“อนันตชัย” ทนายความ “เสรีพิศุทธ์” เสร็จจากแถลงต่อศาล กำลังจะกลับ ถูกชายลึกลับซุ่มโป่ง ใช้แป็ปเหล็กกระหน่ำตี หัวแตกเลือดอาบ กลางศาลอาญา เจ้าตัวเผยตั้งแต่ ผบ.ตร. ถูกย้ายมีโทรศัพท์ขู่บอก ให้ย้ายสำนักงาน และบอก “เดี๋ยวลูกพี่มึงตายแน่” ยันไม่กลัวตายห่วงแต่ครอบครัวจะได้รับอันตรายด้วยเท่านั้น
เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (3 เม.ย.) ศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร.ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายไพจิตร ธรรมโรจน์พินิจ หรือ ปอ ประตูน้ำ อายุ 66 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานแจ้งความเท็จ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา วันนี้คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ได้เดินทางมาศาล มีเพียงนายอนันตชัย ไชยเดช ทนายความโจทก์ และนายบรรพต แดงเดช ทนายความจำเลยมาศาลแทน ทั้งนี้นายอนันตชัย ได้แถลงต่อศาล ขอส่งพยานเอกสารเพิ่มเติมจำนวน 3 แฟ้ม นอกจากนี้ทนายความทั้งสองฝ่ายขอยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีภายใน 1 เดือน โดยไม่ติดใจสืบพยานบุคคล ศาลพิเคราะห์แล้ว อนุญาตตามที่ร้องขอ และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 16 ก.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาเวลา 14.00 น.เศษ นายอนันตชัย ได้ลงลิฟท์มาชั้นล่างของศาล ก่อนจะเดินออกมาที่บริเวณลานจอดรถเพื่อเดินทางกลับ ได้ถูกคนร้ายซึ่งดักซุ่มอยู่ ใช้ท่อนเหล็กยาว 30 ซม.ตีเข้าที่ศีรษะของ นายอนันตชัย จนได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะวิ่งหลบหนีไป
จากการสอบถาม นายวีระศักดิ์ รัตนอาษา รปภ.ประจำป้อมยามหน้าศาลอาญา ซึ่งเห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า ขณะที่ตนกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ป้อมยาม ใกล้กับจุดเกิดเหตุ ก็มีคนร้ายเป็นชายอายุประมาณ 28-29 ปี สวมเสื้อยืดสีเขียวแขนสั้น กางเกงยีนส์สีดำ สูงประมาณ 165 เซนติเมตร ผิวดำแดง ตัดผมสั้นเกรียน ซึ่งดักซุ่มอยู่ใกล้กับรถยนต์สีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่ลานจอดด้านหน้าศาล วิ่งออกมาใช้ท่อนเหล็กตีศีรษะด้านซ้ายเหนือท้ายทอยของนายอนันตชัย 1 ครั้ง จนศีรษะแตกเลือดไหลเป็นทางยาว ขณะที่นายอนันตชัย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
นายวีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้น คนร้ายได้วิ่งข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามบริเวณอาคารยูนิเวสต์ คอมเพล็กซ์ ปีนกำแพงเข้าไปหลบซ่อนตัวในป่าพงหญ้าติดกับมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม โดยมี รปภ.ประจำศาล และ ด.ต.สงกรานต์ ศรีสุข เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศาล วิ่งไล่ตามคนร้ายไป
จากการสอบสวน นายอรุณ จิตตระกูล อายุ 25 ปี ผู้ช่วยของ นายอนันตชัย ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยกัน ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนพร้อม นายอนันตชัย ได้เดินทางไปที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ แทน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร.ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นเรื่องฟ้อง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รรท.ผบ.ตร.ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากนั้นจึงพากันเดินทางมาที่ศาลอาญา ถนนรัชดา เพื่อสืบพยานคดีนายไพจิตร ธรรมโรจน์พินิจ หรือ “ปอประตูน้ำ” ตกเป็นจำเลยเรื่องเบิกความเท็จ ฟ้องเท็จและคดีหมิ่นประมาท พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ด้วยการโฆษณา
“เมื่อสืบพยานเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมกับ นายอนันตชัย จึงได้เดินลงไปที่ลานจอดรถด้านหน้าอาคารศาลอาญา เเละกำลังจะเดินทางไปพบ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เพื่อรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีทั้งหมด แต่ระหว่างที่นายอนันตชัย กำลังนำกระเป๋าเอกสารใส่กระโปรงท้ายรถอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนร้ายเป็นชาย 1 คน วิ่งโห่ร้องเข้ามาพร้อมใช้ท่อนแป๊บเหล็กสีดำ ยาวประมาณ 1 ศอก หวดเข้าใส่ศีรษะ และตามร่างกายของนายอนันตชัย แบบไม่ยั้งก่อนจะวิ่งหลบหนีไป เมื่อผมตั้งสติได้จึงรีบพาตัวนายอนันตชัย มาส่งที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน” นายอรุณ กล่าว
ต่อมา พ.ต.อ.อาคม จันทนลาช ผกก.สน.พหลโยธิน และ ร.ต.ท.ปรีชา หาสังข์ พนักงานงานสอบสวน (สบ 1) สน.พหลโยธิน ได้เดินทางมาตรวจสอบยังจุดเกิดเหตุ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่สายตรวจ ฝ่ายสืบสวน ตำรวจ บก.ตปพ.จำนวน 20 นาย สุนัขตำรวจ 2 ตัว พร้อมทั้ง รปภ.ของศาลอาญาจำนวน 30 นาย เข้าปิดล้อมพื้นที่ป่าหญ้าดังกล่าวเพื่อติดตามจับกุมคนร้าย โดยใช้เวลานานประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ไม่สามารถติดตามตามคนร้ายได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังปูพรมตรวจค้นป่าหญ้าดังกล่าวอยู่นั้น ก็พบผู้ต้องสงสัยจำนวน 1 ราย หลบซ่อนตัวอยู่ในป่าหญ้าดังกล่าว ทราบชื่อต่อมาคือ นายเจริญ เกิดพิมาน อายุ 27 ปี กำลังซ่อนตัวอยู่ในป่าหญ้าดังกล่าว จึงควบคุมตัวมาสอบสวน เบื้องต้นเจ้าตัวให้การว่า ตนเป็นช่างก่อสร้างอยุ่ในแคมป์คนงานใกล้กับจุดเกิดเหตุ โดยก่อนเกิดเหตุทำงานเสร็จแล้ว แต่ยังไม่กลับบ้าน จึงเข้ามาที่ป่าดังกล่าวเพื่อยิงนก กระรอก กระแต
นายเจริญ กล่าวต่อว่า จากนั้นก็มีนาย นำโชค ปานชาติ อายุ 34 ปี และกับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ตามมาสมทบภายหลัง โดยที่พวกตนไม่ทราบว่า มีคนร้ายหลบหนีเข้ามาที่ป่าหญ้าแห่งนี้ จนกระทั่งได้ยินเสียงคนตะโกนว่า เจอตัวแล้วๆ จากนั้นก็เห็นตำรวจวิ่งกรูกันเข้ามา ตนจึงรีบนอนลงกับพื้นเพราะกลัวถูกจับ แต่ก็หลบไม่พ้น ส่วนนายนำโชค ปานชาติ อายุ 34 ปี และกับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ก็วิ่งหนีไปก่อนหน้านี้แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาเจ้าหน้าที่ก็พบตัว นายนำโชค กับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งคนดังกล่าว เบื้องต้นทั้งคู่ก็ให้การเหมือนกันว่า มายิงนกที่ป่าหญ้าดังกล่าาว จึงเชิญตัวทั้ง 3 คน ไปสอบปากคำที่ สน.พหลโยธิน พร้อมประสาน เจ้าหน้าที่ รปภ.ศาลอาญา ที่เห็นรูปพรรณสัณฐานคนร้ายไปชี้ตัวว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันหรือไม่
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลเมโย พบว่า แพทย์ ได้ปฐมพยาบาลนายอนันตชัย จนอาการทุเลาขึ้นแล้ว ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุตนกำลังจะเดินทางออกจากศาลอาญาไปหา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตามนัดเพื่อจะนำคำฟ้องไปให้ แต่จังหวะที่กำลังเก็บเอกสารอยู่บริเวณกระโปรงท้ายรถก็ถูกคนร้ายซึ่งมาซุ่มรออยู่วิ่งเข้ามาใช้แป๊บหวดใส่ตนอย่างแรง 3 ครั้ง แล้ววิ่งหนีไป โดยแพทย์ได้เย็บแผลที่ศีรษะไป 8 เข็ม ส่วนผลการเอ็กซเรย์สมองก็เป็นปกติดี นอกจากนี้ยังพบว่ากระดูกนิ้วก้อยมือซ้ายแตก ทำให้ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน เพื่อรอการผ่าตัดดามเหล็กใส่เข้าไปแทนชิ้นส่วนกระดูกที่เสียหาย
นายอนันตชัย กล่าวต่อว่า ตนมองว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับที่ตนเข้ามาทำงานให้กับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ซึ่งมีคดีความกับบุคคลชื่อดังทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น ปอประตูน้ำ เสธ.แดง และล่าสุดคือรักษาการณ์ ผบ.ตร.คนปัจจุบัน โดยที่ผ่านมาตนก็ระวังตัวอยู่ตลอดไปไหนก็ต้องเหลียวซ้ายแลขวา ขนาดจะออกจากบ้านพักไปออกกำลังกายเวลากลางคืนยังไม่กล้า แต่ตนไม่คิดจริงๆ ว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตนในพื้นที่ศาล
ที่สำคัญ ตนไม่เคยเป็นศัตรูกับผู้ใด และไม่เคยมีแผลหรือเรื่องให้เสื่อมเสีย แต่พอท่าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถูกย้ายให้ไปช่วยราชการก็มีโทรศัพท์ลึกลับโทรเข้ามาขู่ทันที โดยขู่ว่าให้ตนระวังตัวเอาไว้ และให้ย้ายสำนักงานไปอยู่ที่อื่น พร้อมกับบอกว่า “เดี๋ยวลูกพี่มึงตายแน่” ซึ่งตนก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะผมทำงานให้ท่านด้วยใจไม่กลัวตายแต่เป็นห่วงว่าจะไม่มีใครดูแลลูกๆ มากกว่า
“ลูกสาวผมคนโต ชื่อน้องฟ้าใส อายุ 10 ขวบ ปัจจุบันป่วยเป็นโรคเบาหวาน ส่วนลูกชายคนเล็ก ชื่อน้องเหนือเมฆ อายุ 8 ขวบ ปัจจุบันป่วยเป็นโรคออทิสติก ทั้ง 2 คน ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์อยู่ตลอดเวลา ถ้าผมเป็นอะไรไปใครจะอยู่ดูแลลูกๆ คนเราเกิดมาต้องตายทั้งนั้นผมจึงไม่กลัวหรอก และจะไม่ขอกำลังตำรวจไปคุ้มครองด้วย แต่อยากจะฝากไปถึงคนร้ายรายนี้ให้ได้รับทราบว่า การทำร้ายผม ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายลูกๆ ผมทั้ง 2 คนเช่นกัน” นายอนันตชัย กล่าว