จารบุรุษ
ได้เห็นภาพนายพลตำรวจ ก้มกรานกราบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นถือว่า ได้ตกเป็นจำเลยตามหมายจับของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และได้รับการประกันตัวออกไปแล้ว แต่อยู่ระหว่างเดินทางไปมอบตัวที่สำนักงานอัยการสูงสุด ในคดีปกปิดหุ้นเอสซีแอสเสท เหตุเกิดที่กองปราบปรามนั้น บอกตามตรงว่า รู้สึกหมดศรัทธากับเครื่องแบบของนายพลตำรวจผู้นี้ยิ่งนัก ไม่ใช่เพราะยืนอยู่คนละข้างกับพ.ต.ท.ทักษิณ จึงรู้สึกหมดศรัทธาเช่นนั้น แต่การกระทำในลักษณะดังกล่าว เป็นเสมือนหนึ่งการประจบสอพลอที่ออกนอกหน้านอกตาจนเกินงาม
การยกมือไหว้ หรือทำความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่นั้น ถือเป็นขนบธรรมเรียมประเพณีที่ดีงามของคนไทยมาช้านาน เพราะพวกเราได้รับการปลูกฝังให้ประพฤติปฏิบัติต่อขนบธรรมเนียมที่ดีงามนั้นมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ถามว่า นายพลตำรวจคนดังกล่าว สามารถที่จะยกมือไหว้ในลักษณะดังกล่าวได้ไหม ตอบได้ทันทีเลยว่า ได้ แต่ถามอีกว่า สมควรหรือเหมาะสมหรือไม่ คำถามนี้ ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล แต่โดยส่วนตัว เห็นว่า การโน้มตัวเข้าไปยกมือไหว้ ชนิดที่ต่ำกว่าการยกมือไหว้ตามปกติทั่วไป เหมือนเป็นการจงใจก้มกรานกราบก็มิปานนั้น ถือเป็นการไหว้แบบประจบสอพลอเสียมากกว่า การยกมือไหว้ในความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่
ถามอีกว่า ทำไม นายพลตำรวจคนนั้น จึงต้องก้มกรานกราบถึงขนาดนั้น ก็ต้องย้อนกลับไปดูประวัติและผลงานของเจ้าของรหัส "น.10" พล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา ซึ่ง"จารบุรุษ"เคยเขียนถึงพล.ต.ต.บุญส่งไว้ครั้งหนึ่งว่า... "ได้ยินมาว่า พล.ต.ต.บุญส่งนั้น เป็นนรต. 28 เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกับพล.ต.ท.ปานศิริ ประภาวัต ที่ปรึกษา สบ.9 อดีตผบช.น. อดีตผบช.ภ.1 พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ ผบก.ตปพ. อดีตผบก.น.7 พล.ต.ต.บุญส่ง พอจะมีชื่อชั้นกับเขาบ้างก็ เมื่อครั้งจับกุม"แดง เลาขวัญ" หรือนายอุทัย แซ่ลี้ คนร้ายตัวฉกาจที่ก่อคดีฆ่าข่มขืน และหลบหนีการจับกุมของตำรวจมานาน และเมื่อถูกจับก็รับสารภาพว่าทำไปเพราะแค้นที่พ่อถูกโกงที่ดิน น้องสาวก็ถูกข่มขืน คนทำผิดไม่ถูกลงโทษก็เลยฆ่าทิ้งเสียแล้วติดคุก 10 ปี พอออกมาก็ฆ่ามาเรื่อยประชดชีวิตที่ถูกรังแกและได้รับความยุติธรรมน้อย โดยครั้งนั้น พล.ต.ต.บุญส่งดำรงตำแหน่งผบก.ชัยนาท ซึ่งมีพล.ต.ท.ปานศิริ เป็นผบช.ภ.1 อยู่ ก่อนที่จะย้ายไปเป็นผบก.อ่างทอง
พล.ต.ต.บุญส่ง ย้ายจากอ่างทองมาเป็นผบก.น.7 พื้นที่ซึ่งต้องดูแลบ้านจันทร์ส่องหล้าของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนั้น ค่อนข้างจัดว่าเซอร์ไพรส์พอสมควร ด้วยมีการว่ากันมาปากต่อปากว่า นรต. 26 นั้น เข้ากันทางพ.ต.ท.ทักษิณได้โดยตรง ส่วนนรต. 28 ซึ่งเป็นรุ่นน้อง 2 ปีนั้นเขาเข้ากันทางหลังบ้าน และดูเหมือนอนาคตค่อนข้างยาวไกลกันหลายคน"
ข้อความข้างต้น เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2549 แต่แหม...กลับไปย้อนดู ยังติดใจประโยคที่ว่า "นรต. 26 นั้น เข้ากันทางพ.ต.ท.ทักษิณได้โดยตรง ส่วนนรต. 28 ซึ่งเป็นรุ่นน้อง 2 ปีนั้นเขาเข้ากันทางหลังบ้าน และดูเหมือนอนาคตค่อนข้างยาวไกลกันหลายคน" ก็ทำให้นึกออกได้ว่า ทำไม พล.ต.ต.บุญส่งจึงต้องก้มตัวลงไหว้พ.ต.ท.ทักษิณ ขนาดน้านนนน
มีเรื่องเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่า จะเกี่ยวข้องกับเรื่องข้างต้นหรือไม่ แต่รับรองได้ว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นมานานประมาณปี 2543-2544 จำไม่ค่อยได้แม่นนัก เกิดเหตุการณ์ นักโทษชาวพม่า ก่อเหตุ จับผู้คุมเป็นตัวประกัน เรียกร้องให้นำรถไปส่งยังชายแดนด้านอ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี โดยระหว่างทาง ทั้งท่านรมช.มหาดไทยขณะนั้น และผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ทำหน้าที่หัวหน้าตำรวจภูธรภาค 7 ได้มีการโทรศัพท์เข้าไปยังเครื่องของตัวประกัน และให้คนร้าย ซึ่งใช้นาม"หม่องเอ" (คนละคนกับอดีตผู้นำพม่า) โดยทั้งรมช. และผู้ช่วยอ.ตร. พูดกับคนร้าย ว่า"ครับผม"ทุกคำ รวมทั้งยังเรียกชื่อนำหน้าว่า"คุณ"ทุกคำเช่นกัน
เหตุการณ์ครั้งนั้น ถือเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ เมื่อนายพลตำรวจระดับพล.ต.ท. รวมทั้งตัวรมช.เอง ต่างเรียกคนร้ายว่า"คุณหม่องเอครับ" ทุกคำ แต่นั่นแหละ ที่ต้องเจรจาเช่นนั้น ก็ด้วยสถานการณ์ที่วิกฤติ ในการช่วยตัวประกัน แต่กับการยกมือไหว้ชนิดก้มต่ำกว่าเข็มขัด มีสถานการณ์อะไรที่วิกฤติ!
อยากขอฝากตำรวจไทยผู้มีหัวใจของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทุกนายไว้ อันยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้มาด้วยการประจบสอพลอ จะลงบันทึกเป็นเกียรติประวัติของวงศ์ตระกูลด้วยความภาคภูมิใจได้อย่างไร "ยศและตำแหน่ง"ที่ได้มาด้วยผลงานต่างหาก นอกจากจะเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูลแล้ว ยังเป็นเกียรติประวัติให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผืนแผ่นดินด้วย
ได้เห็นภาพนายพลตำรวจ ก้มกรานกราบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นถือว่า ได้ตกเป็นจำเลยตามหมายจับของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และได้รับการประกันตัวออกไปแล้ว แต่อยู่ระหว่างเดินทางไปมอบตัวที่สำนักงานอัยการสูงสุด ในคดีปกปิดหุ้นเอสซีแอสเสท เหตุเกิดที่กองปราบปรามนั้น บอกตามตรงว่า รู้สึกหมดศรัทธากับเครื่องแบบของนายพลตำรวจผู้นี้ยิ่งนัก ไม่ใช่เพราะยืนอยู่คนละข้างกับพ.ต.ท.ทักษิณ จึงรู้สึกหมดศรัทธาเช่นนั้น แต่การกระทำในลักษณะดังกล่าว เป็นเสมือนหนึ่งการประจบสอพลอที่ออกนอกหน้านอกตาจนเกินงาม
การยกมือไหว้ หรือทำความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่นั้น ถือเป็นขนบธรรมเรียมประเพณีที่ดีงามของคนไทยมาช้านาน เพราะพวกเราได้รับการปลูกฝังให้ประพฤติปฏิบัติต่อขนบธรรมเนียมที่ดีงามนั้นมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ถามว่า นายพลตำรวจคนดังกล่าว สามารถที่จะยกมือไหว้ในลักษณะดังกล่าวได้ไหม ตอบได้ทันทีเลยว่า ได้ แต่ถามอีกว่า สมควรหรือเหมาะสมหรือไม่ คำถามนี้ ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล แต่โดยส่วนตัว เห็นว่า การโน้มตัวเข้าไปยกมือไหว้ ชนิดที่ต่ำกว่าการยกมือไหว้ตามปกติทั่วไป เหมือนเป็นการจงใจก้มกรานกราบก็มิปานนั้น ถือเป็นการไหว้แบบประจบสอพลอเสียมากกว่า การยกมือไหว้ในความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่
ถามอีกว่า ทำไม นายพลตำรวจคนนั้น จึงต้องก้มกรานกราบถึงขนาดนั้น ก็ต้องย้อนกลับไปดูประวัติและผลงานของเจ้าของรหัส "น.10" พล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา ซึ่ง"จารบุรุษ"เคยเขียนถึงพล.ต.ต.บุญส่งไว้ครั้งหนึ่งว่า... "ได้ยินมาว่า พล.ต.ต.บุญส่งนั้น เป็นนรต. 28 เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกับพล.ต.ท.ปานศิริ ประภาวัต ที่ปรึกษา สบ.9 อดีตผบช.น. อดีตผบช.ภ.1 พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ ผบก.ตปพ. อดีตผบก.น.7 พล.ต.ต.บุญส่ง พอจะมีชื่อชั้นกับเขาบ้างก็ เมื่อครั้งจับกุม"แดง เลาขวัญ" หรือนายอุทัย แซ่ลี้ คนร้ายตัวฉกาจที่ก่อคดีฆ่าข่มขืน และหลบหนีการจับกุมของตำรวจมานาน และเมื่อถูกจับก็รับสารภาพว่าทำไปเพราะแค้นที่พ่อถูกโกงที่ดิน น้องสาวก็ถูกข่มขืน คนทำผิดไม่ถูกลงโทษก็เลยฆ่าทิ้งเสียแล้วติดคุก 10 ปี พอออกมาก็ฆ่ามาเรื่อยประชดชีวิตที่ถูกรังแกและได้รับความยุติธรรมน้อย โดยครั้งนั้น พล.ต.ต.บุญส่งดำรงตำแหน่งผบก.ชัยนาท ซึ่งมีพล.ต.ท.ปานศิริ เป็นผบช.ภ.1 อยู่ ก่อนที่จะย้ายไปเป็นผบก.อ่างทอง
พล.ต.ต.บุญส่ง ย้ายจากอ่างทองมาเป็นผบก.น.7 พื้นที่ซึ่งต้องดูแลบ้านจันทร์ส่องหล้าของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนั้น ค่อนข้างจัดว่าเซอร์ไพรส์พอสมควร ด้วยมีการว่ากันมาปากต่อปากว่า นรต. 26 นั้น เข้ากันทางพ.ต.ท.ทักษิณได้โดยตรง ส่วนนรต. 28 ซึ่งเป็นรุ่นน้อง 2 ปีนั้นเขาเข้ากันทางหลังบ้าน และดูเหมือนอนาคตค่อนข้างยาวไกลกันหลายคน"
ข้อความข้างต้น เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2549 แต่แหม...กลับไปย้อนดู ยังติดใจประโยคที่ว่า "นรต. 26 นั้น เข้ากันทางพ.ต.ท.ทักษิณได้โดยตรง ส่วนนรต. 28 ซึ่งเป็นรุ่นน้อง 2 ปีนั้นเขาเข้ากันทางหลังบ้าน และดูเหมือนอนาคตค่อนข้างยาวไกลกันหลายคน" ก็ทำให้นึกออกได้ว่า ทำไม พล.ต.ต.บุญส่งจึงต้องก้มตัวลงไหว้พ.ต.ท.ทักษิณ ขนาดน้านนนน
มีเรื่องเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่า จะเกี่ยวข้องกับเรื่องข้างต้นหรือไม่ แต่รับรองได้ว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นมานานประมาณปี 2543-2544 จำไม่ค่อยได้แม่นนัก เกิดเหตุการณ์ นักโทษชาวพม่า ก่อเหตุ จับผู้คุมเป็นตัวประกัน เรียกร้องให้นำรถไปส่งยังชายแดนด้านอ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี โดยระหว่างทาง ทั้งท่านรมช.มหาดไทยขณะนั้น และผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ทำหน้าที่หัวหน้าตำรวจภูธรภาค 7 ได้มีการโทรศัพท์เข้าไปยังเครื่องของตัวประกัน และให้คนร้าย ซึ่งใช้นาม"หม่องเอ" (คนละคนกับอดีตผู้นำพม่า) โดยทั้งรมช. และผู้ช่วยอ.ตร. พูดกับคนร้าย ว่า"ครับผม"ทุกคำ รวมทั้งยังเรียกชื่อนำหน้าว่า"คุณ"ทุกคำเช่นกัน
เหตุการณ์ครั้งนั้น ถือเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ เมื่อนายพลตำรวจระดับพล.ต.ท. รวมทั้งตัวรมช.เอง ต่างเรียกคนร้ายว่า"คุณหม่องเอครับ" ทุกคำ แต่นั่นแหละ ที่ต้องเจรจาเช่นนั้น ก็ด้วยสถานการณ์ที่วิกฤติ ในการช่วยตัวประกัน แต่กับการยกมือไหว้ชนิดก้มต่ำกว่าเข็มขัด มีสถานการณ์อะไรที่วิกฤติ!
อยากขอฝากตำรวจไทยผู้มีหัวใจของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทุกนายไว้ อันยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้มาด้วยการประจบสอพลอ จะลงบันทึกเป็นเกียรติประวัติของวงศ์ตระกูลด้วยความภาคภูมิใจได้อย่างไร "ยศและตำแหน่ง"ที่ได้มาด้วยผลงานต่างหาก นอกจากจะเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูลแล้ว ยังเป็นเกียรติประวัติให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผืนแผ่นดินด้วย