ดีเอสไอ เตรียมส่งสำนวนฟ้องผู้ต้องหา 8 ราย คดีแชร์ข้าวสาร จ.เชียงใหม่ ให้อัยการคดีพิเศษพรุ่งนี้ (25 มิ.ย.) ฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่าเสียหาย 80 ล้าน ขณะเดียวกัน จะประสานไปยัง ปปง.เพื่อดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงิน และ ส่งเรื่องให้ สนง.ปลัดกระทรวงการคลังฟ้องล้มละลาย “สมคิดธุรกิจ” ต่อไป
วันนี้ (24 มิ.ย.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอ เตรียมให้พนักงานสอบสวนนำสำนวนคดีแชร์ข้าวสาร บริษัท สมคิดธุรกิจ จำกัด ที่ จ.เชียงใหม่ จำนวน 35 แฟ้ม และ นายสมคิด แต่งตั้ง พร้อมพวกรวม 8 คน ส่งให้พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษพิจารณาสั่งฟ้องวันพรุ่งนี้ (25 มิ.ย.) ในความผิดข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหายประมาณ 80 ล้านบาท
สำหรับคดีนี้ดีเอสไอรับสำนวนมาจาก สภ.แม่ปิง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2550 เนื่องจากมีกลุ่มผู้เสียหายกว่า 800 ราย ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.แม่ปิง เพื่อให้ดำเนินคดีกับบริษัท สมคิดธุรกิจ จำกัด และ นายสมคิด แต่งตั้ง กรรมการผู้จัดการบริษัท ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ต่อมาพนักงานสอบสวน สภ.แม่ปิง ได้สอบสวนเบื้องต้นพบว่ามีหลักฐานที่น่าเชื่อว่าบริษัทดังกล่าวได้กระทำผิดจริง จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่เพื่อออกหมายจับนายสมคิด ข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับเมื่อวันที่ 8 พ.ย.2550
คดีของบริษัท สมคิดธุรกิจ จำกัด ถือว่าเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ (แชร์ข้าวสาร) ที่เข้าข่ายคดีพิเศษคดีที่ 3 ที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ในเวลาใกล้เคียงกับคดีของบริษัท โกลเด้นท์ เกท กรุ๊ป(ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ร่วมทุนค้าปลีก จำกัด ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างพิจารณาในชั้นศาล โดยมีข้อเท็จจริงและพฤติการณ์การกระทำความผิดที่คล้ายคลึงกัน คือ มีการโฆษณาชักชวนให้ประชาชนทั่วไปร่วมลงทุนประกอบธุรกิจขายข้าวสาร และสมุนไพร ในรูปแบบการขายหุ้นในราคาหุ้นละ 650 บาท และสัญญาว่าเมื่อครบกำหนด 25 วัน จะคืนเงินให้ตามราคาหุ้นๆ ละ 650 บาท รวมค่าตอบแทนเป็นผลกำไรหุ้นละ 550 บาท รวมเป็นเงินที่ได้รับเมื่อครบกำหนด จำนวนหุ้นละ 1,200 บาท และเมื่อผู้ลงทุนได้รับผลกำไรในวันที่ 25 แล้วถือว่าการลงทุนเสร็จสิ้น หากผู้ซื้อประสงค์ลงทุนเพิ่มจะต้องเริ่มกระบวนการใหม่อีกครั้ง
นอกจากนี้ บริษัทยังได้พยายามโน้มน้าวให้ผู้ลงทุนหลงเชื่อ โดยการให้สิทธิแก่ผู้ลงทุนซื้อข้าวสาร ซึ่งวางขายอยู่ ณ ที่ทำการของบริษัท ในราคากระสอบละ 800 บาท ซึ่งราคาจะถูกกว่าราคาขายปกติ คือกระสอบละ 850 บาท และเมื่อซื้อข้าวสารแล้วยังสามารถฝากขายไว้กับบริษัทฯได้อีก ทั้งนี้ผลจากการโฆษณาทำให้ประชาชนหลงเชื่อ และร่วมลงทุนโดยการซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อถึงกำหนดที่จะได้รับค่าตอบแทน ปรากฏว่า บริษัทไม่ยอมจ่ายค่าตอบแทนใดๆ ให้แก่ผู้เสียหาย ซึ่งหลังาจากส่งสำนวนให้พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษแล้ว ดีเอสไอจะได้ประสานไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงินและส่งเรื่องให้สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังดำเนินการฟ้องล้มละลายบริษัท สมคิดธุรกิจ จำกัดต่อไป