จารบุรุษ
ปีหนูทอง 2551 ปีนี้ ตั้งแต่เริ่มศักราชใหม่มา ยังไม่เคยเกิดคดีจี้และปล้นร้านทองในเขตความรับผิดชอบของตำรวจนครบาล ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ตำรวจจะไม่ต้องเหนื่อย และประชาชนไม่เสียขวัญ โดยเหตุการณ์ที่คนร้ายลงมือก่อเหตุครั้งล่าสุด เป็นวันที่ 12 ธ.ค. 2550 ที่ผ่านมา ที่ห้างสรรพสินค้าคาร์ฟู เขตท้องที่สน.หัวหมาก
สาเหตุที่ต้องหยิบยกเรื่องการจี้ปล้นร้านทองขึ้นมาในครั้งนี้ มิได้มีเหตุผลส่อไปในทางเลวร้าย แต่เพื่อต้องการเตือนสติผู้ที่มีหน้าที่ป้องกันและปราบปราม ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นตำรวจ รวมทั้งเจ้าของร้านทอง อันเนื่องจาก ราคาทองรูปพรรณในปัจจุบัน ถีบตัวสูงขึ้นถึงบาทละประมาณ 14,200 บาท ที่นับว่า เป็นราคาที่สูงพอสมควร กอปรกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน อาจทำให้ผู้ที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง ตัดสินใจผิดๆลงมือบุกจี้หรือชวนสมัครพรรคพวกปล้นร้านทองก็เป็นได้ ดังนั้น มาตรการการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
นอกเหนือจากร้านทองตามท้องที่ต่างๆแล้ว ยังมีธนาคาร และรถขนเงิน รวมถึงร้านสะดวกซื้อ ที่ต้องเฝ้าระวังอีกจำนวนไม่น้อย การที่ตำรวจจะดูแลอย่างทั่วถึง จึงเป็นไปได้ยาก สิ่งสำคัญที่สุด เจ้าของร้าน และลูกจ้าง พนักงาน จะต้องหมั่นคอยสังเกต หากเห็นสิ่งผิดปกติ ไม่ชอบมาพากล ให้รับแจ้งตำรวจทันที อย่ารีรอ อีกทั้งกล้องวงจรปิด ต้องตรวจสอบดูว่า ใช้การได้หรือไม่
ขณะเดียวกัน ตำรวจ คงต้องเพิ่มความถี่ในการตรวจตราสถานที่ร้านทอง และที่ตั้งธนาคารให้มากขึ้นสักนิด ซึ่งเรื่องนี้ เราเชื่อว่า ตำรวจทุกพื้นที่ไม่ว่าในเขตนครบาลหรือภูธรมีมาตรการที่ดีรองรับอยู่แล้ว ซึ่งในส่วนของบช.น. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. คงมีนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนในการป้องกันเหตุนี้โดยเฉพาะ รวมถึงพล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รองผบช.น. ที่ต้องรับผิดชอบดูแลป้องกันและปราบปรามเรื่องเหล่านี้ ซึ่งคงจะไม่ปล่อยให้ เกิดเหตุการณ์ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่
อย่างไรก็ดี เรายังคงมีความเชื่อมั่นในการดูแลและป้องกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเหล่าตำรวจเสมอ เพียงแต่ ไม่อยากให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หรือปล่อยปะละเลย ไม่เอาใจใส่ในการดูแลความปลอดภัยในเรื่องเหล่านี้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น จึงขอสะกิดเตือนสติมายังตำรวจที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆ โดยตรงว่า ปี 2551 ปีนี้ เป็นปีทองที่แสนแพง เป็นที่หมายปองของเหล่ามิจฉาชีพ ตำรวจจึงต้องเฝ้าระมัดระวังเหตุไม่ให้เกิดขึ้นมากที่สุด
ปีหนูทอง 2551 ปีนี้ ตั้งแต่เริ่มศักราชใหม่มา ยังไม่เคยเกิดคดีจี้และปล้นร้านทองในเขตความรับผิดชอบของตำรวจนครบาล ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ตำรวจจะไม่ต้องเหนื่อย และประชาชนไม่เสียขวัญ โดยเหตุการณ์ที่คนร้ายลงมือก่อเหตุครั้งล่าสุด เป็นวันที่ 12 ธ.ค. 2550 ที่ผ่านมา ที่ห้างสรรพสินค้าคาร์ฟู เขตท้องที่สน.หัวหมาก
สาเหตุที่ต้องหยิบยกเรื่องการจี้ปล้นร้านทองขึ้นมาในครั้งนี้ มิได้มีเหตุผลส่อไปในทางเลวร้าย แต่เพื่อต้องการเตือนสติผู้ที่มีหน้าที่ป้องกันและปราบปราม ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นตำรวจ รวมทั้งเจ้าของร้านทอง อันเนื่องจาก ราคาทองรูปพรรณในปัจจุบัน ถีบตัวสูงขึ้นถึงบาทละประมาณ 14,200 บาท ที่นับว่า เป็นราคาที่สูงพอสมควร กอปรกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน อาจทำให้ผู้ที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง ตัดสินใจผิดๆลงมือบุกจี้หรือชวนสมัครพรรคพวกปล้นร้านทองก็เป็นได้ ดังนั้น มาตรการการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
นอกเหนือจากร้านทองตามท้องที่ต่างๆแล้ว ยังมีธนาคาร และรถขนเงิน รวมถึงร้านสะดวกซื้อ ที่ต้องเฝ้าระวังอีกจำนวนไม่น้อย การที่ตำรวจจะดูแลอย่างทั่วถึง จึงเป็นไปได้ยาก สิ่งสำคัญที่สุด เจ้าของร้าน และลูกจ้าง พนักงาน จะต้องหมั่นคอยสังเกต หากเห็นสิ่งผิดปกติ ไม่ชอบมาพากล ให้รับแจ้งตำรวจทันที อย่ารีรอ อีกทั้งกล้องวงจรปิด ต้องตรวจสอบดูว่า ใช้การได้หรือไม่
ขณะเดียวกัน ตำรวจ คงต้องเพิ่มความถี่ในการตรวจตราสถานที่ร้านทอง และที่ตั้งธนาคารให้มากขึ้นสักนิด ซึ่งเรื่องนี้ เราเชื่อว่า ตำรวจทุกพื้นที่ไม่ว่าในเขตนครบาลหรือภูธรมีมาตรการที่ดีรองรับอยู่แล้ว ซึ่งในส่วนของบช.น. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. คงมีนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนในการป้องกันเหตุนี้โดยเฉพาะ รวมถึงพล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รองผบช.น. ที่ต้องรับผิดชอบดูแลป้องกันและปราบปรามเรื่องเหล่านี้ ซึ่งคงจะไม่ปล่อยให้ เกิดเหตุการณ์ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่
อย่างไรก็ดี เรายังคงมีความเชื่อมั่นในการดูแลและป้องกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเหล่าตำรวจเสมอ เพียงแต่ ไม่อยากให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หรือปล่อยปะละเลย ไม่เอาใจใส่ในการดูแลความปลอดภัยในเรื่องเหล่านี้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น จึงขอสะกิดเตือนสติมายังตำรวจที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆ โดยตรงว่า ปี 2551 ปีนี้ เป็นปีทองที่แสนแพง เป็นที่หมายปองของเหล่ามิจฉาชีพ ตำรวจจึงต้องเฝ้าระมัดระวังเหตุไม่ให้เกิดขึ้นมากที่สุด
