“รัตนา สัจจเทพ” เจ้าของตำนานบ้านสีดำ เปิดเคาน์เตอร์ขายเพชรพลอยในห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ ถูกคนร้ายเป็นหญิงสาว ทำทีเข้ามาขอซื้อแหวนเพชร แล้วฉวยจังหวะเผลอ ฉกแหวนเพชร 1 กะรัต มูลค่า 3 แสนบาท ขึ้นรถแท็กซี่หลบหนีไปลอยนวล เจ้าตัวครวญเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไม่รู้จะซวยไปถึงไหน
วันนี้ (15 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.พ.ต.ท.วิทยา เรืององอาจ พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.บางชัน รับแจ้งมีเหตุคนร้ายชิงเพชรไปจากร้านภายในศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ ถนนรามอินทรา แขวงและเขตคันนายาว จึงรายงานเหตุให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น จากนั้นรุดไปยังที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และเจ้าหน้ากองพิสูจน์หลักฐาน
ที่เกิดเหตุ อยู่บริเวณชั้น 2 หน้าห้างบิ๊กซี เปิดเป็นเคาน์เตอร์ตู้โชว์ขายเพชร และพลอยชนิดต่างๆ ชื่อร้าน ณษมาเพชรพลอย มี นางรัชประภา สัจจนวกุล หรือ นางรัตนา สัจจเทพ นักต่อสู้ในเรื่องบ้านที่อยู่อาศัยกับเจ้าหน้าที่ของรัฐชื่อดัง เป็นเจ้าของร้าน พร้อมด้วย น.ส.ณษมา สัจจนวกุล อายุ 26 ปี บุตรสาว ยืนรอให้การอยู่ด้วยอาการตื่นตระหนก
นางรัชประภา ให้การว่า มาเปิดบูธขายเพชรพลอยที่ห้างแฟชั่นฯ ตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยก่อนเกิดเหตุ เวลาประมาณ 11.00 น.มาเปิดร้านกับบุตรสาวตามปกติ จนกระทั่งช่วงเวลาประมาณ 12.00 น.มีหญิงสาวคนหนึ่ง อายุประมาณ 35 ปี ไว้ผมซอยสั้น ทำสีแดง สวมเสื้อแขน 3 ส่วนสีครีม ริ้วแดง สวมกางเกงยีนส์ เข้ามาทำทีขอซื้อแหวนเพชรที่ร้าน โดยบอกว่า ต้องการซื้อแหวนเพชรไปแต่งงานในเดือนตุลาคมนี้ จากนั้นจะบินไปยังประเทศออสเตรเลียต่อ
นางรัชประภา กล่าวต่อว่า หญิงสาวคนดังกล่าวได้ขอดูแหวนเพชรประมาณ 4-5 วง และขอดูแหวนพลอยอีก 2 วง รวมทั้งพลอยร่วงที่ยังไม่ทำขึ้นเรือนแหวนอีก 4-5 เม็ด จึงได้นำเครื่องประดับทั้งหมดใส่รวมในกระบะเดียวกันไว้ให้ดู จากนั้นหญิงสาวคนดังกล่าว ได้ใช้เวลาเลือกแหวนอยู่ประมาณ 1 ชม. และตกลงที่จะซื้อแหวนเพชรขนาด 1 กะรัต ในราคา 300,000 บาท 1 วง แต่แหวนวงดังกล่าว มีขนาดเล็กกว่านิ้วของหญิงสาวคนดังกล่าว นจึงบอกไปว่า จะให้แมสเซนเจอร์มารับแหวนไปขยายขนาด ที่ย่านสีลม ซึ่งต้องใช้เวลานานประมาณ 3 ชม.โดยต้องขอเงินเป็นค่ามัดจำไว้ก่อนจำนวน 10,000 บาท แต่หญิงคนดังกล่าวบอกว่า ไม่มีเงินสด ต้องขอไปกดเงินที่ธนาคารกสิกรไทยก่อน
“ด้วยความเป็นห่วง พี่จึงให้ลูกสาว เดินไปเป็นเพื่อน เพราะเห็นว่าไปกดเงินจำนวนเรือนหมื่น และเมื่อทั้งคู่เดินไปกดเงินแล้ว พี่ก็เริ่มเก็บแหวนเพชรกับพลอยที่วางอยู่ แต่ขณะที่เก็บ ก็พบว่า แหวนเพชรขนาด 1 กะรัต รูปหัวใจ ราคา 300,000 บาท อีกวงหายไป จึงคิดว่าน่าจะถูกหญิงสาวคนนั้นเอาไปแน่” นางรัชประภา กล่าวและว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบโทรศัพท์หาบุตรสาว แต่ปรากฏว่า บุตรสาวดันลืมโทรศัพท์ไว้ในรถอีก ในขณะที่ตนจะวิ่งตามไป ก็เป็นห่วงร้าน ทิ้งไปไม่ได้ เพราะยังมีแหวนเพชรอยู่อีกจำนวนมาก จนกระทั่งบุตรสาววิ่งกลับขึ้นมาบอกว่า หญิงสาวคนดังกล่าว เป็นคนไม่ดี และคงจะไม่ซิ้อแหวนเราแล้ว เนื่องจากจังหวะที่เดินไปจะกดเงิน จู่ๆ หญิงสาวคนดังกล่าว ก็วิ่งขึ้นรถแท็กซี่ และพยายามจะฉุดมือบุตรสาวขึ้นไปด้วย แต่บุตรสาวสะบัดมือ และเดินกลับมาที่ร้าน เมื่อมาถึงจึงทราบเรื่องดังกล่าว จากนั้นรีบแจ้งไปยังสถานีวิทยุ จส.100 เพื่อให้ประชาสัมพันธืถึงรถแท็กซี่ที่รับหญิงสาวคนดังกล่าวขึ้นไป โดยบุตรสาวจำได้เพียงหมายเลขทะเบียน 5ท 4888 กทม. ส่วนสีและยี่ห้อรถจำไม่ได้ จากนั้นได้รีบแจ้งให้ตำรวจมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ
“ทุกวันนี้ พี่ยังไม่มีบ้านอยู่ โดยเพิ่งซื้อบ้านได้หลังเรื่องจบ แต่จริงๆ ยังไม่จบ พี่พยายามหาซื้อบ้าน แต่หลายโครงการ ไม่มีเจ้าของโครงการไหน ยอมขายบ้านให้พี่แม้แต่รายเดียว จะไปเช่าบ้านที่ไหน ก็ไม่มีใครยอมให้เช่า จนมีคนรู้จัก ให้คอนโดฯอยู่แถวย่านสวนสยาม พี่กับลูกสาวต้องไปเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล พี่ร้องเรียนไปหลายที่ ทาง สคบ.กับ กทม.ก็มีมติสั่งให้ฟ้องโครงการที่ไม่ยอมขายบ้านให้พี่ ตั้งแต่เมื่อปี 2548 แต่หลังจากนั้น ก็ยังไม่มีใครขายบ้านให้พี่ จนเมื่อเดือน มี.ค.พี่ต้องให้ลูกชายกับลูกสาวทำเหมือนเป็นคู่รักกันไปซื้อบ้านในซอยวัชรพล และเพิ่งโอนไปเมื่อประมาณ เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา และเมื่อเช้าที่ผ่านมา ก็เพิ่งนำพระเข้าบ้านเป็นสิริมงคล แต่ก็มาเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก ไม่รู้ชีวิตจะซวยอะไรนักหนา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พี่ก็ยังไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯในตอนเย็นทุกวันไม่เคยขาด” นางรัชประภา กล่าวทั้งน้ำตา
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้พบกับ นายประสิทธิ์ แซ่พู อายุ 47 ปี โชเฟอร์รถแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า โคโรลล่า สีเขียว-เหลือง หมายเลขทะเบียน 5ท-4888 กทม.ซึ่งตรงกับเลขทะเบียนตามที่ลูกสาวนางรัชประภา ให้การว่า รับคนร้ายขึ้นรถไป จึงเข้าไปสอบถามก็ ได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุตนจอดรถรอรับผู้โดยสารอยู่ด้านหน้าห้าง จากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวก็เข้ามาว่าจ้างให้ตนขับไปส่งที่ สน.มีนบุรี โดยขณะนั้นยังไม่ทราบว่า ผู้หญิงคนดังกล่าวเป็นคนร้ายที่ชิงแหวนเพชรมา ตนจึงขับรถออกจากหน้าห้างไป
“ระหว่างทางเขาบอกให้ผมขับเร็วหน่อย ผมก็บอกเขาว่า รถเก่าแล้วขับเร็วมากไม่ได้ พอขับมาถึงที่บริเวณหน้าโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี เขาก็ขอลงโดยบอกผมว่า จะมีคนมารับ แล้วก็จ่ายเงินค่าโดยสารมา 40 บาท หลังจากนั้น ผมก็ขับรถกลับมารอรับผู้โดยสารที่หน้าห้างตามเดิม จนกระทั่งมาทราบเรื่องภายหลังว่า ผู้หญิงมี่ผมรับไปเป็นคนร้าย” นายประสิทธิ์ กล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำภาพวงจรปิดจากห้างไปตรวจสอบหารูปพรรณสัณฐานของหญิงสาวคนร้าย และสอบปากคำผู้เสียหาย รวมทั้ง นายประสิทธิ์ โชเฟอร์รถแท็กซี่ อย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาเบาะแสให้สายสืยดำเนินการสืบสวนและติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้ต่อไป