ญาตินักศึกษา ม.ศรีปทุม ร้องกองปราบปราม หลานชายถูกเด็กช่างกลแทงบนรถเมล์อาการปางตาย แต่คดีไม่มีความคืบหน้า โดยตำรวจท้องที่สน.พหลโยธิน อ้างพยานไม่ให้ความร่วมมือ
วันนี้ (21 ก.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายชัยวิทย์ สินยัง อายุ 50 ปี นางจิตรา สินยัง อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 193 หมู่ 13 ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง อาชีพขายไก่ทอด และนางปุณยวีร์ จิตประพันธ์ บิดามารดาและน้าสาวของ นายอมร หรือ มร สินยัง อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะการจัดการอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังถูกคนร้าย 2 คนใช้อาวุธมีดแทงบนรถโดยสารประจำทาง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.คมกฤช สังข์ทอง พงส.(สบ.2) ฝป.10 บก.ป.เพื่อร้องทุกข์ขอให้ความเป็นธรรมในคดีดังกล่าว และให้ช่วยสืบสวนติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี หลังจากได้แจ้งความไว้ที่ สน.พหลโยธิน ตั้งแต่วันเกิดเหตุ แต่คดีกลับยังไม่มีความคืบหน้า
นางปุณยวีร์ กล่าวว่า หลานชายเป็นเด็กเรียนดีและมีนิสัยเรียบร้อย ไม่เคยมีปัญหาทะเลาะกับใคร โดยในวันเกิดเหตุหลานชายได้ขึ้นรถโดยสารประจำทางสาย 29 หมายเลขทะเบียน 11-8931 จากป้ายรถประจำทางใกล้กับแยกราชเทวี ก่อนจะพบกับกลุ่มนักศึกษาสถาบันชื่อดังแห่งหนึ่งย่านปทุมวัน รวมทั้งหมด 13 คน ซึ่งนักศึกษากลุ่มนี้ได้เข้ามาหาเรื่องหลานชาย โดยถามว่าเรียนที่ไหน แต่หลานชายตนไม่ตอบ และพยายามหลีกเลี่ยงก่อนจะถูกชนจนสมุดที่ถือมาตกลงกับพื้น หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาได้หยิบขึ้นมาเพื่อดูสถาบันที่หลานชายเรียนอยู่ กระทั่งเมื่อรถวิ่งไปถึงป้ายอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หลานชายก็ถูกนักศึกษากลุ่มนี้ชกเข้าที่เบ้าตา โดยระหว่างทางทั้งหมดก็ยังพยายามหาเรื่องหลานชายมาตลอด ส่วนสาเหตุที่หลานชายไม่ลงหนีลงจากรถ เพราะกลัวจะถูกกลุ่มนักศึกษาตามลงมาทำร้าย
“พอรถวิ่งมาถึงสวนจตุจักรป้ายสุดท้าย 2 คนในกลุ่มนักศึกษาได้ชักอาวุธมีดออกมาแทงหลานชาย เข้าที่ชายโครงขวา นอกจากนี้ ได้ใช้มีดแทงที่แขนขวา ก่อนจะวิ่งลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกที่เหลืออีก 11 คน ได้ลงไปขึ้นรถโดยสารประจำทางสาย 510 เมื่อคนขับทราบเรื่อง จึงจอดรถที่ป้าย ปตท.ระหว่างนั้นมีพลเมืองดีพาหลานชายไปส่ง รพ.วิภาวดี ก่อนจะแจ้งให้ญาติทราบ” น้าสาวผู้เสียหาย กล่าว
นางปุณยวีร์ กล่าวอีกว่า ครั้งแรกที่ทราบอาการหลานชาย ทางญาติต่างพากันวิตกกังวล เพราะแพทย์บอกว่าบาดแผลถูกแทงนั้นทะลุเข้าที่ปอดและตับ จนหลานชายช็อกหมดสติไป เนื่องจากเสียเลือดมาก แต่หลังจากหลานชายรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูของ รพ.วิภาวดี 5 วันแล้วญาติจึงตัดสินใจพาไปรักษาที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า โดยยังต้องรักษาตัวที่ห้องไอซียู อาการทรงตัว รับรู้เมื่อญาติมาเยี่ยมแต่ยังไม่สามารถพูดได้ ซึ่งที่นี่แพทย์ได้เย็บแผลที่แขนขวาให้ด้วย
นางปุณยวีร์ กล่าวถึงเรื่องการติดตามดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุว่า ที่ผ่านมาทางตำรวจ สน.พหลโยธิน ได้เรียกพยาน คือพนักงานเก็บค่าโดยสารและคนขับรถประจำทางคันเกิดเหตุ รวมทั้งพยานที่เป็นผู้โดยสารบนรถ แต่ตำรวจอ้างว่าพยานไม่ให้ความร่วมมือโดยเฉพาะพนักงานเก็บค่าโดยสารที่บอกปัดว่าไม่ทราบเรื่อง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะระยะทางจากป้าย อนุสาวรีย์ชัยฯ ถึงสวนจตุจักร เป็นระยะทางไกล และตามปกติพนักงานเก็บค่าโดยสารต้องคอยสังเกตผู้โดยสารบนรถอยู่แล้ว
นางปุณยวีร์ กล่าวต่อว่า เมื่อคดีไม่คืบหน้าทางญาติจึงออกติดตามหาพยานและสืบหาตัวนักศึกษาที่ก่อเหตุกันเองก่อนจะตัดสินใจพากันเข้าแจ้งความที่ บก.ป.เพื่อให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ และอยากวอนให้พยานที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ช่วยมาให้ปากคำกับตำรวจด้วย อย่างไรก็ดี ทางพนักงานสอบสวน ฝป.10 บก.ป.เห็นว่า ทางญาติได้แจ้งความที่ สน.พหลโยธิน ไว้แล้ว จึงรับว่าจะประสานกับพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเพื่อเร่งรัดคดีที่เกิดขึ้น
วันนี้ (21 ก.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายชัยวิทย์ สินยัง อายุ 50 ปี นางจิตรา สินยัง อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 193 หมู่ 13 ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง อาชีพขายไก่ทอด และนางปุณยวีร์ จิตประพันธ์ บิดามารดาและน้าสาวของ นายอมร หรือ มร สินยัง อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะการจัดการอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังถูกคนร้าย 2 คนใช้อาวุธมีดแทงบนรถโดยสารประจำทาง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.คมกฤช สังข์ทอง พงส.(สบ.2) ฝป.10 บก.ป.เพื่อร้องทุกข์ขอให้ความเป็นธรรมในคดีดังกล่าว และให้ช่วยสืบสวนติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี หลังจากได้แจ้งความไว้ที่ สน.พหลโยธิน ตั้งแต่วันเกิดเหตุ แต่คดีกลับยังไม่มีความคืบหน้า
นางปุณยวีร์ กล่าวว่า หลานชายเป็นเด็กเรียนดีและมีนิสัยเรียบร้อย ไม่เคยมีปัญหาทะเลาะกับใคร โดยในวันเกิดเหตุหลานชายได้ขึ้นรถโดยสารประจำทางสาย 29 หมายเลขทะเบียน 11-8931 จากป้ายรถประจำทางใกล้กับแยกราชเทวี ก่อนจะพบกับกลุ่มนักศึกษาสถาบันชื่อดังแห่งหนึ่งย่านปทุมวัน รวมทั้งหมด 13 คน ซึ่งนักศึกษากลุ่มนี้ได้เข้ามาหาเรื่องหลานชาย โดยถามว่าเรียนที่ไหน แต่หลานชายตนไม่ตอบ และพยายามหลีกเลี่ยงก่อนจะถูกชนจนสมุดที่ถือมาตกลงกับพื้น หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาได้หยิบขึ้นมาเพื่อดูสถาบันที่หลานชายเรียนอยู่ กระทั่งเมื่อรถวิ่งไปถึงป้ายอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หลานชายก็ถูกนักศึกษากลุ่มนี้ชกเข้าที่เบ้าตา โดยระหว่างทางทั้งหมดก็ยังพยายามหาเรื่องหลานชายมาตลอด ส่วนสาเหตุที่หลานชายไม่ลงหนีลงจากรถ เพราะกลัวจะถูกกลุ่มนักศึกษาตามลงมาทำร้าย
“พอรถวิ่งมาถึงสวนจตุจักรป้ายสุดท้าย 2 คนในกลุ่มนักศึกษาได้ชักอาวุธมีดออกมาแทงหลานชาย เข้าที่ชายโครงขวา นอกจากนี้ ได้ใช้มีดแทงที่แขนขวา ก่อนจะวิ่งลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกที่เหลืออีก 11 คน ได้ลงไปขึ้นรถโดยสารประจำทางสาย 510 เมื่อคนขับทราบเรื่อง จึงจอดรถที่ป้าย ปตท.ระหว่างนั้นมีพลเมืองดีพาหลานชายไปส่ง รพ.วิภาวดี ก่อนจะแจ้งให้ญาติทราบ” น้าสาวผู้เสียหาย กล่าว
นางปุณยวีร์ กล่าวอีกว่า ครั้งแรกที่ทราบอาการหลานชาย ทางญาติต่างพากันวิตกกังวล เพราะแพทย์บอกว่าบาดแผลถูกแทงนั้นทะลุเข้าที่ปอดและตับ จนหลานชายช็อกหมดสติไป เนื่องจากเสียเลือดมาก แต่หลังจากหลานชายรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูของ รพ.วิภาวดี 5 วันแล้วญาติจึงตัดสินใจพาไปรักษาที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า โดยยังต้องรักษาตัวที่ห้องไอซียู อาการทรงตัว รับรู้เมื่อญาติมาเยี่ยมแต่ยังไม่สามารถพูดได้ ซึ่งที่นี่แพทย์ได้เย็บแผลที่แขนขวาให้ด้วย
นางปุณยวีร์ กล่าวถึงเรื่องการติดตามดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุว่า ที่ผ่านมาทางตำรวจ สน.พหลโยธิน ได้เรียกพยาน คือพนักงานเก็บค่าโดยสารและคนขับรถประจำทางคันเกิดเหตุ รวมทั้งพยานที่เป็นผู้โดยสารบนรถ แต่ตำรวจอ้างว่าพยานไม่ให้ความร่วมมือโดยเฉพาะพนักงานเก็บค่าโดยสารที่บอกปัดว่าไม่ทราบเรื่อง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะระยะทางจากป้าย อนุสาวรีย์ชัยฯ ถึงสวนจตุจักร เป็นระยะทางไกล และตามปกติพนักงานเก็บค่าโดยสารต้องคอยสังเกตผู้โดยสารบนรถอยู่แล้ว
นางปุณยวีร์ กล่าวต่อว่า เมื่อคดีไม่คืบหน้าทางญาติจึงออกติดตามหาพยานและสืบหาตัวนักศึกษาที่ก่อเหตุกันเองก่อนจะตัดสินใจพากันเข้าแจ้งความที่ บก.ป.เพื่อให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ และอยากวอนให้พยานที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ช่วยมาให้ปากคำกับตำรวจด้วย อย่างไรก็ดี ทางพนักงานสอบสวน ฝป.10 บก.ป.เห็นว่า ทางญาติได้แจ้งความที่ สน.พหลโยธิน ไว้แล้ว จึงรับว่าจะประสานกับพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเพื่อเร่งรัดคดีที่เกิดขึ้น