กิตตินันท์ นาคทอง Facebook.com/kittinanlive
เมื่อปีที่แล้ว (เดือนธันวาคม 2565) บริษัท รถไฟลาว-จีน จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟลาว-จีน สายนครหลวงเวียงจันทน์-บ่อเต็น ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน LCR Ticket สำหรับซื้อตั๋วโดยสารโดยเฉพาะ
ช่วงนั้นเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนและทำความคุ้นเคยกับแอปฯ รายละเอียดการใช้งานและฟังก์ชันต่างๆ ของแอปฯ ทั้งการซื้อตั๋ว การเปลี่ยนตั๋ว การยกเลิกตั๋ว กระทั่งเปิดให้จองตั๋วรถไฟตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา
คนที่เคยใช้บริการรถไฟลาว-จีนมาก่อนจะทราบดีว่าจองยาก เพราะเปิดขายเป็นรอบ ซื้อได้ล่วงหน้าแค่ 3 วัน อีกทั้งที่นั่งเต็มเร็วมาก ถึงขนาดมีคนต่อคิวแล้วนำตั๋วที่ได้มาขายต่อ โดยบวกเพิ่มอีกประมาณ 50,000-80,000 กีบต่อใบ
ภายหลังบริษัทรถไฟลาว-จีน ใช้วิธีระบุชื่อผู้โดยสารบนตั๋วรถไฟทุกใบ เวลาซื้อตั๋ว ผู้โดยสารต้องแสดงหนังสือเดินทางตัวจริงหรือสำเนาเพื่อซื้อตั๋วรถไฟ ปัญหาคนรับจ้างต่อคิวจึงลดน้อยลง แต่ปัญหาก็คือยังคงจองยากเหมือนเดิม
แม้จะมีแอปพลิเคชัน LCR Ticket ให้บริการ แต่ปัญหาก็คือการลงทะเบียนจำเป็นต้องใช้ซิมการ์ดมือถือเครือข่ายใน สปป.ลาว ทำให้ชาวต่างชาติใช้ซิมการ์ดโรมมิ่งจากประเทศของตนลงทะเบียนไม่ได้ คนไทยจะใช้ซิมการ์ดไทยก็ไม่ได้
ลาพักร้อนมาเที่ยวนครหลวงเวียงจันทน์ครั้งนี้ จึงตั้งใจว่าจะต้องหาซื้อซิมการ์ดลาวมาให้ได้
การเดินทางจากประเทศไทยมานครหลวงเวียงจันทน์ ส่วนใหญ่จะลงรถที่ด่านพรมแดนหนองคาย ลงตราประทับ ตม.ไทย ขึ้นรถโดยสารข้ามสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 ยื่นบัตรแจ้งเข้าเมืองและลงตราประทับ ตม.ลาว ก่อนนั่งรถเข้าเมือง
แต่คราวนี้เดินทางด้วยรถ บขส. สายอุดรธานี-นครหลวงเวียงจันทน์ จากสถานีขนส่งผู้โดยสารอุดรธานี แห่งที่ 1 พบว่าสะดวกกว่าที่คิด เพราะนั่งรถต่อเดียวถึงสถานีรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ หรือตลาดเช้า ไม่ต้องนั่งรถ 2-3 ต่อ
รถออกจากอุดรธานีเวลา 07.00 09.00 11.00 13.00 14.00 และ 18.00 น. ส่วนเวียงจันทน์ รถออกจากตลาดเช้าเวลา 08.00 10.00 12.00 14.00 15.00 และ 17.00 น. ค่าโดยสารคนละ 80 บาท (วันหยุดบวกค่าล่วงเวลา 5 บาท)
เราเลือกเดินทางเที่ยวเวลา 09.00 น. ซึ่งเป็นรถไปยังวังเวียง ระหว่างนั่งรถจะแจกบัตรแจ้งเข้าเมืองและบัตรแจ้งออกเมือง กรอกรายละเอียดให้เรียบร้อย ใช้เวลาเดินทางจากอุดรธานีถึงด่านพรมแดนหนองคาย 1 ชั่วโมง 10 นาที
ลงตราประทับ ตม.ไทย แล้ว กลับมานั่งรถคันเดิม ขึ้นสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 ถึงฝั่ง สปป.ลาว ยื่นบัตรแจ้งเข้าเมืองและลงตราประทับ ตม.ลาวแล้ว กลับมานั่งรถคันเดิม รถจะส่งถึงตลาดเช้า เบ็ดเสร็จใช้เวลา 2 ชั่วโมงเศษเท่านั้น
สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังก็คือ หนังสือเดินทางต้องแน่ใจว่ามีตราประทับทุกครั้ง ไม่ว่า ตม.ไทย หรือ ตม.ลาว เพราะเพื่อนๆ มักจะบอกว่า หากไม่มีตราประทับจะถูกตั้งข้อหาหลบหนีเข้าเมือง ปรับประมาณ 5,000 บาทไทย
ส่วนขากลับ สามารถซื้อตั๋วรถเมล์ได้ที่สถานีรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ (ตลาดเช้า) อาคารหัวมุมสี่แยกไฟแดง จะมีข้อความภาษาลาวว่า “บ่ลิกานขายปี้ล้ดเมลาว-ไท” และภาษาอังกฤษว่า “LAO-THAI BUS TICKET SERVICE”
ที่นี่จะมีช่องขายตั๋ว 3 ช่อง ได้แก่ เวียงจันทน์-กรุงเทพฯ เวียงจันทน์-หนองคาย และเวียงจันทน์-อุดรธานี รับเงินไทย เปิดตั้งแต่ 06.30-18.00 น. แต่จะมีช่วงพักเที่ยง 12.00-13.00 น. มีบริการรับฝากกระเป๋าชิ้นละ 10 บาท
เมื่อมาถึงด่าน ตม.ลาว นำบัตรแจ้งออกเมืองและหนังสือเดินทางลงตราประทับ จ่าย 20 บาท ขึ้นรถคันเดิม ขึ้นสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 ถึงฝั่งไทย ให้นำกระเป๋าลงไปทุกใบ ลงตราประทับ ตม.ไทยแล้วนำกระเป๋าเข้าเครื่องเอ็กซเรย์
รถจะจอดส่งผู้โดยสารที่สถานีขนส่งผู้โดยสารอุดรธานี แห่งที่ 1 สามารถต่อรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรือสามล้อเครื่อง ไปสนามบินอุดรธานี สถานีรถไฟอุดรธานี หรือจุดต่างๆ ของจังหวัดอุดรธานีได้สะดวก
ส่วนใครที่กลับกรุงเทพฯ ด้วยรถไฟในช่วงค่ำ เพื่อความสดชื่นก่อนหลับยาว ที่สถานีรถไฟอุดรธานีมีห้องอาบน้ำให้บริการ 2 ห้อง คนละ 10 บาท ใกล้กันจะมีศูนย์การค้ายูดีทาวน์ และเซ็นเตอร์พอยต์ มีของกินหลากหลายให้ฝากท้อง
ถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างกลับทางหนองคายหรืออุดรธานี ถ้าจองตั๋วรถทัวร์ต้นทาง บขส.หนองคาย ให้กลับทางหนองคายดีกว่า แต่ถ้าจองตั๋วรถไฟต้นทางสถานีหนองคายก็ลำบากหน่อย เพราะรถเมล์สายหนองคายไม่จอดให้
และบอกตามตรงว่า รถสามล้อเครื่อง หรือสกายแลปหนองคาย ค่าโดยสารแพงมาก ไม่ว่าจะไปจุดไหนค่าโดยสารอย่างต่ำ 40-50 บาท ยิ่งถ้าเป็นวินสะพานมิตรภาพ ต้องรอให้คนแน่นคันรถถึงจะออกมา แต่ก็ดีที่ทยอยส่งถึงที่
เพราะฉะนั้นโอกาสหน้าคิดว่า ขากลับกรุงเทพฯ จะจองตั๋วรถไฟขบวนอีสานมรรคา เลือกต้นทางสถานีอุดรธานีดูบ้าง ซึ่งรถไฟจะมาถึงสถานี 20.20 น. เพื่อลองเปรียบเทียบว่ากลับทางไหนสะดวกกว่ากัน
มาถึงตลาดเช้า สิ่งแรกที่ทำก็คือตามหาซิมการ์ดลาว ย้อนกลับไปเมื่อปี 2557 ตอนนั้นไปเที่ยวที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว เคยซื้อซิมการ์ดเครือข่าย ETL เพราะชาวลาวส่วนใหญ่แนะนำ
ปัจจุบัน สปป.ลาว มีเครือข่ายมือถือหลัก ได้แก่ ลาว เทเลคอม (LAO TELECOM) ยูนิเทล (Unitel) บริษัทสัญชาติเวียดนาม ทีพลัส (T PLUS) ที่เดิมคือเครือข่ายบีลาย (Beeline) และ ETL
ซิมการ์ดลาวหาซื้อไม่ยาก เท่าที่เห็นมีซิมการ์ดขายนักท่องเที่ยวที่ด่าน ตม.ลาวตรงสะพานมิตรภาพ เลยเข้าไปอีกหน่อยก็มีร้านเล็กๆ ตรงข้ามสถานีรถเมล์ตลาดเช้า รวมทั้งร้านตู้กระจกในศูนย์การค้าตลาดเช้าชอปปิ้งมอลล์ ส่วนบัตรเติมเงินก็มีขายตามร้านขายของชำทั่วไป
เราเลือกซิมการ์ดอยู่ร้านหนึ่ง เครือข่าย Unitel ขายในราคา 70,000 กีบ ใช้อินเทอร์เน็ตได้ 15GB นาน 10 วัน แต่คำตอบที่ได้รับเกี่ยวกับอายุของซิมการ์ดก็สับสน ถามว่าจะเติมเงินรักษาเบอร์ได้หรือไม่ กลับไม่ค่อยเข้าใจคำตอบนัก
พ่อค้ากล่าวว่า เบอร์ที่ได้รับหากใช้อินเทอร์เน็ตหมด สามารถเติมเงินเพื่อซื้อแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตได้ แต่ถ้าเบอร์หมดอายุก็ใช้งานต่อไม่ได้ เพราะเป็นซิมการ์ดนักท่องเที่ยว ซึ่งน่าสังเกตว่าไม่มีการลงทะเบียนซิมการ์ดแต่อย่างใด
เมื่อทดลองใช้งานก็พบว่า เบอร์ที่เราได้รับจะมีวันที่เรียกว่า Block One Way Date คือ 30 วัน นับจากวันที่เปิดใช้งานซิมการ์ด แต่พอเติมเงินครั้งละ 10,000 กีบ วันใช้งานกลับไม่กระเตื้องแต่อย่างใด
ถึงกระนั้น เราได้ทดลองลงทะเบียนผ่าน LaoID ไปก่อนหน้านี้ โดยถ่ายภาพหนังสือเดินทางและสแกนใบหน้าตามขั้นตอน แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่ หากสุดท้ายแล้วเบอร์ที่ซื้อมาหมดอายุ ก็น่าเสียดายเหมือนกัน
หลังจากที่เราได้ซิมการ์ด Unitel เรียบร้อยแล้ว เริ่มต้นด้วยการลงทะเบียน แอปพลิเคชัน LCR Ticket ที่ดาวน์โหลดไว้นานแล้วแต่ยังไม่ได้ลงทะเบียน เริ่มจากตั้งชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน กรอกข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลหนังสือเดินทาง
ด้านล่างจะให้กรอกเบอร์มือถือ สปป.ลาว ก่อนที่จะกรอกรหัสยืนยันในรูปแบบ SMS OTP หลังจากนั้นจึงสามารถใช้งานแอปพลิเคชันได้เลย โดยเลือกได้ระหว่าง Password Login กับ Mobile Login (ใช้ SMS OTP)
สำหรับการจองตั๋วรถไฟ ระบบให้เปิดจองเฉพาะเวลาทำการ ตั้งแต่ 06.30 น. เป็นต้นไป ไม่สามารถจองได้ในเวลากลางคืน โดยจะอัปเดตจำนวนที่นั่งคงเหลือหลัง 16.00 น. ในเฟซบุ๊กเพจ Laos – China Railway Company Limited
การชำระเงินจำเป็นต้องใช้เบอร์มือถือที่ลงทะเบียน ซึ่งก็คือซิมการ์ดลาว โดยเข้าสู่บริการ Click to Pay แล้วกรอกเลขบัตรลงไป รองรับบัตร Unionpay บัตร VISA รวมทั้ง Alipay และ WeChat Pay
แอปฯ LCR Ticket สามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้สูงสุด 3 วัน สำหรับปลายทางใน สปป.ลาว และสูงสุด 15 วัน สำหรับเส้นทางนครหลวงเวียงจันทน์-คุนหมิงใต้ (Kunmingnan) แต่ต้องมีวีซ่าจีนจึงจะเข้าประเทศได้
สำหรับบัญชีที่ยืนยันแล้วจะขึ้นสัญลักษณ์ Phone Number Activated สามารถทำรายการได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเบอร์มือถือใหม่ของ สปป.ลาว ให้เข้าไปที่เมนู Me หัวข้อ Common Functions เลือก Mobile แล้วกรอกเบอร์มือถือใหม่ลงไปได้
หากสามารถจองตั๋วรถไฟผ่านแอปฯ ได้จากเมืองไทย ข้อดีก็คือ มีรถเมล์ออกจากสะพานมิตรภาพ ไปยังสถานีรถไฟนครหลวงเวียงจันทน์ ทุกวัน เวลา 13.00 น. และ 15.00 น. ใช้เวลาเพียง 30 นาที ไม่ต้องเข้าตลาดเช้าอีก
อีกแอปพลิเคชันหนึ่งที่ทดลองใช้ก็คือ BCEL One ของ ธนาคารการค้าต่างประเทศลาว (BCEL) ซึ่งชาวต่างชาติสามารถสมัคร One Cash Wallet กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องพกเงินสด
เริ่มต้นสมัครด้วยการกรอกข้อมูลส่วนตัว ถ่ายภาพหนังสือเดินทาง และสแกนใบหน้า โดยบัญชีจะอิงจากเบอร์มือถือใน สปป.ลาว จากนั้นเมื่อสมัครสำเร็จ สามารถเติมเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตลงใน Wallet เพื่อใช้จ่ายได้เลย
โดยการเติมเงินลงในวอลเล็ตรับเฉพาะบัตร VISA, Mastercard, JCB และ American Express ที่รองรับระบบ 3D Secure เติมเงินได้สูงสุด 8 ล้านกีบต่อครั้ง และสะสมยอดเงินได้สูงสุด 15 ล้านกีบต่อบัญชี คิดค่าธรรมเนียม 2.5%
การเติมเงินจะกำหนดให้เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ซึ่งจะแปลงเป็นเงินสกุลกีบ (LAK) โดยอัตโนมัติ กรอกข้อมูลบัตรเครดิต หรือบัตรเครดิตลงไป จากนั้นเข้าสู่หน้ายืนยันตัวตน (Verify) ของธนาคารผู้ออกบัตร
ยอดเงินกีบที่ได้รับจาก One Cash Wallet สามารถนำไปสแกนจ่ายตาม ร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ OnePay ตามร้านค้าใน สปป.ลาว มีทั้งป้ายคิวอาร์โค้ด และเครื่อง EDC และสามารถถอนเป็นเงินกีบได้ที่ตู้ ATM ของ BCEL ได้อีกด้วย
จากการทดลองใช้กดเงินสด พบว่าเมื่อเข้าไปที่เมนู ATM Cash Withdraw (ถอนเงินสดผ่าน ATM) สามารถเลือกได้ขั้นต่ำตั้งแต่ 50,000 กีบ สูงสุด 2,500,000 กีบ จากนั้นให้สแกนคิวอาร์โค้ดกับเอทีเอ็ม และกดรหัส PIN ที่ตั้งไว้ในแอปฯ
แม้จะเสียค่าธรรมเนียมเติมเงิน 2.5% เช่น ผู้เขียนเติมไป 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ค่าธรรมเนียม 0.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 8-9 บาท แต่ข้อดีก็คือประหยัด เมื่อเทียบกับค่าธรรมเนียมกดเงินสดจากบัตรต่างประเทศ ซึ่งสูงพอสมควร
อีกทั้งไม่ต้องแลกเงินกีบเป็นจำนวนมาก เมื่อใช้ไม่หมดนำมาแลกคืนเป็นเงินไทยจะได้เงินในมูลค่าที่ต่ำกว่า แต่การถอนเงินผ่าน ATM ของ BCEL สามารถกดเงินสดได้บ่อยครั้ง ควบคู่ไปกับสแกนจ่ายใน สปป.ลาวตามต้องการ
ขณะเดียวกัน เมื่อเราสแกนจ่ายผ่านร้านค้าได้ ยังเป็นการส่งเสริมสังคมไร้เงินสด ไม่ต้องพกเงินสดครั้งละจำนวนมาก และลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคที่ติดมากับธนบัตร ซึ่งพบว่าหลายร้านค้าในเวียงจันทน์ รับชำระเงินผ่านระบบ OnePay
ที่ผ่านมาได้ทดลองสแกนจ่ายหลายร้านค้า อาทิ Mini Big C, D Mart Supercenter, Parkson Supermarket, ร้านฟาสฟู้ด Lotteria ตู้จำหน่ายสินค้า Vendee X ส่วนใหญ่ใช้ได้ แม้จะมีปัญหาที่บางครั้งแอปฯ ไม่อ่านคิวอาร์โค้ดก็ตาม
เมื่อใช้เงินไม่หมด สามารถทำรายการ Refund เพื่อคืนเงินไปยังบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิตที่เติมเข้ามาได้ โดยจะคืนเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ใช้เวลาประมาณ 7-14 วันทำการ โดยอ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนรายวันของธนาคาร
แต่เท่าที่ทดสอบด้วยตัวเอง ทำรายการคืนเงินวันที่ 18 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันเสาร์ เงินเข้าบัญชีวันที่ 22 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันพุธ ถือว่าไม่ช้าเกินไปนัก เพราะต้องรอวันและเวลาทำการของ สปป.ลาว
จากที่ใช้งานซิมการ์ดลาวกับแอปพลิเคชัน LCR Ticket สำหรับจองตั๋วรถไฟ และ BCEL One สำหรับใช้จ่ายใน สปป.ลาว ในฐานะนักท่องเที่ยวถือว่าสะดวกอย่างมาก แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งคือ ไม่รองรับเลขหมายต่างประเทศ
ขณะที่ข้อกำหนดซิมการ์ด นอกเหนือจากต้องลงทะเบียนซิมการ์ดก่อนแล้ว ก็ไม่มีข้อมูลว่าซิมการ์ดที่ซื้อมามีอายุใช้งานเท่าไหร่ มีวันหมดอายุของซิมการ์ดหรือไม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่มาเที่ยว สปป.ลาว อย่างน้อยก็ปีละครั้ง
ในปี 2024 หรือ พ.ศ. 2567 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวลาว ได้แต่คาดหวังว่า สปป.ลาวจะพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยี ที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางและจับจ่ายแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น.