ขณะนี้เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่าแม้มีคนตาย ซักพันคน ตัวเองก็ไม่มีทางสนใจ เพื่อที่จะให้ตัวเองรอด และเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะมีการสั่งการอะไรที่พิลึก ๆ เช่น สั่งการให้ นปช. มาตีกับกลุ่ม พันธมิตรฯ เพื่อสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อการใดการหนึ่งก็เป็นไปได้” แหล่งข่าวคนเดิม กล่าวทิ้งท้าย
