เหยื่อแก๊ง ตชด.อุ้มเรียกค่าไถ่โผล่อีกหลายราย รายแรกเป็นเจ้าของรถปิกอัพวีโก้ ที่แก๊ง ตชด.ใช้ก่อเหตุอุ้ม 3 แม่ลูก อ้างถูกยัดกัญชา 7 กก.และให้เป็นสายล่อซื้อยาบ้าให้ พร้อมกับอุ้มไปกักขังที่เรสซิเดนท์คอนโด อีกรายระบุ ถูกแก๊ง ตชด.บุกปล้นทรัพย์กวาดไปกว่าครึ่งล้าน ขณะที่อีกหลายรายแฉพฤติกรรมสุดโหด ซ้อมให้รับค้ายาบ้า
วันนี้ (28 ม.ค.) เมื่อเวลา 08.00 น.ที่ สน.บางพลัด น.ส.นฤมล อ่อนสมทรง อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 32/26 ถนนโฉลกรัฐ ต.บางกุ้ง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี พร้อม นายพงษ์ชัย ยอดจิตใจ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 ต.คลองไทร อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี สองสามีภรรยา เจ้าของรถโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ ทะเบียน บร-4447 สุราษฎร์ธานี ที่สวมทะเบียนปลอมเป็นป้ายแดง ซึ่งแก๊ง ตชด.นำรถไปใช้ก่อเหตุอุ้ม 3 แม่ลูก เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.บางพลัด โดย น.ส.นฤมล ให้การว่า เคยถูกแก๊ง ตชด.แก๊งนี้อุ้มไปเหมือนกัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 ส.ค.2550 ช่วงเวลา 12.00 น.ขณะที่ทั้ง 2 คน นั่งดูหนังอยู่ในบ้าน ต่อมาได้ออกไปซื้อส้มตำมารับประทาน เและเมื่อกลับเข้ามาถึงบ้าน ได้ถูกผู้ต้องหาผลักเข้าไปในบ้าน จากนั้นเข้าตรวจค้น พร้อมกับหยิบกัญชาขึ้นมา บอกว่า ตนมีกัญชาในครอบครอง 7 กก.ซึ่งตนปฏิเสธไปว่าไม่ใช่ กลุ่มผู้ต้องหา จึงลงมือตบตี มัดมือมัดแขน เอาผ้าปิดตา
น.ส.นฤมล ให้การต่อว่า จากนั้น กลุ่มผู้ต้องหาได้ยึดรถคันดังกล่าวไป และพาตนไปไว้ที่บังกะโลแห่งหนึ่งหลังห้างบิ๊กซี ต.บางกุ้ง เมื่อไปถึง ก็พบผู้เสียหายอีกประมาณ 20 คน ที่ถูกอุ้มมาเช่นเดียวกับตน บางคนถูกไฟฟ้าช็อต บางคนถูกผ้าคลุมหัวไว้ ซึ่งต่อมา ตนกับสามีถูกจับแยกไปขังคนละห้อง ซึ่งตนจำได้เพียงว่า คนที่ตบตีเป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ ถัดมาในวันที่ 12 ส.ค.ตนทั้ง 2 คน ถูกกลุ่ม ตชด.พาเข้าไปขังที่เรสซิเดนท์คอนโดฯ กทม.สถานที่เดียวกับที่ 3 แม่ลูกถูกอุ้มไปเรียกค่าไถ่ จากนั้นถูกสั่งให้ทำงานในการล่อซื้อยาบ้าย่านพหลโยธิน จนภายหลัง ก็ถูกแจ้งข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และถูกนำตัวส่ง บช.ปส.ดำเนินคดี อีกทั้งยังถูกขู่บังคับให้รับสารภาพ ซึ่งตนทั้ง 2 คน ต้องยอมรับสารภาพไป เนื่องจากไม่มีเงินจ้างทนาย โดยในวันพรุ่งนี้ ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี จะมีคำสั่งพิพากษาในคดีของตน ในวันนี้ จึงเดินทางมาที่ สน.บางพลัด เพื่อจะขอรถคืน และเอกสารหลักฐาน ไปชลอการพิพากษาของศาล
“เมื่อยึดรถไป กลุ่มผู้ต้องหาอ้างว่า จะส่งให้หน่วยปราบปรามยาเสพติดภาค 8 แต่ภายหลังญาติไปตรวจสอบก็ไม่มี จนกระทั่งมาทราบว่า รถถูกนำมาใช้ในการก่อคดีอุ้ม 3 แม่ลูก จึงเดินทางมาสน.บางพลัด” น.ส.นฤมล ให้การ
ต่อมา เมื่อเวลา 12.00 น.ได้มี นางณัฐภัทร เพลิงสงเคราะห์ อายุ 35 ปี และ นายกฤษฎา เพลิงสงเคราะห์ อายุ 39 ปี สองสามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 27/103 ต.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ผู้เสียหายอีกราย เข้าพบพนักงานสอบสวนแจ้งว่า ถูกแก๊งตชด.แก๊งเดียวกันที่ถูกจับกุมบุกปล้นทรัพย์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 เม.ย.2548 ช่วงเวลา 18.00 น.โดยในวันเกิดเหตุ นางณัฐภัทร อยู่บ้านกับบุตรสาววัย 9 ขวบ โดยมีพี่สาว นางณัฐภัทร และหลานๆ อยู่ด้วยรวม 7 คน ทั้งหมดกำลังนั่งดูโทรทัศน์ อยู่ในบ้านเลขที่ 2/3 หมู่ 5 หมู่บ้านสุภาพ ถนนติวานนท์ ต.บางกระดี อ.เมือง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นบ้านหลังเดิม ขณะนั้น กลุ่มผู้ต้องหา บุกเข้ามาในบ้าน 5 คน โดยอีกจำนวนหนึ่งยืนล้อมบ้านไว้ ซึ่งจำได้ว่า ในวันนั้น สามารถจดจำหน้า ร.ต.อ.ณัฐ ได้ โดยแต่งกายใส่เสื้อสีเขียว และลูกน้องพากันเรียกว่า “หมวดณัฐ” ส่วนอีกคน จำได้ว่าชื่อ “จ่าอ้วน”
นางณัฐภัทร ให้การว่า เมื่อกลุ่มคนร้ายเข้ามาในบ้าน ได้ใช้ปืนลูกโม่ เข้ามาจ่อหัวตน จากนั้นจับใส่กุญแจมือ ทั้งพี่สาว และหลานชายที่อายุ 18 ปีอีกคน เสร็จแล้ว คนร้ายให้ทั้งหมดมาอยู่รวมกัน พร้อมกับถามว่า ของกลางอยู่ไหน ตนก็งง จึงสอบถามหาหมายค้น แต่ก็ถูกด่าว่า พูดมาก ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันลุยค้นบ้าน เอาทรัพย์สินไป เป็นเงินสด 540,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการขายรถบีเอ็มฯของสามีจำนวน 300,000 บาท ส่วนอีก 240,000 บาท เป็นเงินที่ได้จากการถูกหวยติดต่อกัน 2 งวด รวมทั้งทองรูปพรรณหนักประมาณ 30 บาท อาวุธปืนยาว ของสามี 1 กระบอก โดยกลุ่มคนร้ายใช้เวลาปฏิบัติการทั้งหมดไม่เกิน 15 นาที
นางณัฐภัทร ให้การต่อว่า เมื่อผู้ต้องหาได้ทรัพย์สินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว บอกว่าให้พวกตนรออยู่ในบ้าน เดี๋ยวจะนำรถตำรวจมารับ ก่อนที่จะล็อกประตูบ้าน และพากันออกไป โดยนำกุญแจรถตนไปด้วย ต่อมา เมื่อพวกตนรออยู่ประมาณ 10 นาที เห็นกลุ่มคนร้ายหายไปผิดปกติ ทางฝ่ายพี่สาวจึงไปเอากุญแจบ้านมาไข แล้วพากันออกไปแจ้งความที่สภ.ปากคลองรังสิต แต่ในวันนั้น ตำรวจไม่ให้ความสนใจ โดยไม่เชื่อว่า พวกตนถูกปล้นจริง หนำซ้ำยังบอกว่า ถ้าเป็นโจรจริง คงไม่มาปล้นบ้านเป็นทาวน์เฮาส์แบบนี้ ทั้งยังบอกว่า กุญแจมือแบบที่พวกตนถูกใส่ ตำรวจเขาไม่ใช้กัน อาจจะเป็นของพวกยาม อย่างไรก็ตาม พวกตนไม่เชื่อว่าเป็นยาม เพราะกลุ่มคนร้ายมีพฤติกรรมคล้ายตำรวจมาก ซึ่งตำรวจ สภ.ปากคลองรังสิต ไม่เชื่อ แต่นำกุญแจมาไขกุญแจมือออกให้ ทั้งหมดจึงพากันกลับบ้าน ซึ่งระหว่างทาง มีรถตำรวจขับตามมา เหมือนเป็นการตามมาจับผิด พวกตนจึงได้จอดรถลงไปถาม แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หลังจากกลับมาอยู่บ้าน พวกดิฉันถูกข่มขู่คุกคามมาตลอด กระทั้งทนไม่ไหว เมื่อปลายปีที่แล้ว จึงพากันย้ายบ้านไปอยู่ย่านปากเกร็ด” นางณัฐภัทร ให้การ
ต่อมาเมื่อเวลา 13.30 น. นางปรินดา ทองลอย อายุ 40 ปี เดินทางมายังสน.บางพลัด โดยนำภาพถ่ายที่สามีถูกซ้อม เและนสพ.ไทยรัฐฉบับวันที่ 22 ธ.ค. 2550 เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสน.บางพลัด ว่า นายมนต์ชัย เข็มทอง อายุ 46 ปี สามี เคยถูกแก๊งตชด.แก๊งนี้ จับกุมตัวและยัดยาบ้า 1,400 เม็ด เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.2550 ช่วงเวลา 05.00 น. ขณะที่สามีกำลังนอนหลับในบ้านพักเลขที่ 91/1 หมู่ 5 ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แก๊งตชด.แก๊งนี้บุกเข้าไปในบ้าน พร้อมกับจับสามีใส่หมวกไหมพรม(หมวกไอ้โม่ง) และรุมกระทืบจนเละ โดยตนพยายามจะเข้าไปช่วย แต่ถูกกันไม่ให้เข้าไป จากนั้น สามีก็ถูกหิ้วตัวไปไว้ที่โรงแรมตั๊กแตน ตนซึ่งได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามไปตลอด โดยสามีถูกเอาผ้ามัดปาก และใช้ผ้าปิดจมูก บีบคอ จนต้องยอมรับสารภาพ หลังจากนั้น มาเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ระบุว่า ตชด.ชุดที่จับสามีตน ระบุว่าผู้ต้องหาชื่อนายแมว ไม่มีนามสกุล อายุ 45 ปี เป็นชาวจีนฮ่อ พร้อมยาบ้า 1,400 เม็ด ซึ่งตนไม่เข้าใจว่า สามีตนกลายเป็นชาวจีนฮ่อไปได้อย่างไร ปัจจุบัน สามีถูกจำคุกในเรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงต้องเดินทางมาร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากสามีตนไม่มีอันจะกินอยู่แล้ว ทำอาชีพรับจ้างทุบปลา ชาวบ้านในละแวกดังกล่าว เป็นพยานให้ได้ ว่าถูกยัดยาบ้าแน่นอน ทั้งนี้ ตนจำได้ว่า ในวันที่เกิดเหตุ ตำรวจชุดจับกุมคือร.ต.อ.ณัฏฐ์ แน่นอน เพราะเป็นคนหน้าตาดี
ถัดมาเมื่อเวลา 14.00 น. มีนางจุฑาพร นุ่นรอด อายุ 34 ปี พร้อมนายขวัญชัย โชติพันธุ์ ทนายความ เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนสน.บางพลัดในกรณีเดียวกันว่า เมื่อคืนวันที่ 4 ก.พ. 2550 นายไพรัตน์ มีหมื่นพล หลายชายตน ได้โทรศัพท์มาชวนให้ตนไปร่วมกันปล่อยเงินกู้ จนกระทั่งช่วงกลางคืน นายไพรัตน์ได้โทรศัพท์มาบอกว่า ให้ตนนำเงินไปให้ที่วัดม่วง ในซอยเพชรเกษม 63 แขวงหลักสอง เขตบางแค กทม. แต่เมื่อไปถึง กลับไม่พบหลายชาย แต่กลายเป็นว่า พบตำรวจราว 10 นายมีร.ต.อ.ณัฏฐ์เป็นหัวหน้า ทุกคนมีอาวุธปืนครบทุกคน จากนั้นร.ต.อ.ณัฏฐ์ถามตนว่า "มาทำไม มาเก็บเงินค่ายาบ้าใช่ไหม" ตนบอกว่า "ไม่รู้เรื่อง" ทางร.ต.อ.ณัฏฐ์บอกว่า "กูชักไม่พอใจมึงแล้ว" จากนั้นจึงเข้าจับล็อกตนไว้ และพาเข้าไปยังโรงแรมม่านรูดในซอยเพชรเกษม 81 จากนั้นใช้ผ้าปิดตา และใช้เชือกเส้นเดียวกันมัดมือเท้าไขว้หลังไว้ จากนั้นจับให้นอนคว่ำหน้า แล้วนำเก้าอี้มาวางคล่อมตัว พร้อมทั้งใช้น้ำราดมาที่ตัว เอาไฟมาช๊อตที่ขา ทำให้ตนดิ้นจนหอบ ซึ่งขณะนั้น ตนได้เบอกไปว่า กำลังท้องอ่อนๆอยู่ แต่แก๊งตชด.ไม่เชื่อ พร้อมทั้งบังคับให้ตนไปล่อซื้อยาบ้าที่หนองคาย แต่ตนไม่ยอม จึงถูกเตะตลอดเวลา และเอาถุงพลาสติกมาครอบหัว รีดอากาศออก ทำให้ตนสลบไปหลายครั้งตลอดทั้งคืน กระทั่งรุ่งเช้า ทั้งหมดได้พาตนไปที่จ.หนองคาย เพื่อไปล่อซื้อยาบ้าอยู่ 2 คืน ก่อนที่จะถูกพากลับไปที่โรงแรมทาว์นอินทาว์น และก็ได้พบกับนายไพรัตน์ หลานชาย เมื่อพบกัน ก็ถูกตำรวจบังคับให้เซ็นชื่อรับสารภาพว่า ตนมียาบ้า 800 เม็ด ส่วนหลานชายครอบครอง 200 เม็ด
"หลังถูกจับ ดิฉันให้การปฏิเสธมาโดยตลอด และถูกจำคุกในเรือนจำพิเศษธนบุรี จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2550 ได้คลอดบุตรในเรือนจำ ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ศาลจังหวัดตลิ่งชันมีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจาก สำนวนคดีมีพิรุธหลายอย่าง และช่วงที่ถูกคุมตัวที่โรงแรมกับหลายชาย ยังถูกร.ต.อ.ณัฏฐ์ข่มขู่เรียกเงิน 2 แสนบาท แต่ดิฉันไม่มีให้ ซึ่งตำรวจชุดที่จับกุมดิฉันจำได้แม่นยำว่า มีร.ต.อ.ณัฏฐ์ เป็นหัวหน้าชุด แต่ลูกน้องที่ไปด้วยในครั้งนั้น ไม่มีในชุดที่ถูกจับกุมครั้งนี้ โดยมีทั้งหมดประมาณ 7-8 คน"นางจุฑาพรให้การ
ขณะเดียวกันเมื่อเวลา 15.00 น. พ.ต.ต.เทพปทาน นิพิวรรณ์ พนักงานสอบสวน (สบ 2) และร.ต.ท.ประภาส หยงสตาร์ พนักงานสอบสวน (สบ1) สน.บางพลัด ได้คุมตัวนายภิญโญ ศิลาวิลาศภักดี ผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัว และตกเป็นเหยื่อแก๊งตชด.แก๊งนี้ พร้อมเชิญน.ส.จูนจิรา คล้ายสุบรรณ์ อายุ 27 ปี แฟนสาวนายภิญโญ เดินทางไปชี้จุดที่อาคารเรสซิเดนท์ ที่เกิดเหตุอุ้มนางเพียรจิต พึ่งอ้น 3 แม่ลูกที่ตำรวจบช.น.เข้าช่วยเหลือได้ โดยนายภิญโญ ให้การว่า มายังสถานที่ดังกล่าว 2 ครั้งแล้ว ครั้งแรกประมาณต้นเดือนธ.ค. ถูกแก๊งตชด. อุ้มไปซ้อมที่ค่ายตชด.41 จากนั้นพาเข้ากทม. โดยบอกว่า จะต้องช่วยงานล่อซื้อยาบ้า ไม่เช่นนั้น จะถูกยัดยาบ้า ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวไป ต่อมาในคืนวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ร.ต.อ.ณัฏฐ์ โทรศัพท์เรียกให้ตนไปหาที่อาคารเรสซิเดนท์ โดยตนนั่งรถแท็กซี่ไปกับน.ส.จูนจิรา เมื่อไปถึง ก็ถูกพาไปที่ห้อง 202 บนชั้น 2 และเมื่อมองเข้าไปในห้องนอน เห็น ผู้หญิงกับลูก ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นนางเพียรจิต 3 แม่ลูก ถูกขังอยู่ โดยมีผู้ชายคนหนึ่งควบคุมไว้ แต่ตนไม่ได้สนใจ และไม่ทราบว่า ผู้หญิงกับลูกถูกอุ้มมา โดยตนกับแฟนได้นอนหลับอยู่ที่โซฟาด้านนอก กระทั่งรุ่งเช้า ทางร.ต.อ.ณัฏฐ์ ได้พาน.ส.จูนจิรา กับนางเพียงจิต ไปโอนเงินที่ตู้เอทีเอ็ม บริเวณห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้าจำนวน 4 ล้านบาท และอีก 1 ล้านบาท ที่ห้างแม็กโคร จรัญสนิทวงศ์ 35
หลังตำรวจพานายภิญโญไปทำแผนที่อาคารเรสซิเดนท์แล้ว ได้พาไปชี้จุดตามสถานที่ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคดี จำนวนหลายที่ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ จะนำตัวนายภิญโญไปชี้จุดที่เกี่ยวข้องกับคดีในจ.สุพรรณบุรีด้วย