โดย จอมปลวก
คำขวัญ "ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" สมัย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจในอดีต แต่ในปัจจุบันมันกลับตรงกันข้ามในหลาย ๆอย่างที่ไม่มีตำรวจไทยในสมัย "พัชรวาท วงษ์สุวรรณ" เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทำไม่ได้จริง ๆ เวลาเพียงกว่า 20 วันในเดือนกรกฎาคมปีนี้ โจร ผู้ร้ายชุกชุม อดอยากปากแห้ง ออกอาละวาดปล้นกิน จี้เค้ากิน เกือบทุกวัน บางรายจี้ซ้ำซากเย้ยหยันการทำงานของตำรวจบ่อยครั้ง กระหน่ำก่อเหตุรวดเดียวหลายแห่ง ที่ทำบ่อยเพราะได้เงินน้อย หรือรู้ว่าตำรวจไทยไร้น้ำยา จึงหยามใจทำซ้ำ ทำซ้อน จนกว่าจะถูกจับกุมได้ อันนี้ไม่สามารถจะชี้ชัดได้เช่นกัน ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์จริง เกิดขึ้นจริง ตำรวจจับผู้ร้ายได้บ้างไม่ได้บ้างจริงๆ
โจรแสบบุกจี้เดี่ยวรายแรก เกิดขึ้นเมื่อ 3 ก.ค.51 "หยุด! นี่คือการปล้น" สิ้นเสียงโจรตาโตแต่งกายคล้ายพนักงานส่งเอกสาร มันใช้เวลาเพียง 1 นาที เข้าจี้พนักงานธนาคารนครหลวงไทย สาขาสามย่าน กวาดเงินสดไปได้ 350,000 บาท ณ วันนั้นตำรวจระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่นบอกว่า โจรมันน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ก่อเหตุจี้ธนาคารออมสิน สาขาสามย่าน ที่ยังหนีลอยนวล เพราะจากที่ดูภาพช่วงแผนหลังและลักษณะการวิ่งในกล้องวงจรปิด มันคล้ายกันมาก ถ้าไม่มีกล้องหรือวันที่เกิดเหตุกล้องเสีย หรือพยานในเหตุการณ์ตื่นตระหนกตกใจกลัวจนจำรูปพรรณสัณฐานโจรไม่ได้จะจับกุมคนร้ายได้หรือไม่ ข้อนี้เป็นเรื่องน่าคิดและทบทวน
วันรุ่งขึ้น 4 ก.ค.51 สตช. พึ่งจะงวงเงียตื่น! โดยพล.ต.ต.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกมานั่งแถลงข่าวถึงกรณีเหตุคนร้ายบุกเข้าปล้นธนาคารในเมืองกรุง และในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเกิดในวันเดียวกัน ต่างกรรม ต่างวาะ ต่างเวลา บอกว่าทั่น "พัชรวาท" เห็นว่าควรสั่งการให้"พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" รอง ผบ.ตร.(ปป. 1 ) ประสานการทำงานร่วมปราบโจรกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
วันที่ 6 ก.ค. 51 ตร.เริ่มเอาจริง สั่งตั้งจุดสกัดพื้นที่ล่อแหลมก่ออาชญากรรม หลังเกิดเหตุโจรปล้นแบงก์วันเดียว 2 ราย โดยได้จัดกำลังตรวจตราธนาคาร ร้านทอง ส่งสายสืบออกหาข่าวกลุ่มหรือแก๊งที่ลงมือปล้นแบงก์ พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ผู้ประกอบการถึงวิธีป้องกันภัย
15 ก.ค. 51 “เพรียวพันธ์” มีคำสั่งที่ 0001(ปป 1) /1469 ถึง “พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง” ผบช.น. มอบงานให้ดูแลป้องกันปราบปรามโจรปล้นแบงก์ ร้านทอง หลังเกิดเหตุอุกอาจในหลายพื้นที่ กทม.และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ พร้อมทั้งได้กำชับเพิ่มความถี่ตั้งจุดตรวจ-จุดสกัดบริเวณพื้นที่และเส้นทางล่อแหลม พร้อมส่งทีมสืบหาเบาะแสกลุ่มแก๊งที่เคยก่อคดี รวมถึงให้เร่งขอความร่วมมือและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบกิจการธนาคาร ร้านค้าทองคำ และร้านสะดวกซื้อในพื้นที่รับผิดชอบทราบถึงวิธีการป้องกันทรัพย์สินของตนเอง เช่น ติดตั้งกล้องวงจรผิด CCTV ที่สามารถตรวจสอบภายหลังเกิดเหตุได้ หรือมีพนักงานรักษาความปลอดภัยดูแลร้านค้าทองคำของตนเองอีกส่วนหนึ่ง รวมทั้งการติดตั้งสัญญาณเตือนภัยระหว่างธนาคาร ร้านค้าทองคำและร้านสะดวกซื้อกับสถานีตำรวจที่สามารถแจ้งเหตุได้โดยทันทีและรวดเร็วที่สุด และจัดให้มีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอย่างสม่ำเสมอ
แผนงานที่ตร.วางไว้มันดูเข้าท่าดี แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความเข้มในการปฏิบัติ ซึ่งต้องคอยติดตามกันต่อไปว่าโจรระดับล่างจะหมดไปโดยเร็วตามที่คุยโว้ไว้หรือไม่
เพียงแค่ข้ามวัน 16 ก.ค. 51 โชเฟอร์แท็กซี่ก็ก่อเหตุท้าทายแผนงานดังกล่าว จี้น.ส.พรรณิภา ร่างเจริญ พนักงานร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ขณะนั่งแท็กซี่ตอนตี 4 ตรงบริเวณปากซอยวัดตะกล่ำ ย่านประเวศ ให้ไปส่งที่สถานีขนส่งหมอชิตใหม่ แต่ตร.ก็ทันควันโถ.. แค่โจร.แท็กซี่แค่นี้ทำไมจะจับไม่ได้ เพราะผู้เสียหายสามารถจำเลขทะเบียน ยี่ห้อรถแท็กซี่ได้ จึงบอกให้ไปตามจับ
เช้าอีกวัน 17 ก.ค. 51 โรงพักหัวหมากได้นำตัวนายวสันต์ อามีนะ อายุ 30 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า อัลติส สีฟ้า หมายเลขทะเบียน ทพ-9402 กทม. มาแถลงสร้างภาพ เพื่อสร้างผลงานบอกจับได้แล้ว ไอ้โจรแท็กซี่สารภาพใช้ประแจถอดล้อรถจี้ชิงทรัพย์ ได้ของไปเยอะแต่ยังไม่ได้ใช้ก็มาถูกจับได้เสียก่อน ที่ทำไปเพราะเมียท้องแก่ใกล้คลอดไม่มีเงิน และยังหาค่าเช่ารถไม่ได้เศรษฐกิจไม่ดีหาเงินไม่คล่อง ตร.จึงยึดของกลางเงินสดเกือบ 2 พัน กล้องดิจิตอล-เกมเพลย์สเตชัน โทร.มือถือ ไว้เป็นหลักฐาน และไปตรวจห้องพักเจอบัตรประจำตัวประชาชนผู้เสียหายรายอื่นด้วย คาดน่าจะทำมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ช่วงสายๆ ของวันที่ 18 ก.ค. 51 ตำรวจนครบาลเครียด เรียกประชุมนายตำรวจระดับผกก.และสว.หลายโรงพักในท้องที่ ที่เกิดเหตุคนร้ายบุกจี้ชิงทรัพย์ภายในร้านสะดวกซื้อคืนเดียว 4 แห่งรวด ร้านแฟมิลี่ มาร์ท ปากซอยรามอินทรา 46/1 ท้องที่ สน.โคกคราม ร้านเซเว่นฯ ปากซอยรามอินทรา 109 ภายในปั๊มน้ำมัน ปตท.สาขาถนนสุวินทวงศ์ ท้องที่ สน.มีนบุรี และปั๊มน้ำมันเชลล์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ท้องที่ สน.มักกะสัน โดยหลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ตรวจสอบรูปภาพของคนร้ายทางกล้องวงจรปิดในร้านมินิมาร์ทที่เกิดเหตุใน 2 ท้องที่แล้ว ก็บอกว่าน่าจะยืนยันได้ว่าคนร้ายที่ก่อเหตุน่าจะเป็นคนร้ายคนเดียวกัน ซึ่งหลังจากการประชุมครั้งนั้น ตร.ระดับนายที่มีอำนาจสั่งการปราบโจร ก็ได้พาสื่อมวลชนทุกแขนงตะเวนดูจุดเกิดเหตุและดูภาพคนร้ายก่อเหตุในกล้องวงจรปิด แม้ราคาน้ำมันจะแพงก็จะพาไปดูให้เห็นกับตา ทำเพื่ออะไร
19 ก.ค. 51 เกิดเหตุจี้เซเว่นฯอีก 2 ร้านรวด ร้านแรกอยู่ปากซอยปรีดีพนมยงค์ 13 สุขุมวิท 71 เขตคลองตัน ร้านที่สองแถวเพชรบุรี ดีที่มีพลเมืองดีโทรแจ้งเบาะแสกับตำรวจ จึงไปไม่รอดถูก 191 สกัดจับได้ โจรรายนี้ชื่อนายนันทวุฒิ พรมใจ อายุ 30 ปี อาชีพเป็นช่างซ่อมแอร์และตู้เย็นอยู่ร้านอิเล็กทรอนิกส์ย่านวัชรพล สารภาพต้องการหาเงินใช้หนี้และส่งให้ครอบครัว โดยเมียเรียนปริญญาโทอยู่นครศรีธรรมราช และจะนำไปไถ่ทองให้แม่ยาย โจรทุกคนมีเหตุผลกันทั้งนั้น แต่ผู้ที่ถูกโจรจี้มันต้องทำงานหากินสุจริตและต้องมาเจอเหตุแบบนี้ก็ไม่ไหว ตำรวจไทยช่วยหน่อย ซึ่งในวันเดียวกันผบช.น.ก็ให้ข่าวเตรียมว่าจะให้รางวัลตำรวจชุดจับกุม และจะเดินหน้าปราบปรามต่อไปว่างั้น
20 ก.ค. 51 นายณรงค์ หรือ “ตั้ม” เรืองฤทธิ์ อายุ 23 ปี นักศึกษาวิศวะปี 4 ใช้อาวุธมีดหัวตัดบุกจี้ร้านทอง กวาดสร้อยหนักกว่า 25 บาท ขึ้นแท็กซี่หนี สุดท้ายไปไม่รอดถูกตำรวจตามรวบทันควัน สารภาพหลงเดินทางผิดรับเดินโพยพนันบอล แต่ผีพนันเข้าสิงเอาเงินกว่าแสนไปเล่นกำถั่วจนหมด ไม่มีเงินใช้หนี้โต๊ะบอลจึงต้องก่อเหตุหาเงินใช้หนี้
อยากเห็นบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อก้าวย่างออกจากบ้านไม่ต้องพบเจอถูกโจรฝึกหัด ถูกโจรมืออาชีพปล้น จี้ รายชั่วโมงหากจะถามประชาชนส่วนใหญ่แล้ว หลายต่อหลายความคิด อยากให้ตำรวจไทย และระดับนักการเมืองที่ทั่นได้รับความไว้วางใจถูกเลือกไปเป็นตัวแทนในสภา บริหารประเทศให้ประชาชนเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นในความปลอดภัย เกิดความมั่นใจจะอยู่ดีกินดี ไม่มีโจรชั่วค่อยกัดกร่อนสร้างความเดือนร้อนให้ต้องเสี่ยง และตระหนกกับปัญหาอาชญากรรมรายวัน ที่สำคัญ อยากสะกดคำว่าบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ภายใต้สโลแกนผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทำงานรับใช้ประชาชนในยุค "หมัก" เป็นนายก ยุค "พัชรวาท" เป็นผบ.ตร. หากทุกฝ่ายป้องกันเหตุไม่ให้เกิดการก่ออาชญากรรมได้ง่ายขึ้น นายตำรวจทั้งหลายจะได้มีเวลาไปตามปราบผู้ร้ายระดับชาติได้มากขึ้น ไม่ใช่มีเวลาทำงานรับเงินเดือนจากภาษีประชาชน เพียงแค่วิ่งไล่จับโจรลักเล็กขโมยน้อย โจรห้าร้อยกระจอกจี้ปล้นรายวันเท่านั้น
คำขวัญ "ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" สมัย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจในอดีต แต่ในปัจจุบันมันกลับตรงกันข้ามในหลาย ๆอย่างที่ไม่มีตำรวจไทยในสมัย "พัชรวาท วงษ์สุวรรณ" เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทำไม่ได้จริง ๆ เวลาเพียงกว่า 20 วันในเดือนกรกฎาคมปีนี้ โจร ผู้ร้ายชุกชุม อดอยากปากแห้ง ออกอาละวาดปล้นกิน จี้เค้ากิน เกือบทุกวัน บางรายจี้ซ้ำซากเย้ยหยันการทำงานของตำรวจบ่อยครั้ง กระหน่ำก่อเหตุรวดเดียวหลายแห่ง ที่ทำบ่อยเพราะได้เงินน้อย หรือรู้ว่าตำรวจไทยไร้น้ำยา จึงหยามใจทำซ้ำ ทำซ้อน จนกว่าจะถูกจับกุมได้ อันนี้ไม่สามารถจะชี้ชัดได้เช่นกัน ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์จริง เกิดขึ้นจริง ตำรวจจับผู้ร้ายได้บ้างไม่ได้บ้างจริงๆ
โจรแสบบุกจี้เดี่ยวรายแรก เกิดขึ้นเมื่อ 3 ก.ค.51 "หยุด! นี่คือการปล้น" สิ้นเสียงโจรตาโตแต่งกายคล้ายพนักงานส่งเอกสาร มันใช้เวลาเพียง 1 นาที เข้าจี้พนักงานธนาคารนครหลวงไทย สาขาสามย่าน กวาดเงินสดไปได้ 350,000 บาท ณ วันนั้นตำรวจระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่นบอกว่า โจรมันน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ก่อเหตุจี้ธนาคารออมสิน สาขาสามย่าน ที่ยังหนีลอยนวล เพราะจากที่ดูภาพช่วงแผนหลังและลักษณะการวิ่งในกล้องวงจรปิด มันคล้ายกันมาก ถ้าไม่มีกล้องหรือวันที่เกิดเหตุกล้องเสีย หรือพยานในเหตุการณ์ตื่นตระหนกตกใจกลัวจนจำรูปพรรณสัณฐานโจรไม่ได้จะจับกุมคนร้ายได้หรือไม่ ข้อนี้เป็นเรื่องน่าคิดและทบทวน
วันรุ่งขึ้น 4 ก.ค.51 สตช. พึ่งจะงวงเงียตื่น! โดยพล.ต.ต.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกมานั่งแถลงข่าวถึงกรณีเหตุคนร้ายบุกเข้าปล้นธนาคารในเมืองกรุง และในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเกิดในวันเดียวกัน ต่างกรรม ต่างวาะ ต่างเวลา บอกว่าทั่น "พัชรวาท" เห็นว่าควรสั่งการให้"พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" รอง ผบ.ตร.(ปป. 1 ) ประสานการทำงานร่วมปราบโจรกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
วันที่ 6 ก.ค. 51 ตร.เริ่มเอาจริง สั่งตั้งจุดสกัดพื้นที่ล่อแหลมก่ออาชญากรรม หลังเกิดเหตุโจรปล้นแบงก์วันเดียว 2 ราย โดยได้จัดกำลังตรวจตราธนาคาร ร้านทอง ส่งสายสืบออกหาข่าวกลุ่มหรือแก๊งที่ลงมือปล้นแบงก์ พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ผู้ประกอบการถึงวิธีป้องกันภัย
15 ก.ค. 51 “เพรียวพันธ์” มีคำสั่งที่ 0001(ปป 1) /1469 ถึง “พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง” ผบช.น. มอบงานให้ดูแลป้องกันปราบปรามโจรปล้นแบงก์ ร้านทอง หลังเกิดเหตุอุกอาจในหลายพื้นที่ กทม.และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ พร้อมทั้งได้กำชับเพิ่มความถี่ตั้งจุดตรวจ-จุดสกัดบริเวณพื้นที่และเส้นทางล่อแหลม พร้อมส่งทีมสืบหาเบาะแสกลุ่มแก๊งที่เคยก่อคดี รวมถึงให้เร่งขอความร่วมมือและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบกิจการธนาคาร ร้านค้าทองคำ และร้านสะดวกซื้อในพื้นที่รับผิดชอบทราบถึงวิธีการป้องกันทรัพย์สินของตนเอง เช่น ติดตั้งกล้องวงจรผิด CCTV ที่สามารถตรวจสอบภายหลังเกิดเหตุได้ หรือมีพนักงานรักษาความปลอดภัยดูแลร้านค้าทองคำของตนเองอีกส่วนหนึ่ง รวมทั้งการติดตั้งสัญญาณเตือนภัยระหว่างธนาคาร ร้านค้าทองคำและร้านสะดวกซื้อกับสถานีตำรวจที่สามารถแจ้งเหตุได้โดยทันทีและรวดเร็วที่สุด และจัดให้มีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอย่างสม่ำเสมอ
แผนงานที่ตร.วางไว้มันดูเข้าท่าดี แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความเข้มในการปฏิบัติ ซึ่งต้องคอยติดตามกันต่อไปว่าโจรระดับล่างจะหมดไปโดยเร็วตามที่คุยโว้ไว้หรือไม่
เพียงแค่ข้ามวัน 16 ก.ค. 51 โชเฟอร์แท็กซี่ก็ก่อเหตุท้าทายแผนงานดังกล่าว จี้น.ส.พรรณิภา ร่างเจริญ พนักงานร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ขณะนั่งแท็กซี่ตอนตี 4 ตรงบริเวณปากซอยวัดตะกล่ำ ย่านประเวศ ให้ไปส่งที่สถานีขนส่งหมอชิตใหม่ แต่ตร.ก็ทันควันโถ.. แค่โจร.แท็กซี่แค่นี้ทำไมจะจับไม่ได้ เพราะผู้เสียหายสามารถจำเลขทะเบียน ยี่ห้อรถแท็กซี่ได้ จึงบอกให้ไปตามจับ
เช้าอีกวัน 17 ก.ค. 51 โรงพักหัวหมากได้นำตัวนายวสันต์ อามีนะ อายุ 30 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า อัลติส สีฟ้า หมายเลขทะเบียน ทพ-9402 กทม. มาแถลงสร้างภาพ เพื่อสร้างผลงานบอกจับได้แล้ว ไอ้โจรแท็กซี่สารภาพใช้ประแจถอดล้อรถจี้ชิงทรัพย์ ได้ของไปเยอะแต่ยังไม่ได้ใช้ก็มาถูกจับได้เสียก่อน ที่ทำไปเพราะเมียท้องแก่ใกล้คลอดไม่มีเงิน และยังหาค่าเช่ารถไม่ได้เศรษฐกิจไม่ดีหาเงินไม่คล่อง ตร.จึงยึดของกลางเงินสดเกือบ 2 พัน กล้องดิจิตอล-เกมเพลย์สเตชัน โทร.มือถือ ไว้เป็นหลักฐาน และไปตรวจห้องพักเจอบัตรประจำตัวประชาชนผู้เสียหายรายอื่นด้วย คาดน่าจะทำมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ช่วงสายๆ ของวันที่ 18 ก.ค. 51 ตำรวจนครบาลเครียด เรียกประชุมนายตำรวจระดับผกก.และสว.หลายโรงพักในท้องที่ ที่เกิดเหตุคนร้ายบุกจี้ชิงทรัพย์ภายในร้านสะดวกซื้อคืนเดียว 4 แห่งรวด ร้านแฟมิลี่ มาร์ท ปากซอยรามอินทรา 46/1 ท้องที่ สน.โคกคราม ร้านเซเว่นฯ ปากซอยรามอินทรา 109 ภายในปั๊มน้ำมัน ปตท.สาขาถนนสุวินทวงศ์ ท้องที่ สน.มีนบุรี และปั๊มน้ำมันเชลล์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ท้องที่ สน.มักกะสัน โดยหลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ตรวจสอบรูปภาพของคนร้ายทางกล้องวงจรปิดในร้านมินิมาร์ทที่เกิดเหตุใน 2 ท้องที่แล้ว ก็บอกว่าน่าจะยืนยันได้ว่าคนร้ายที่ก่อเหตุน่าจะเป็นคนร้ายคนเดียวกัน ซึ่งหลังจากการประชุมครั้งนั้น ตร.ระดับนายที่มีอำนาจสั่งการปราบโจร ก็ได้พาสื่อมวลชนทุกแขนงตะเวนดูจุดเกิดเหตุและดูภาพคนร้ายก่อเหตุในกล้องวงจรปิด แม้ราคาน้ำมันจะแพงก็จะพาไปดูให้เห็นกับตา ทำเพื่ออะไร
19 ก.ค. 51 เกิดเหตุจี้เซเว่นฯอีก 2 ร้านรวด ร้านแรกอยู่ปากซอยปรีดีพนมยงค์ 13 สุขุมวิท 71 เขตคลองตัน ร้านที่สองแถวเพชรบุรี ดีที่มีพลเมืองดีโทรแจ้งเบาะแสกับตำรวจ จึงไปไม่รอดถูก 191 สกัดจับได้ โจรรายนี้ชื่อนายนันทวุฒิ พรมใจ อายุ 30 ปี อาชีพเป็นช่างซ่อมแอร์และตู้เย็นอยู่ร้านอิเล็กทรอนิกส์ย่านวัชรพล สารภาพต้องการหาเงินใช้หนี้และส่งให้ครอบครัว โดยเมียเรียนปริญญาโทอยู่นครศรีธรรมราช และจะนำไปไถ่ทองให้แม่ยาย โจรทุกคนมีเหตุผลกันทั้งนั้น แต่ผู้ที่ถูกโจรจี้มันต้องทำงานหากินสุจริตและต้องมาเจอเหตุแบบนี้ก็ไม่ไหว ตำรวจไทยช่วยหน่อย ซึ่งในวันเดียวกันผบช.น.ก็ให้ข่าวเตรียมว่าจะให้รางวัลตำรวจชุดจับกุม และจะเดินหน้าปราบปรามต่อไปว่างั้น
20 ก.ค. 51 นายณรงค์ หรือ “ตั้ม” เรืองฤทธิ์ อายุ 23 ปี นักศึกษาวิศวะปี 4 ใช้อาวุธมีดหัวตัดบุกจี้ร้านทอง กวาดสร้อยหนักกว่า 25 บาท ขึ้นแท็กซี่หนี สุดท้ายไปไม่รอดถูกตำรวจตามรวบทันควัน สารภาพหลงเดินทางผิดรับเดินโพยพนันบอล แต่ผีพนันเข้าสิงเอาเงินกว่าแสนไปเล่นกำถั่วจนหมด ไม่มีเงินใช้หนี้โต๊ะบอลจึงต้องก่อเหตุหาเงินใช้หนี้
อยากเห็นบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อก้าวย่างออกจากบ้านไม่ต้องพบเจอถูกโจรฝึกหัด ถูกโจรมืออาชีพปล้น จี้ รายชั่วโมงหากจะถามประชาชนส่วนใหญ่แล้ว หลายต่อหลายความคิด อยากให้ตำรวจไทย และระดับนักการเมืองที่ทั่นได้รับความไว้วางใจถูกเลือกไปเป็นตัวแทนในสภา บริหารประเทศให้ประชาชนเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นในความปลอดภัย เกิดความมั่นใจจะอยู่ดีกินดี ไม่มีโจรชั่วค่อยกัดกร่อนสร้างความเดือนร้อนให้ต้องเสี่ยง และตระหนกกับปัญหาอาชญากรรมรายวัน ที่สำคัญ อยากสะกดคำว่าบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ภายใต้สโลแกนผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทำงานรับใช้ประชาชนในยุค "หมัก" เป็นนายก ยุค "พัชรวาท" เป็นผบ.ตร. หากทุกฝ่ายป้องกันเหตุไม่ให้เกิดการก่ออาชญากรรมได้ง่ายขึ้น นายตำรวจทั้งหลายจะได้มีเวลาไปตามปราบผู้ร้ายระดับชาติได้มากขึ้น ไม่ใช่มีเวลาทำงานรับเงินเดือนจากภาษีประชาชน เพียงแค่วิ่งไล่จับโจรลักเล็กขโมยน้อย โจรห้าร้อยกระจอกจี้ปล้นรายวันเท่านั้น