ตำรวจปิดล้อมรวบ 4 คนร้ายลอบเข้าไปขโมยสายไฟของสถานีฐานโทรศัพท์เอไอเอสได้คาหนังคาเขา หลังจากวันแรกพากันได้ใจเข้าไปขโมยแล้วลอยนวล วันรุ่งขึ้นย้อนกลับไปก่อเหตุอีก คราวนี้ไม่รอดถูกจับได้ยกแก๊ง มูลค่าความเสียหายประมาณครึ่งแสนบาท
วันนี้ (18 มี.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. พ.ต.อ.สันติ จี้กังวาฬ ผกก.สน.บางรัก พ.ต.ท.ชุมพล ชาญชนะโยธิน รอง ผกก.ป.สน.บางรัก พ.ต.ต.ธนกัณฑ์ ไชยรส สว.สส.สน.บางรัก ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาลักลอบขโมยสายไฟและอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย นายนิรุธ หรือต้น หรืออั้ม เกตุแก้ว อายุ 31 ปี นายประเชิญ หรือเอก น้อยกรม อายุ 32 ปี นายมานะ หรือนะ สีเป้ อายุ 21 ปี และนายอานัน หรือนัน เฉลิมทรัพย์ อายุ 30 ปี พร้อมของกลางสายไฟหลายขนาดและอุปกรณ์ที่ผู้ต้องหาใช้ก่อเหตุ รวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท โดยสามารถจับกุมได้ที่ อาคารพานิชย์ เลขที่ 152/2 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กทม.
พ.ต.อ.สันติ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา เวลาประมาณ 01.00 น. คนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ในอาคารพาณิชย์ดังกล่าวซึ่งเป็นอาคารร้างที่ก่อนหน้านี้เปิดเป็นร้านอาหารแต่ปิดกิจการไปแล้ว จึงให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เช่าห้องบริเวณชั้น 4 ของอาคารเพื่อใช้เป็นสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่เครือข่ายเอไอเอส โดยมีการติดสัญญาณกันบุกรุกเอาไว้ด้วย ซึ่งในวันเกิดเหตุคนร้ายได้ลักลอบเข้ามาตัดสายไฟจำนวนหลายสายทำให้สัญญาณกันการบุกรุกดังขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ของบริษัท เอไอเอส มาถึงที่เกิดเหตุไม่ทัน คนร้ายหลบหนีไปได้ก่อน ตัวแทนของบริษัทจึงได้แจ้งความเอาไว้เป็นหลักฐาน และจากการตรวจสอบพบว่า ทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่ถูกขโมยไปนั้นเป็นสายไฟฟ้าระบบ AC และ DC, สายทองแดง รวมถึงแบตเตอร์รี่แห้งจำนวนหนึ่ง
พ.ต.อ.สันติ กล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อคืนวันที่ 18 มีนาคม เวลาประมาณ 01.00 น. สัญญาณกันบุกรุกของห้องที่บริษัทดังกล่าวเช่าไว้บนชั้น 4 ได้ดังขึ้นอีก และส่งสัญญาณไปที่อาคารสำนักงานชินวัตร 2 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ จึงเดินทางมายังที่เกิดเหตุพบว่าไฟในห้องบริเวณชั้น 4 เปิดอยู่ จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางรัก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระจายกำลังตรวจสอบบริเวณรอบอาคารพบผู้ต้องหาทั้ง 4 รายหลบซ่อนอยู่ตามชั้นต่างๆ ของอาคารจึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่ สน.บางรัก และผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าร่วมกันก่อเหตุจริง โดยจาการตรวจสอบประวัติพบว่ามีผู้ต้องหา 1 รายมีคดีติดตัวมาอย่างโชกโชน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำลายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น จากนั้นได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
วันนี้ (18 มี.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. พ.ต.อ.สันติ จี้กังวาฬ ผกก.สน.บางรัก พ.ต.ท.ชุมพล ชาญชนะโยธิน รอง ผกก.ป.สน.บางรัก พ.ต.ต.ธนกัณฑ์ ไชยรส สว.สส.สน.บางรัก ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาลักลอบขโมยสายไฟและอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย นายนิรุธ หรือต้น หรืออั้ม เกตุแก้ว อายุ 31 ปี นายประเชิญ หรือเอก น้อยกรม อายุ 32 ปี นายมานะ หรือนะ สีเป้ อายุ 21 ปี และนายอานัน หรือนัน เฉลิมทรัพย์ อายุ 30 ปี พร้อมของกลางสายไฟหลายขนาดและอุปกรณ์ที่ผู้ต้องหาใช้ก่อเหตุ รวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท โดยสามารถจับกุมได้ที่ อาคารพานิชย์ เลขที่ 152/2 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กทม.
พ.ต.อ.สันติ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา เวลาประมาณ 01.00 น. คนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ในอาคารพาณิชย์ดังกล่าวซึ่งเป็นอาคารร้างที่ก่อนหน้านี้เปิดเป็นร้านอาหารแต่ปิดกิจการไปแล้ว จึงให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เช่าห้องบริเวณชั้น 4 ของอาคารเพื่อใช้เป็นสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่เครือข่ายเอไอเอส โดยมีการติดสัญญาณกันบุกรุกเอาไว้ด้วย ซึ่งในวันเกิดเหตุคนร้ายได้ลักลอบเข้ามาตัดสายไฟจำนวนหลายสายทำให้สัญญาณกันการบุกรุกดังขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ของบริษัท เอไอเอส มาถึงที่เกิดเหตุไม่ทัน คนร้ายหลบหนีไปได้ก่อน ตัวแทนของบริษัทจึงได้แจ้งความเอาไว้เป็นหลักฐาน และจากการตรวจสอบพบว่า ทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่ถูกขโมยไปนั้นเป็นสายไฟฟ้าระบบ AC และ DC, สายทองแดง รวมถึงแบตเตอร์รี่แห้งจำนวนหนึ่ง
พ.ต.อ.สันติ กล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อคืนวันที่ 18 มีนาคม เวลาประมาณ 01.00 น. สัญญาณกันบุกรุกของห้องที่บริษัทดังกล่าวเช่าไว้บนชั้น 4 ได้ดังขึ้นอีก และส่งสัญญาณไปที่อาคารสำนักงานชินวัตร 2 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ จึงเดินทางมายังที่เกิดเหตุพบว่าไฟในห้องบริเวณชั้น 4 เปิดอยู่ จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางรัก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระจายกำลังตรวจสอบบริเวณรอบอาคารพบผู้ต้องหาทั้ง 4 รายหลบซ่อนอยู่ตามชั้นต่างๆ ของอาคารจึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่ สน.บางรัก และผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าร่วมกันก่อเหตุจริง โดยจาการตรวจสอบประวัติพบว่ามีผู้ต้องหา 1 รายมีคดีติดตัวมาอย่างโชกโชน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำลายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น จากนั้นได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป