อัยการแจง ยึดหลักกรอบกฎหมายในการดำเนินคดีต่อจาก คตส.ไม่มีการดองคดี ระบุ สำนวนที่สมบูรณ์จริงๆ จึงจะส่งฟ้องศาล ส่วนคดีที่ไม่สมบูรณ์จะต้องสอบร่วม ยันไม่มีนโยบายถอนตัว หรือไม่ให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.
วันนี้ (11 ก.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวการยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีการแปลงสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นภาษีสรรพสามิตเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ว่า คดีนี้อัยการสูงสุดได้รับมอบสำนวนจาก คตส.เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2551 ที่ผ่านมา โดยเมื่ออัยการเห็นว่าสำนวนคดีดังกล่าวมีความสมบูรณ์เพียงพอ อัยการสูงสุดจึงได้สั่งฟ้องและยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ ในวันนี้ โดยเมื่อยื่นฟ้องแล้วศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่งจะรับฟ้องหรือไม่ ในวันที่ 3 ก.ย.นี้ เวลา 10.00 น.
ส่วนการพิจารณาสำนวน คตส.คดีทุจริตโครงการก่อสร้างระบบจ่ายไฟฟ้าและเครือข่าย ท่อร้อยสายสนามสุวรรณภูมิ นั้น คดีนี้ ที่ คตส.ส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งคดี ซึ่งมีผู้ถูกล่าวหารวม 21 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ข้าราชการ 2.เจ้าหน้าที่ของบริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) และ 3.บริษัทเอกชน อย่างไรก็ดี อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าคดียังมีข้อไม่สมบูรณ์ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา อัยการสูงสุด จึงได้เสนอข้อไม่สมบูรณ์ไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งทำหน้าที่รับสำนวนต่อจาก คตส.แต่งตั้งคณะกรรมการ่วมระหว่างอัยการ และ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาสำนวนร่วมกัน ทั้งนี้เกี่ยวกับรายละเอียดความไม่สมบูรณ์ในสำนวนนั้นมีอยู่หลายประเด็น
“การพิจารณาคดีต่างๆ ที่ผ่านมานั้น อัยการสูงสุดได้ทำตามที่กรอบกฎหมายกำหนด ซึ่ง พยายามพิจารณาสำนวนให้เสร็จภายใน 30 วัน หากล่าช้าอาจถูกโจมตีว่าทำไม่ทัน ส่วนที่มีข่าวว่าอัยการสูงสุด สั่งให้อัยการถอนตัว ไม่ให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.ในการทำหน้าที่คณะกรรมการร่วมนั้น ไม่เป็นความจริง ขอชี้แจงว่า ทาง อสส.ไม่ได้มีนโยบายที่จะกระทำเช่นนั้น” โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวและว่า อัยการ ขอยืนยันว่า ในคดีที่สำนวนมีความสมบูรณ์ ทางอัยการจะดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลในทันที โดยได้ทำการพิจารณาบนพื้นฐานของความเป็นจริง ถูกต้อง และเป็นธรรม