“ธาริต เพ็งดิษฐ์” ยันไม่คิดดิสเครดิต กกต. การตรวจสอบข้อร้องเรียนกรณี กกต.ฮั้วประมูลพิมพ์บัตรเลือกตั้งเกินถือเป็นหน้าที่ ย้ำไม่คิดแทรกแซงองค์กรอิสระ ระบุ หากพบมีมูลพร้อมส่ง ป.ป.ช.-สามารถดำเนินคดี กกต.ได้แม้มูลค่าจัดซื้อจัดจ้างพิมพ์บัตรไม่ถึง 100 ล้าน
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 27 มี.ค.ผ่านมา พล.ต.ต.เสวก ปิ่นสินชัย อดีตผู้บังคับการตำรวจป่าไม้ ได้เข้ายื่นหนังสือกล่าวโทษให้ดีเอสไอดำเนินการตรวจสอบและดำเนินคดีกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และผู้เกี่ยวข้องในความผิดตามกฎหมายฮั้วประมูล กรณีการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ไม่โปร่งใส มีการฮั้วประมูลพิมพ์บัตรเกิน เพื่อทุจริตเลือกตั้ง และการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต่อพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รักษาการดีเอสไอ นั้น
ในวันนี้ (1 เม.ย.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว เปิดเผยว่า ดีเอสไอจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามหน้าที่เนื่องจากมีผู้ร้องเรียน มิเช่นนั้นแล้วก็เท่ากับว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น การที่ กกต.ระบุถึงการตรวจสอบของดีเอสไอ ในช่วงที่ กกต.กำลังพิจารณาคดีสำคัญอาจไม่เหมาะสม อาจถูกโยงประเด็นการเมืองและทำลายความน่าเชื่อถือของ กกต.คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก พร้อมยืนยันไม่มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ โดยในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ดีเอสไอจะทำหน้าที่อย่างรอบคอบ ระมัดระวัง โปร่งใส จะให้ความเป็นธรรมกับ กกต.ในการแสดงหลักฐานชี้แจงในฐานะของข้าราชการประจำ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการตรวจสอบทุกคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดีเอสไอจะดำเนินการตรวจสอบโดยประสานกับอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนของ กกต. ที่มีนายปกครอง สุนทรสุทธิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กกต.เป็นประธาน ซึ่งหากพบว่าในการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้ว ก็จะต้องมีการพูดคุยทำความเข้าใจ
นอกจากนี้ รองอธิบดีดีเอสไอ ยืนยันว่า ถึงแม้การจัดซื้อจัดจ้างการพิมพ์บัตรเลือกตั้งของ กกต.จะมีมูลค่าไม่ถึง 100 ล้านบาท แต่ดีเอสไอก็สามารถเข้าทำการตรวจสอบได้ โดยอาศัยบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ถึงแม้ กกต.จะอ้างว่าการพิมพ์บัตรเลือกตั้งดังกล่าวแบ่งเป็น 3 โรงพิมพ์
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีการนัดหมาย พล.ต.ต.เสวก ปิ่นสินชัย อดีตผู้บังคับการตำรวจป่าไม้ เพื่อเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว ทั้งนี้ สำหรับกรณีดังกล่าวหากพบว่ามีการทุจริตจริง ก็จะเข้ายื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาตามกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 157