ตำรวจสอบสวนกลาง ช่วยติดตามคืนรถให้บริษัทรถเช่าได้กว่า 13 คัน หลังเข้าแจ้งความถูกสาวใหญ่หลอกเช่าและยักยอกรถไปตั้งแต่ปี 50 จำนวน 30 คัน “อดิศร” ชี้คดีนี้ไม่เกี่ยวกับแชร์รถ ยัน ยังไม่พบรถที่ถูกหลอกจากบริษัทแชร์รถเช่าออกนอกประเทศ
วันนี้ (18 ก.พ.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่กองบัญชากการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) แถลงผลการติดตามหารถยนต์ที่ถูก นางสาวจุฑามาศ ประพันธ์ อายุ 37 ปี ยักยอกจากบริษัทรถเช่าหลายบริษัท ซึ่งมีการร้องเรียนตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2550 โดยสามารถติดตามมาได้ทั้งหมด 13 คัน รวมล่าสุดสามารถติดตามมาได้อีก 2 คัน คือ รถยนต์โตโยต้า คัมรี่ สีเทา ทะเบียน วต 3784 กทม.ของนายทรงศร เทพศร และรถยนต์เบนซ์ สีเทา ทะเบียน ษร 4208 กทม.นายสมชัย นะโนนชัย ตัวแทนของ บ.บาซานเทค จำกัด
พล.ต.ท.อดิศร กล่าวว่า รถยนต์ที่ตามคืนมาได้เป็นจำนวนหนึ่งจากทั้งหมด 30 คัน ที่ น.ส.จุฑามาศ ได้ติดต่อขอเช่ารถยนต์จากบริษัทต่างๆ โดยในช่วง 3 เดือนแรกได้ชำระค่าเช่าเดือนละ 15,000-35,000 บาท ตรงตามกำหนดที่ได้ทำสัญญาไว้กับบริษัทเช่ารถเพื่อหลอกให้หลงเชื่อ แต่ต่อมาก็จะไม่สามารถติดต่อได้เลย และได้นำรถที่เช่ามาไปจำนำและขายให้ผู้อื่นโดยใช้เอกสารเท็จและบางส่วนยังร่วมกับผู้เสียหายในแก๊ง ทำการข่มขู่ผู้เสียหายในเชิงบังคับให้นำเงินมาไถ่ถอนรถยนต์กลับคืนไป ในราคาคันละ 200,000-250,000 บาท
พล.ต.ท.อดิศร กล่าวว่า บริษัทที่เสียหายจึงเข้าร้องเรียนที่กองบังคับการปราบปรามในข้อหา ร่วมกันยักยอกทรัพย์และกรรโชกทรัพย์ ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ ตามคดีอาญาที่ 59/2550 จึงได้เร่งรัดติดตามหารถยนต์คืนผู้เสียหายติดตามได้ทั้งสิ้น 13 คัน โดย 2 คันล่าสุดคือ รถยนต์โตโยต้า คัมรี่ พบจอดทิ้งอยู่ที่ ซ.พหลโยธิน 24 และรถเบนซ์ พบที่ ซ.อาภาภิรมย์ จึงได้นำมาคืนกับเจ้าของในวันนี้
พล.ต.ท.อดิศร กล่าวอีกว่า กรณีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องแชร์รถเช่า แต่มีผู้เสียหายมาร้องเรียนตั้งแต่ปีก่อน ส่วนกรณีที่มีรถแชร์ไปจอดที่กองบังคับการปราบนั้นตนเพิ่งทราบไม่นาน แต่เมื่อติดต่อไปก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นอย่างนั้น ก็ได้ให้ตรวจสอบแล้ว หากผู้เสียหายยืนยันว่ารถอยู่ที่กองปราบจริงก็จะตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ให้มาพบตำรวจพูดคุยกันให้รู้เรื่องยินดีให้ความชัดเจน
พล.ต.ท.อดิศร กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการดำเนินคดีนครบาลจะเป็นผู้ดูแล ส่วนของ บช.ก.จะดูแลในเรื่องการนำรถส่งออกไปยังชายแดน ซึ่งมอบหมายให้ทางหลวงตั้งจุดสกัดแล้ว ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบรถที่ถูกหลอกจากบริษัทแชร์รถเช่าออกนอกประเทศ ส่วนหนึ่งอาจมาจากข่าวที่ออกมาทำให้คนร้ายไม่กล้านำรถออกไปในช่วงนี้ ส่วนการตรวจสอบผู้ใต้บังคับบัญชาตามที่มีข่าวออกมาว่าได้นำรถผู้เสียหายไปใช้นั้น ผู้เสียหายหากพบเห็นหรือทราบก็สามารถเข้าพบผู้บัญชาการภาคได้เลยจะตรวจสอบให้ แต่หากตรวจสอบทุกคันก็จะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ลูกน้อง จึงให้สั่งผู้บังคับบัญชาตรวจสอบลูกน้องเฉพาะในส่วนที่เอารถใหม่มาใช้ กับที่มีพิรุธ หากพบว่าเกี่ยวข้องกับคดีก็ไม่ไว้หน้ากันอยู่แล้ว