โดย จอมปลวก
ณ จุดเกิดเหตุ ภายในตลาดนัดหน้าอาคารสวัสดิการประชาชื่น กองบัญชาการทหารสูงสุด ย่านถนนริมคลองประปาประชาชื่น ในพื้นที่สน.ประชาชื่น เมื่อ 18.00 น.ของวันที่ 11 มี.ค. 51 “ 2 ตำรวจประชาชื่น ส.ต.อ.ประสาท จันทิมา อายุ 30 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม ช่วยงานฝ่ายสืบสวน ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิง ส.ต.ชัยวุฒิ ประสมศรี อายุ 32 ปี ทหารสังกัดกองพันสารวัตรทหารบก กรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด เสียชีวิต ขณะเข้าจับซีดีเถื่อน และจ.ส.ต.ปรวิศว์ จงพิทักษ์พงษ์ เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดนั่งเครียดในห้องขังศาลอาญา ก่อนนำตัวไปฝากขัง หลังศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์กลัวหลบหนี ข่มขู่พยาน” พาดหัวหน้าสื่อพิมพ์ทุกฉบับ สื่อมวลชนทุกแขนงให้ความสนใจเสนอข่าวอย่างคึกโครม คดีดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนขวัญ ให้กับประชาชนที่อยู่ในที่เกิดเหตุวันนั้นเป็นอย่างมาก เป็นที่วิพากวิจารณ์กันอย่างต่อเนื่อง เพราะภาพที่ทุกคนเห็นคือตร.นอกเครื่องแบบ 2 นาย ได้ตระเวนปราบพ่อค้าขายซีดีเถื่อนในตลาด โดยจับคนขายซีดีนอนคว่ำหน้าใช้เท้าเหยียบหลังใส่กุญแจมือ ทำให้เกิดความชุลมุน ระหว่างนั้น ส.ต.ชัยวุฒิ เห็นเหตุการณ์ไม่แน่ใจ ชายฉกรรจ์ 2 คนที่กระทำการเยี่ยงโจร เป็นตำรวจจริงหรือปลอม จึงเข้าไปถาม แต่ชายดังกล่าวกลับเปิดชายเสื้อให้เห็นปืนพร้อมกับตะคอกว่า “กูเป็นตำรวจ มึงไม่ต้องมายุ่ง” จึงทำให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้น
จากนั้นส.ต.ชัยวุฒิ ได้เดินไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง และเดินกลับไปขึ้นมอไซค์เตรียมกลับบ้าน แต่เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อ ส.ต.อ.ประสาท และจ.ส.ต.ปรวิศว์ ได้เดินตามผู้ตายไปที่รถ ไม่พูดพล่ามทำเพลง ชักปืนยิงอกด้านขวา 1 นัด ขณะที่ยังถือถุงข้าวเหนียว พูดกันภาษาชาวบ้าน คือ ฆ่าคนเหมือนผักปลา ยิงแล้วใช้เท้าเหยียบปล่อยให้เวลาเนิ่นนานถึง 30 นาที ให้นอนตายเองอย่างเลือดเย็นน่าอนาถ ไม่ใส่ใจกับคำอ้อนวอนทั้งน้ำตาที่ไหลซึมร้องขอให้ช่วยชีวิตนำส่งโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าจิตใจทำด้วยอะไร คดีนี้ ถือเป็นคดีสะเทือนขวัญเกิดใจกลางชุมชนในเวลาที่การจราจรจอแจแออัด
ซึ่ง ทั่น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ฐานะที่นั่งรักษาการผบ.ตร.ขณะนี้ น่าจะเข้าไปเข้มงวดบริหารจัดการควบคุมระบบกับลูกน้องระดับล่างให้มากขึ้น ควรทบทวบระบบการคัดเลือกผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เข้ามาทำงานไม่เปิดโอกาสให้คนที่ขาดสติสัมปชัญญะ ลุแก่โทษะ ขาดวุฒิภาวะ ยึดเอาอารมณ์ตนเองเป็นที่ตั้งไม่คิดถึงผลที่ตามมา เข้ามาทำงานในองค์กรที่มีเกยีรติ มีศักดิ์ศรี กุมกฎหมายอยู่ในมือ มาสร้างความสื่อมเสียให้กับชื่อเสียงของตร.ได้ จะว่าไปแล้วการจับคนขายซีดีเถื่อนกลับอีเรื่องแค่นี้ ทำไมการปราบซีดีเถื่อนถึงไม่ไปปราบจุดต้นเหตุ บุกทลายแหล่งผลิต แต่กลับมาตามไล่กวาดผู้ค้ารายย่อย จนส่งผลให้เป็นเหตุต้องฆ่ากันตาย ทหารคนที่ตายก็ถือว่า เป็นคนดี เพื่อนฝูงรักใคร่ เป็นคนขยัน-มนุษยสัมพันธ์ดี เสาหลักของครอบครัวตายไปแล้วใครรับผิดชอบ ใครจะดูแล พ่อ แม่ ที่แก่เฒ่า ลูกที่ยังเล็กพึ่งลืมตาดูโลกยังไม่ถึง 2 ปี เมียมีรายได้เพียงน้อยนิด กับค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับภาระเพียงลำพัง จนกว่าลูกจะเติบใหญ่อยู่ในสังคม จึงเป็นผลพ่วงตามมากับผลกระทบต่อสังคม และด้านครอบครัว
เหตุการณ์สะเทือนใจชาวบ้านย่านตลาดนัดอาคารสวัสดิการประชาชื่น การให้ปากคำของผู้ต้องหา และพยาน มันตรงข้ามกันราวฟ้ากับเหว โดยพนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น ได้สรุปในคำร้องฝากขังต่อศาลอาญาว่าเมื่อวันที่ 11 มี.ค.2551 เวลา 17.30 น. ขณะที่ผู้ต้องหาทั้งสองคน ออกตรวจท้องที่พบ นายประมาณ เนียมเผือก จำหน่ายแผ่นซีดี โดยไม่ได้รับอนุญาต บริเวณแผงลอยริมถนนเลียบคลองประปา ใกล้แฟลต บก.สส.แขวงจตุจักร กทม.จึงได้เข้าจับกุมตัวเพื่อดำเนินคดี ระหว่างจับกุม มี.ส.ต.ชัยวุฒิ ประสมศรี และ จ.ส.อ.วิชิต เอื้อเฟื้อกลาง เข้าไปสอบถาม และ ส.ต.ชัยวุฒิ ได้พูดท้าทาย พร้อมกับเปิดชายเสื้อด้านขวาให้เห็นอาวุธปืนพกที่เหน็บอยู่ที่เอว ก่อนจะเดินจากไป และเมื่อผู้ต้องหาทั้งสองจับกุมนายประมาณเสร็จ และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาสนับสนุน ระหว่างนั้นผู้ต้องหาที่ 1 เห็น ส.ต.ชัยวุฒิ ขี่รถจักรยานยานยนต์ออกมา จึงเรียกให้หยุดแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ ส.ต.ชัยวุฒิ ชักอาวุธปืนออกจากเอว ผู้ต้องหาที่ 1 จึงชักปืนออกมายิง เพื่อยับยั้งและป้องกันเหตุ 1 นัด จน ส.ต.ชัยวุฒิ เสียชีวิตขณะเดียวกัน ผู้ต้องหาที่สองได้ใช้อาวุธปืนจ่อศีรษะและลำตัวของ จ.ส.อ.วิชิต เอื้อเฟื้อกลางและใส่กุญแจมือ เพื่อป้องกันเหตุร้าย
แต่คำให้การของพยาน จากการสอบสวน จ.ส.อ.วิชิต เอื้อเฟื้อกลาง และพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุให้ถ้อยคำทำนองเดียวกันว่า ขณะผู้ต้องหาเข้าจับกุมผู้ค้าแผงลอย มีการยื้อยุดฉุดกระชากผู้ค้า ผู้ตายจึงเข้าไปสอบถาม ผู้ต้องหาเปิดชายเสื้อให้เห็นปืนแล้ว บอกว่า เป็นตำรวจ ผู้ตายจึงเดินกลับไป บริเวณปากทางเข้าแฟลต จากนั้นประมาณ 10 นาที จึงเดินไปขึ้นรถจักรยานยนต์และกำลังถอยรถจักรยานยนต์ จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 เข้าไปยิงผู้ตายจนล้มลงทั้งรถจักรยานยนต์ ขณะที่มือผู้ตายอีกมือหนึ่ง ยังถือถุงข้าวเหนียวหมูปิ้ง เพื่อนผู้ตายเข้ามาจะนำตัวส่งโรงพยาบาล ผู้ต้องหาก็ไม่ยินยอม ส่วนอาวุธปืนของผู้ตาย ผู้ต้องหาก็เป็นผู้หยิบออกจากเอวของผู้ตาย หลังจากที่ถูกยิงแล้ว ศาลเห็นว่าพฤติการณ์ของผู้ต้องหาเป็นการกระทำต่อผู้ตาย โดยที่ผู้ตายไม่ได้ทันระวังตัว และไม่มีการแสดงท่าทางข่มขู่หรือขัดขวาง การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ต้องหาแต่อย่างใด จึงเป็นการกระทำโดยอุกอาจ ต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก โดยที่ผู้ตายไม่ได้ชักอาวุธปืนออกมาตามที่ระบุในคำร้องฝากขัง
กับความเลือนลางของยุคบ้านเมือง ที่ไม่มีขือมีแป อยากรู้ใจตำรวจที่ฆ่าทหารซึ่งเป็นคนสีกากีด้วยกันว่าขณะนั้นลืมคิดไปหรือว่าเป็นตำรวจ หรือแสดงธาตุแท้ตัวตนออกมา ถึงได้โหดร้ายเกินมนุษย์ กับให้แค่เรื่องขี้ผงที่พูดจาผิดหู และทำตัวเป็นพลเมืองดี และ อยากรู้ใจนายที่ออกมาปกป้องลูกน้องด้วยการขอยื่นประกันตัว โดย พ.ต.อ.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผกก.สน.ประชาชื่น และ พ.ต.ท.เอนก อุ่นเดช สว.สส.สน.ประชาชื่น ได้ใช้ตำแหน่งตีมูลค่ารวม 565,300 บาท เป็นหลักทรัพย์ขอประกันตัวผู้ต้องหาที่ 1 ขณะเดียวกันพ.ต.ท.ถวัลย์ พวกเกษม รอง ผกก.สส.สน.ประชาชื่นใช้ตำแหน่งตีมูลค่า 319,600 บาท เป็นหลักทรัพย์ขอประกันตัวผู้ต้องหาที่ 2 ดีที่ศาลท่านพิจารณาตามเหตุและผลด้วยขบวนการยุติธรรม ไม่อนุญาต ค้านประกัน
ไม่ใช่เพียงพยานปากเอกที่เข้าให้ปากคำต่อตำรวจ แต่ยังมีกลุ่มแม่ค้า เด็กเยาวชน ที่เห็นและอยู่ในเหตุการณ์ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “รู้สึกสะเทือนใจกับการกระทำที่อุกอาจของตำรวจทั้ง 2 ช่วงเกิดเหตุไม่มีใครกล้าพูดกลัวอิทธิพลตำรวจ เพราะถูกขู่ห้ามใครมายุ่ง นี่เป็นเขตทหารแท้ ๆ ตำรวจยังกล้าเอาปืนจี้ทหารที่มาด้วยและเอาเท้าเขี่ยปืนที่ทหารพกอยู่ที่เอวออกห่าง และยังห้ามไม่ให้ใครช่วยแม้ทหารที่ถูกยิงหน้าอกจะพยายามอ้าปากพูดอย่างแผ่วเบาให้ช่วยด้วยก็ตาม”
เมื่อมีทหารตายด้วยน้ำมือตำรวจขึ้นลำก่อนลั่นไกยิง เหตุชักบานปลาย โดยมือดีลึกลับอ้างตัวเป็นเพื่อนทหารผู้ตายโทร.ขู่วางระเบิดสน.ประชาชื่น ระบุชัด “เพื่อนมึงทำพวกกูตาย พวกมึงตายแน่ กูจะวางระเบิดโรงพักมึง”
ในหลายคำบอกเล่าและจากเหตุการณ์ขู่บึมโรงพัก น่าจะสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรม ความไม่สบายใจต่อเหตุการณ์ แม้ว่าพล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ โฆษกตำรวจ จะยืนยันถึงการทำงานของขบวนการสอบสวนคดี เน้นโปร่งใส(แจ๋ว) เป็นธรรม ไม่เอื้อพวก และเปิดโอกาสรับหลักฐานวิดีโอคลิปจากผู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง แต่ในฝ่ายที่เสียหายพล.ท.สมหมาย เกาฎีระ เจ้ากรมยุทธบริหารทหารผู้บังคับบัญชา ส.ต.ชัยวุฒิ ผู้ตาย ได้พูดไว้น่าสนใจว่า “ตำรวจยิงง่ายเกินไป ไม่น่าถึงขั้นลงไม้ลงมือด้วยการใช้อาวุธ เรื่องนี้อยากให้ตำรวจทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่บิดเบือน ผู้บังคับบัญชาน่าจะลงมาดูว่า การใช้อาวุธน่าจะมีหลักการมากกว่านี้ ควรปรับปรุงมาตรฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับล่างควรเอาใจใส่มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ทางผู้ใหญ่ก็คุยกันอยู่ ไม่อยากให้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว”
คดีอุกฉกรรจ์ขนาดนี้ ทางตำรวจยังไม่ฟันธงชัดเจนจะลงโทษวินัยร้ายแรงไล่ออกจากราชการหรือไม่ เพียงแต่ขอเวลามากถึง 7 วัน เพื่อสอบข้อเท็จจริง แม้ว่าพนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 ยังศาลอาญา พร้อมแจ้ง 3 ข้อหาต่อ ส.ต.อ.ประสาท ผู้ลั่นไกปืนฆ่าส.ต.ชัยวุฒิ คือ 1. เจ้าพนักงานฆ่าผู้อื่นโดยอ้างว่าปฏิบัติการตามหน้าที่ และป้องกันตัว พอสมควรแก่เหตุ 2.ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และ 3. ไม่ช่วยเหลือผู้ซึ่งตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิต ส่วน จ.ส.ต.ปรวิศร์ ผู้ร่วมปฏิการณ์ 4 กระทง คือ 1. พยายามฆ่าผู้อื่น 2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด 3. หน่วงเหนี่ยวกักขังให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพ และ 4. ไม่ช่วยเหลือผู้ซึ่งตกอยู่ในภยันตราย
คดีนี้แม้ทหารจะยอมงอ ไม่ยอมหัก แต่หากพยานหลักฐาน และยุคเทคโนโลยีไม่ทันสมัยพอ จะมีคลิปวีดีโอภาพหลักฐานนำไปมัดตัวตำรวจลุแก่โทสะได้ฤา มันจะเป็นเพียงคำบอกเล่าจากปากพยานเท่านั้น และตัวพยานเองก็คือเพื่อนทหาร และชาวบ้านตาดำ ดำ ที่ยืนมองตำรวจทำอย่างอุกอาจ-โหดเหยี้ยม หากเล่าเหตุการณ์ให้ปากคำไปแล้วจะปลอดภัยหรือไม่ การที่จะเดินไปไหนมาไหนจะเกิดเหตุร้ายหรือเปล่า ต้องถามผู้มีอำนาจ!! ตำรวจให้ความมั่นใจได้แค่ไหน ทหารที่ตายไปใครจะแอ่นอกรับผิดชอบ???
ณ จุดเกิดเหตุ ภายในตลาดนัดหน้าอาคารสวัสดิการประชาชื่น กองบัญชาการทหารสูงสุด ย่านถนนริมคลองประปาประชาชื่น ในพื้นที่สน.ประชาชื่น เมื่อ 18.00 น.ของวันที่ 11 มี.ค. 51 “ 2 ตำรวจประชาชื่น ส.ต.อ.ประสาท จันทิมา อายุ 30 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม ช่วยงานฝ่ายสืบสวน ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิง ส.ต.ชัยวุฒิ ประสมศรี อายุ 32 ปี ทหารสังกัดกองพันสารวัตรทหารบก กรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด เสียชีวิต ขณะเข้าจับซีดีเถื่อน และจ.ส.ต.ปรวิศว์ จงพิทักษ์พงษ์ เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดนั่งเครียดในห้องขังศาลอาญา ก่อนนำตัวไปฝากขัง หลังศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์กลัวหลบหนี ข่มขู่พยาน” พาดหัวหน้าสื่อพิมพ์ทุกฉบับ สื่อมวลชนทุกแขนงให้ความสนใจเสนอข่าวอย่างคึกโครม คดีดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนขวัญ ให้กับประชาชนที่อยู่ในที่เกิดเหตุวันนั้นเป็นอย่างมาก เป็นที่วิพากวิจารณ์กันอย่างต่อเนื่อง เพราะภาพที่ทุกคนเห็นคือตร.นอกเครื่องแบบ 2 นาย ได้ตระเวนปราบพ่อค้าขายซีดีเถื่อนในตลาด โดยจับคนขายซีดีนอนคว่ำหน้าใช้เท้าเหยียบหลังใส่กุญแจมือ ทำให้เกิดความชุลมุน ระหว่างนั้น ส.ต.ชัยวุฒิ เห็นเหตุการณ์ไม่แน่ใจ ชายฉกรรจ์ 2 คนที่กระทำการเยี่ยงโจร เป็นตำรวจจริงหรือปลอม จึงเข้าไปถาม แต่ชายดังกล่าวกลับเปิดชายเสื้อให้เห็นปืนพร้อมกับตะคอกว่า “กูเป็นตำรวจ มึงไม่ต้องมายุ่ง” จึงทำให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้น
จากนั้นส.ต.ชัยวุฒิ ได้เดินไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง และเดินกลับไปขึ้นมอไซค์เตรียมกลับบ้าน แต่เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อ ส.ต.อ.ประสาท และจ.ส.ต.ปรวิศว์ ได้เดินตามผู้ตายไปที่รถ ไม่พูดพล่ามทำเพลง ชักปืนยิงอกด้านขวา 1 นัด ขณะที่ยังถือถุงข้าวเหนียว พูดกันภาษาชาวบ้าน คือ ฆ่าคนเหมือนผักปลา ยิงแล้วใช้เท้าเหยียบปล่อยให้เวลาเนิ่นนานถึง 30 นาที ให้นอนตายเองอย่างเลือดเย็นน่าอนาถ ไม่ใส่ใจกับคำอ้อนวอนทั้งน้ำตาที่ไหลซึมร้องขอให้ช่วยชีวิตนำส่งโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าจิตใจทำด้วยอะไร คดีนี้ ถือเป็นคดีสะเทือนขวัญเกิดใจกลางชุมชนในเวลาที่การจราจรจอแจแออัด
ซึ่ง ทั่น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ฐานะที่นั่งรักษาการผบ.ตร.ขณะนี้ น่าจะเข้าไปเข้มงวดบริหารจัดการควบคุมระบบกับลูกน้องระดับล่างให้มากขึ้น ควรทบทวบระบบการคัดเลือกผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เข้ามาทำงานไม่เปิดโอกาสให้คนที่ขาดสติสัมปชัญญะ ลุแก่โทษะ ขาดวุฒิภาวะ ยึดเอาอารมณ์ตนเองเป็นที่ตั้งไม่คิดถึงผลที่ตามมา เข้ามาทำงานในองค์กรที่มีเกยีรติ มีศักดิ์ศรี กุมกฎหมายอยู่ในมือ มาสร้างความสื่อมเสียให้กับชื่อเสียงของตร.ได้ จะว่าไปแล้วการจับคนขายซีดีเถื่อนกลับอีเรื่องแค่นี้ ทำไมการปราบซีดีเถื่อนถึงไม่ไปปราบจุดต้นเหตุ บุกทลายแหล่งผลิต แต่กลับมาตามไล่กวาดผู้ค้ารายย่อย จนส่งผลให้เป็นเหตุต้องฆ่ากันตาย ทหารคนที่ตายก็ถือว่า เป็นคนดี เพื่อนฝูงรักใคร่ เป็นคนขยัน-มนุษยสัมพันธ์ดี เสาหลักของครอบครัวตายไปแล้วใครรับผิดชอบ ใครจะดูแล พ่อ แม่ ที่แก่เฒ่า ลูกที่ยังเล็กพึ่งลืมตาดูโลกยังไม่ถึง 2 ปี เมียมีรายได้เพียงน้อยนิด กับค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับภาระเพียงลำพัง จนกว่าลูกจะเติบใหญ่อยู่ในสังคม จึงเป็นผลพ่วงตามมากับผลกระทบต่อสังคม และด้านครอบครัว
เหตุการณ์สะเทือนใจชาวบ้านย่านตลาดนัดอาคารสวัสดิการประชาชื่น การให้ปากคำของผู้ต้องหา และพยาน มันตรงข้ามกันราวฟ้ากับเหว โดยพนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น ได้สรุปในคำร้องฝากขังต่อศาลอาญาว่าเมื่อวันที่ 11 มี.ค.2551 เวลา 17.30 น. ขณะที่ผู้ต้องหาทั้งสองคน ออกตรวจท้องที่พบ นายประมาณ เนียมเผือก จำหน่ายแผ่นซีดี โดยไม่ได้รับอนุญาต บริเวณแผงลอยริมถนนเลียบคลองประปา ใกล้แฟลต บก.สส.แขวงจตุจักร กทม.จึงได้เข้าจับกุมตัวเพื่อดำเนินคดี ระหว่างจับกุม มี.ส.ต.ชัยวุฒิ ประสมศรี และ จ.ส.อ.วิชิต เอื้อเฟื้อกลาง เข้าไปสอบถาม และ ส.ต.ชัยวุฒิ ได้พูดท้าทาย พร้อมกับเปิดชายเสื้อด้านขวาให้เห็นอาวุธปืนพกที่เหน็บอยู่ที่เอว ก่อนจะเดินจากไป และเมื่อผู้ต้องหาทั้งสองจับกุมนายประมาณเสร็จ และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาสนับสนุน ระหว่างนั้นผู้ต้องหาที่ 1 เห็น ส.ต.ชัยวุฒิ ขี่รถจักรยานยานยนต์ออกมา จึงเรียกให้หยุดแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ ส.ต.ชัยวุฒิ ชักอาวุธปืนออกจากเอว ผู้ต้องหาที่ 1 จึงชักปืนออกมายิง เพื่อยับยั้งและป้องกันเหตุ 1 นัด จน ส.ต.ชัยวุฒิ เสียชีวิตขณะเดียวกัน ผู้ต้องหาที่สองได้ใช้อาวุธปืนจ่อศีรษะและลำตัวของ จ.ส.อ.วิชิต เอื้อเฟื้อกลางและใส่กุญแจมือ เพื่อป้องกันเหตุร้าย
แต่คำให้การของพยาน จากการสอบสวน จ.ส.อ.วิชิต เอื้อเฟื้อกลาง และพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุให้ถ้อยคำทำนองเดียวกันว่า ขณะผู้ต้องหาเข้าจับกุมผู้ค้าแผงลอย มีการยื้อยุดฉุดกระชากผู้ค้า ผู้ตายจึงเข้าไปสอบถาม ผู้ต้องหาเปิดชายเสื้อให้เห็นปืนแล้ว บอกว่า เป็นตำรวจ ผู้ตายจึงเดินกลับไป บริเวณปากทางเข้าแฟลต จากนั้นประมาณ 10 นาที จึงเดินไปขึ้นรถจักรยานยนต์และกำลังถอยรถจักรยานยนต์ จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 เข้าไปยิงผู้ตายจนล้มลงทั้งรถจักรยานยนต์ ขณะที่มือผู้ตายอีกมือหนึ่ง ยังถือถุงข้าวเหนียวหมูปิ้ง เพื่อนผู้ตายเข้ามาจะนำตัวส่งโรงพยาบาล ผู้ต้องหาก็ไม่ยินยอม ส่วนอาวุธปืนของผู้ตาย ผู้ต้องหาก็เป็นผู้หยิบออกจากเอวของผู้ตาย หลังจากที่ถูกยิงแล้ว ศาลเห็นว่าพฤติการณ์ของผู้ต้องหาเป็นการกระทำต่อผู้ตาย โดยที่ผู้ตายไม่ได้ทันระวังตัว และไม่มีการแสดงท่าทางข่มขู่หรือขัดขวาง การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ต้องหาแต่อย่างใด จึงเป็นการกระทำโดยอุกอาจ ต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก โดยที่ผู้ตายไม่ได้ชักอาวุธปืนออกมาตามที่ระบุในคำร้องฝากขัง
กับความเลือนลางของยุคบ้านเมือง ที่ไม่มีขือมีแป อยากรู้ใจตำรวจที่ฆ่าทหารซึ่งเป็นคนสีกากีด้วยกันว่าขณะนั้นลืมคิดไปหรือว่าเป็นตำรวจ หรือแสดงธาตุแท้ตัวตนออกมา ถึงได้โหดร้ายเกินมนุษย์ กับให้แค่เรื่องขี้ผงที่พูดจาผิดหู และทำตัวเป็นพลเมืองดี และ อยากรู้ใจนายที่ออกมาปกป้องลูกน้องด้วยการขอยื่นประกันตัว โดย พ.ต.อ.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผกก.สน.ประชาชื่น และ พ.ต.ท.เอนก อุ่นเดช สว.สส.สน.ประชาชื่น ได้ใช้ตำแหน่งตีมูลค่ารวม 565,300 บาท เป็นหลักทรัพย์ขอประกันตัวผู้ต้องหาที่ 1 ขณะเดียวกันพ.ต.ท.ถวัลย์ พวกเกษม รอง ผกก.สส.สน.ประชาชื่นใช้ตำแหน่งตีมูลค่า 319,600 บาท เป็นหลักทรัพย์ขอประกันตัวผู้ต้องหาที่ 2 ดีที่ศาลท่านพิจารณาตามเหตุและผลด้วยขบวนการยุติธรรม ไม่อนุญาต ค้านประกัน
ไม่ใช่เพียงพยานปากเอกที่เข้าให้ปากคำต่อตำรวจ แต่ยังมีกลุ่มแม่ค้า เด็กเยาวชน ที่เห็นและอยู่ในเหตุการณ์ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “รู้สึกสะเทือนใจกับการกระทำที่อุกอาจของตำรวจทั้ง 2 ช่วงเกิดเหตุไม่มีใครกล้าพูดกลัวอิทธิพลตำรวจ เพราะถูกขู่ห้ามใครมายุ่ง นี่เป็นเขตทหารแท้ ๆ ตำรวจยังกล้าเอาปืนจี้ทหารที่มาด้วยและเอาเท้าเขี่ยปืนที่ทหารพกอยู่ที่เอวออกห่าง และยังห้ามไม่ให้ใครช่วยแม้ทหารที่ถูกยิงหน้าอกจะพยายามอ้าปากพูดอย่างแผ่วเบาให้ช่วยด้วยก็ตาม”
เมื่อมีทหารตายด้วยน้ำมือตำรวจขึ้นลำก่อนลั่นไกยิง เหตุชักบานปลาย โดยมือดีลึกลับอ้างตัวเป็นเพื่อนทหารผู้ตายโทร.ขู่วางระเบิดสน.ประชาชื่น ระบุชัด “เพื่อนมึงทำพวกกูตาย พวกมึงตายแน่ กูจะวางระเบิดโรงพักมึง”
ในหลายคำบอกเล่าและจากเหตุการณ์ขู่บึมโรงพัก น่าจะสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรม ความไม่สบายใจต่อเหตุการณ์ แม้ว่าพล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ โฆษกตำรวจ จะยืนยันถึงการทำงานของขบวนการสอบสวนคดี เน้นโปร่งใส(แจ๋ว) เป็นธรรม ไม่เอื้อพวก และเปิดโอกาสรับหลักฐานวิดีโอคลิปจากผู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง แต่ในฝ่ายที่เสียหายพล.ท.สมหมาย เกาฎีระ เจ้ากรมยุทธบริหารทหารผู้บังคับบัญชา ส.ต.ชัยวุฒิ ผู้ตาย ได้พูดไว้น่าสนใจว่า “ตำรวจยิงง่ายเกินไป ไม่น่าถึงขั้นลงไม้ลงมือด้วยการใช้อาวุธ เรื่องนี้อยากให้ตำรวจทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่บิดเบือน ผู้บังคับบัญชาน่าจะลงมาดูว่า การใช้อาวุธน่าจะมีหลักการมากกว่านี้ ควรปรับปรุงมาตรฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับล่างควรเอาใจใส่มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ทางผู้ใหญ่ก็คุยกันอยู่ ไม่อยากให้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว”
คดีอุกฉกรรจ์ขนาดนี้ ทางตำรวจยังไม่ฟันธงชัดเจนจะลงโทษวินัยร้ายแรงไล่ออกจากราชการหรือไม่ เพียงแต่ขอเวลามากถึง 7 วัน เพื่อสอบข้อเท็จจริง แม้ว่าพนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 ยังศาลอาญา พร้อมแจ้ง 3 ข้อหาต่อ ส.ต.อ.ประสาท ผู้ลั่นไกปืนฆ่าส.ต.ชัยวุฒิ คือ 1. เจ้าพนักงานฆ่าผู้อื่นโดยอ้างว่าปฏิบัติการตามหน้าที่ และป้องกันตัว พอสมควรแก่เหตุ 2.ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และ 3. ไม่ช่วยเหลือผู้ซึ่งตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิต ส่วน จ.ส.ต.ปรวิศร์ ผู้ร่วมปฏิการณ์ 4 กระทง คือ 1. พยายามฆ่าผู้อื่น 2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด 3. หน่วงเหนี่ยวกักขังให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพ และ 4. ไม่ช่วยเหลือผู้ซึ่งตกอยู่ในภยันตราย
คดีนี้แม้ทหารจะยอมงอ ไม่ยอมหัก แต่หากพยานหลักฐาน และยุคเทคโนโลยีไม่ทันสมัยพอ จะมีคลิปวีดีโอภาพหลักฐานนำไปมัดตัวตำรวจลุแก่โทสะได้ฤา มันจะเป็นเพียงคำบอกเล่าจากปากพยานเท่านั้น และตัวพยานเองก็คือเพื่อนทหาร และชาวบ้านตาดำ ดำ ที่ยืนมองตำรวจทำอย่างอุกอาจ-โหดเหยี้ยม หากเล่าเหตุการณ์ให้ปากคำไปแล้วจะปลอดภัยหรือไม่ การที่จะเดินไปไหนมาไหนจะเกิดเหตุร้ายหรือเปล่า ต้องถามผู้มีอำนาจ!! ตำรวจให้ความมั่นใจได้แค่ไหน ทหารที่ตายไปใครจะแอ่นอกรับผิดชอบ???