“นายตายนานแล้ว” เข้าร้องขอให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ ส่งเจ้าหน้าที่คุ้มครอง หลังถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้ายึดครองที่ดินกว่า 200 ไร่ ใน ต.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ข่มขู่จนต้องหนีไปอยู่ที่อื่น
วันนี้ (11 ก.พ.) ที่สำนักคุ้มครองพยาน กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายตายนานแล้ว ลืมจำไม่ได้ อายุ 70 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ที่ 9 ต.ตกพรม อ.ขลุง จ.จันทบุรี พร้อมด้วยภรรยา เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อสำนักงานคุ้มครองพยาน กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กรณีถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้ายึดครองที่ดินกว่า 200 ไร่ ใน ต.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร จนต้องหนีออกจากพื้นที่ไปอยู่ที่ จ.จันทบุรี และเปลี่ยนชื่อนามสกุลจากเดิม ชื่อนายฉลอม แดงละอุ่น เป็น นายตายนานแล้ว ลืมจำไม่ได้ พร้อมกันนี้ นายตายนานแล้ว ยังได้มอบรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องในการเข้ายึดครองที่ดินผืนดังกล่าวให้กับเจ้าหน้าที่สำนักคุ้มครองพยาน ไว้เป็นหลักฐานหากตนเองต้องเสียชีวิต รวมทั้งสิ้น 7 คน โดยมีนายทหารยศ “พ.ท.” 5 คน พลเรือน 1 คน และตำรวจในพื้นที่ จ.ชุมพร 1 คน
นายตายนานแล้ว กล่าวว่า ที่ดินผืนดังกล่าวตนซื้อต่อมาจาก นายประเสริฐ เติมศิริ เจ้าของบริษัท ทองผาภูมิค้าไม้ เมื่อปี 2536 มูลค่าประมาณ 40,000 บาท โดยที่ดินผืนนี้ นายประเสริฐ ซื้อต่อมาจากเจ้าของเดิม ซึ่งมีการทำหนังสือสัญญาซื้อขายไว้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากที่ตนตกลงซื้อขายกันแล้วตนก็ได้ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับที่ดินผืนนี้ว่าเป็นที่ป่าสงวนหรือไม่ โดยตรวจสอบไปยัง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ป่าไม้จังหวัดชุมพร และ ส.ป.ก.ก็ทราบว่าที่ดินผืนนี้เป็นที่ดินที่อยู่นอกพื้นที่ป่าสงวน สามารถที่จะออก ส.ป.ก.ได้
นายตายนานแล้ว กล่าวอีกว่า หลังจากตนได้ที่ดินผืนนี้มาแล้วก็เข้าไปปรับปรุงพื้นที่ และทำความสะอาดบ้านพักที่มีอยู่เดิม ก่อนจะพาลูกหลานเข้าไปอยู่และประกอบอาชีพทำสวนยางพารา ต่อมาประมาณกลางปี 2537 ตน และครอบครัวได้ถูกกลุ่มมาเฟียเข้ามาขับไล่ออกจากที่ดินผืนนี้ โดยอ้างกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ แต่ไม่มีเอกสารมาแสดงยืนยัน ตนจึงไม่ยอมย้ายออก เป็นเหตุให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ไม่พอใจ และข่มขู่ว่าจะฆ่าล้างครัว พอนำเรื่องนี้ไปแจ้งความที่ สภ.สลุย ปรากฏว่า ตำรวจไม่รับแจ้งความ และไม่มีการลงบันทึกประจำวันใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ตนและครอบครัวกลัวจนไม่สามารถทำมาหากินในที่ดินผืนนี้ได้ ต้องอพยพหนีไปอยู่จังหวัดอื่น ต่อมา กลุ่มผู้มีอิทธิพลดังกล่าวได้นำรถเข้ามาไถทำลายพืชไร่ที่ปลูกไว้จนหมด และนำกุญแจไปล็อกประตูบ้านพัก นอกจากครอบครัวตนที่ถูกข่มขู่แล้ว เพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เคยอาศัยบนที่ดินผืนนี้ก็เคยถูกไล่ยิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส พอไปแจ้งความตำรวจก็ไม่สนใจ
นายตายนานแล้ว กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ตนเดินทางไปร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ ทั้ง สตช.และตำรวจภูธรภาค 8 และนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2537 ก็ไม่ได้ความช่วยเหลือ และต้องเสียค่าใช้จ่ายจากการเดินทางร้องเรียนจนหมดตัว และทุกวันนี้ลูกสาวตนต้องไปกู้เงินนอกระบบมาใช้จ่ายในครอบครัว ต้องเสียดอกวันละ 400 บาท และขณะนี้ตนเป็นโรคหัวใจอยู่ จึงตัดสินใจมาร้องเรียนต่อกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ให้ช่วยเหลือครอบครัวตนด้วย ทุกวันนี้ตนไม่กล้ากลับเข้าไปในพื้นที่ จ.ชุมพร ทั้งนี้ หลังจากที่ตนร้องเรียนต่อกรมคุ้มครองสิทธิฯแล้ว ก็จะไปร้องเรียนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นครั้งสุดท้าย หากยังไม่ได้รับการช่วยเหลืออีกตนก็ขอฆ่าตัวตายอยู่ตรงนั้น เพราะไม่รู้จะไปร้องกับใครแล้ว
ด้าน เจ้าหน้าที่สำนักคุ้มครองพยาน กล่าวว่า ในวันนี้ นายตายนานแล้ว ได้มาร้องทุกข์ต่อสำนักคุ้มครองพยาน เพื่อให้ช่วยคุ้มครองชีวิตและดำเนินการกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่เข้าครอบครองที่ดินของผู้ร้อง พร้อมกับได้มอบรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องที่เข้าไปยึดครองพื้นที่ผืนนี้ แต่ขณะนี้สำนักคุ้มครองพยาน ยังไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ เนื่องจากผู้ร้องยังไม่ได้แจ้งความ จึงแนะนำให้กลับไปแจ้งความก่อนและนำหลักฐานการแจ้งความมาร้องใหม่ในภายหลัง