xs
xsm
sm
md
lg

ตร.สเกตช์ภาพขอหมายจับคนร้ายจี้แบงก์นครหลวง

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ตำรวจเร่งไล่ล่าคนร้ายบุกจี้ชิงทรัพย์แบงก์นครหลวงไทย สาขาสามย่าน ได้เงินสด 3.5 แสนเต็มที่ โดยได้แจกจ่ายภาพสเกตช์-ภาพคนร้ายจากกล้องวงจรปิดให้กับแบงก์ละแวกใกล้เคียง พร้อมประสาน “กรุงไทย แอ๊กซ่า” เจ้าของโลโก้แจ๊กเก็ตที่คนร้ายสวมใส่ขณะปฎิบัติการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง ด้าน สน.ปทุมวัน ขออนุมัติหมายจับชายไทยไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 30 ปีเศษ จากศาลอาญากรุงเทพใต้ หลังสอบพยาน 4 ปาก ระบุตรงกันว่าสามารถจดจำใบหน้าคนร้ายที่เดินเข้ามาในธนาคารก่อนสวมหมวกปิดบังใบหน้า ส่วน น.1 สั่ง ตร.ทุกหน่วยลงแขกช่วยลากคอคนร้าย มั่นใจ 2 วันรู้ผล


วันนี้ (4 ก.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น. พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา ผกก.สส.บก.น.6 เปิดเผยความคืบหน้าเหตุคนร้ายบุกเดี่ยวเข้าจี้ชิงทรัพย์เงินสด 3.5 แสนบาท ภายในธนาคารหลวงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสามย่าน ถนนพระราม 4 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กทม.ว่า เบื้องต้นได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งบริเวณด้านหน้าธนาคาร พบว่าก่อนคนร้ายลงมือชิงทรัพย์ได้เดินผ่านหน้าธนาคารไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงเวลา 12.44 น.เนื่องจากไม่สบโอกาสที่จะก่อเหตุจากนั้นย้อนกลับเข้ามาก่อเหตุภายในธนาคาร ส่วนคนร้ายสวมเสื้อแจ๊กเก็ตผ้าร่มสีน้ำเงิน คอปกแดง ซึ่งจากการขยายภาพในกล้องวงจรปิดลายปักด้านหลังเสื้อแจ๊กเก็ตเป็นของบริษัท กรุงไทย แอ๊กซ่า ซึ่งจะให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนนำภาพสเกตช์ของคนร้ายและภาพจากกล้องวงจรปิดไปให้กับบริษัท กรุงไทย แอ๊กซ่า ตรวจสอบว่าเป็นพนักงานในบริษัทหรือไม่ เนื่องจากเสื้อแจ๊กเก็ตดังกล่าวไม่ได้แจกให้กับพนักงานภายในองค์กรเท่านั้น ยังแจกให้กับลูกค้าภายนอกอีกด้วย

พ.ต.อ.สมบัติ กล่าวต่อว่า มีพยานที่เห็นเหตุการณ์ระบุว่าคนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีเขียว เคยมาดูลาดเลาแล้ว 2 ครั้ง ก่อนก่อเหตุซึ่งห่างกันเพียง 5 นาที โดยช่วงเกิดเหตุมีคนร้าย 2 คน อีก 1 คนเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ติดเครื่องรอพาหลบหนีก่อนเที่ยงวัน อยู่ระหว่างนำภาพผู้ต้องสงสัยที่เข้าไปทำธุรกรรมการเงินในธนาคารให้ผู้เสียหายดู หลังตรวจพบมีประมาณ 4-5 คนที่ลักษณะทรงผมคล้ายคนร้ายที่ก่อเหตุแต่จากการตรวจสอบยังไม่พบพิรุธ

“เบื้องต้นได้นำภาพสเกตช์ และภาพจากกล้องวงจรปิดไปแจกให้กับธนาคาร และบริษัทในละแวกใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุด้วย เพราะช่วงที่เกิดเหตุเป็นเวลาพักเที่ยงคนร้ายอาจจะเป็นพนักงานของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ส่วนปืนที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเป็นปืนยี่ห้อบาเรตต้า ขนาด 9 มม.รุ่น 92 เอส เอฟ 5 เป็นปืนออโตเมติกแบบเดียวกันกับที่เกิดเหตุคนร้ายปล้นธนาคารออมสิน สาขาสามย่าน ใช้ก่อเหตุ คาดว่าอาจจะเป็นคนร้ายรายเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนนำภาพจากกล้องวงจรปิดไปให้กับบริษัท กันตนา แล้ว เพื่อทำให้เห็นภาพใบหน้าของคนร้ายชัดเจนขึ้น หลังจากนั้นก็จะนำไปแจกจ่ายให้กับบริษัท กรุงไทย แอ๊กซ่า และบริษัทใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ ซึ่งหากใครพบเห็นหรือรู้จักก็สามารถแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันที” พ.ต.อ.สมบัติ กล่าว

ทางด้าน ร.ต.ท.สมเกียรติ รวมเงิน พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.ปทุมวัน ร้อยเวรเจ้าของคดี เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขออนุมัติหมายจับชายไทยไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 30 ปี เศษ จากศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่726/2551 ลงวันที่ 3 ก.ค.ข้อหาชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน และกระทำโดยไม่ให้คนอื่นเห็นหน้าหรือจดได้ หลังจากที่สอบสวนพยาน 4 ปาก ประกอบด้วยลูกค้าที่มาใช้บริการและพนักงานที่เห็นเหตุการณ์ ทั้ง 4 คน ให้การว่า สามารถจดจำใบหน้าคนร้ายที่เดินเข้ามาในธนาคารก่อนที่จะใช้สวมหมวกปิดบังใบหน้า จึงได้ทำการสเกตช์ภาพคนร้ายออกมาเพื่อใช้ในการติดตามตัวคนร้ายแล้ว

ด้าน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้เรียกประชุม ผกก.สส.น.1-9 ผกก.สน.ปทุมวัน ผกก.ศส.บช.น. เพื่อเร่งรัดการทำงานคดีดังกล่าว พร้อมกล่าวว่า วันนี้จะเป็นการกำชับเร่งรัดการสืบสวนจับกุม ซึ่งจะใช้วิธีให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วย ทุกกองสืบ ประสานข้อมูลซึ่งกันและกัน เหมือนเป็นการลงแขกช่วยกันทำงาน เพราะถ้าเพียงแต่ให้ สน.ปทุมวัน หรือ กก.สส.น.6 ดำเนินการเพียงสองหน่วย เกรงว่าการสืบสวนจะล่าช้า

พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวต่อว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เบาะแสพอสมควรแล้ว แต่คงตอบไม่ได้ชัดเจนจะต้องหาข้อมูลหลาย ๆ ด้านมาประกอบกันไม่ว่าจะเป็นบุคลิกท่าทาง ตำนิ รูปพรรณ ยานพาหนะ เพราะจากการตรวจสอบภาพวงจรปิด มีช่วงหนึ่งที่คนร้ายไม่ได้ใส่เครื่องปิดบังใบหน้า ส่วนพาหนะทราบเพียงแค่สีรถเท่านั้น ยังไม่สามารถระบุรุ่นหรือยี่ห้อ ได้ และอยู่ระหว่างตรวจสอบพยานรู้เห็น ขอเวลาอีก 1-2 วัน คงจะดำเนินการได้อย่างเรียบร้อย โดยจะตั้งศูนย์ปฏิบัติการ ที่ สน.ปทุมวัน มี พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.6 เป็นหัวหน้าศูนย์

“การทำงานนั้นจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องคงไม่จบจบแค่คดีนี้คดีเดียว แต่จะสั่งการให้ดำเนินการคล้าย ๆ กับคดียาเสพติด ซึ่งให้ทุกกองบังคับการ กวาดล้างตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายเดือนละ 2 ครั้ง และจะต้องทำกันต่อเนื่อง ถึงแม้กำลังของตำรวจ จะต้องนำไปใช้ทำหน้าที่อย่างอื่นบ้าง ก็จะไม่ปฏิเสธว่ามีกำลังพลน้อย หน้าที่ของตำรวจที่แท้จริงคือการป้องกันและปราบปรามบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน ซึ่งตำรวจจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เชื่อว่าจะต้องทำได้ ยกเว้นว่าไม่ได้ทำ” พล.ต.ท.อัศวิน กล่าว
ภาพคนร้ายจากกล้องวงจรปิด
ภาพสเก็ตซ์ใบหน้าคนร้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น