กิตตินันท์ นาคทอง Facebook.com/kittinanlive
หากจะกล่าวถึงแกรนด์แคนยอน หลายคนคงนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่มีชื่อเสียงในมลรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา แต่สำหรับประเทศไทย ชื่อนี้ถูกนำไปตั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งทั่วประเทศ
เช่น สามพันโบก แก่งหินขนาดใหญ่ริมแม่น้ำโขงในจังหวัดอุบลราชธานี ที่เกิดจากการถูกกัดเซาะกลายเป็นแอ่งและหลุมมากมาย หรือจะเป็น แพะเมืองผี จังหวัดแพร่ ที่เกิดจากดินและหินทรายถูกกัดเซาะกลายเป็นรูปร่างต่างๆ
ที่เป็นข่าวดังก็คือ แกรนด์แคนยอนหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เกิดจากการตักหน้าดินไปขาย กลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ และคันดินที่สูงชัน แม้จะเคยมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง แต่ก็ได้ปรับปรุงความปลอดภัย ก่อนเปิดแหล่งท่องเที่ยวจริงจัง
ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานที่ถูกเรียกขานว่าเป็น “แกรนด์แคนยอนเมืองไทย” ไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง แต่วันนี้จะขอพูดถึงสถานที่ ซึ่งถูกเรียกขานว่าเป็น “แกรนด์แคนยอน” อยู่สองแห่ง ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ขับรถชั่วโมงเศษก็ถึง
แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า บางแห่งไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่โลกโซเชียลฯ ก็นำพามาให้รู้จักเสียอย่างนั้น
เริ่มจากที่แรก “แกรนด์แคนยอนชลบุรี” หรือ “แกรนด์แคนยอนคีรี” ตั้งอยู่ริมทางรถไฟสายตะวันออก หมู่ 7 ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ปรากฏเป็นข่าวครั้งแรกเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2558
จุดเริ่มต้นมาจากนักศึกษารายหนึ่ง ไปถ่ายรูปสถานที่สุดอันซีนแห่งนี้ ต้องบุกป่าฝ่าดงไปถึงลานปูนริมทางรถไฟ จึงได้เห็นบ่อดินเก่า ที่เบื้องล่างเห็นความงามของบ่อน้ำสีเขียวมรกต ไกลสุดลูกหูลูกตา
เมื่อภาพสถานที่สุดอันซีนถูกแชร์กระจายในโซเชียลฯ กลายเป็นไวรัลให้นักศึกษา รวมทั้งบุคคลทั่วไปที่อยากจะสัมผัสความงามสักครั้งแห่เข้าไปชมอย่างเนืองแน่น แต่ขณะนั้นมีเพียงราวเหล็กสีน้ำตาลแดงกั้นอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
เมื่ออยู่ติดกับทางรถไฟสายตะวันออก ช่วงหนึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย ต้องติดป้ายเตือนว่า “ระวังพื้นที่อันตราย การรถไฟขอสงวนสิทธิ์ในการใช้พื้นที่ ไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น”
แต่ก็ไม่อาจห้ามนักท่องเที่ยวที่หลงเสน่ห์ เข้าไปสัมผัสความงามของบ่อดินเก่าแห่งนี้ได้ ภายหลังการรถไฟฯ จึงใช้วิธีล้อมรั้วทางรถไฟให้เป็นสัดเป็นส่วน เพื่อไม่ให้กระทบกับการเดินรถไฟ ที่มีขบวนรถสินค้าใช้เส้นทางนี้อยู่บ่อยครั้ง
ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้ติดตั้งการ์ดเรลเพิ่มอีกชั้นหนึ่งเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยมีชาวบ้านเข้ามาตั้งร้านค้า ร้านกาแฟ และมีลานจอดรถยนต์ โดยเสียค่าจอดรถยนต์คันละ 20 บาท
การเดินทางจากกรุงเทพฯ มายังแกรนด์แคนยอนคีรี ถ้ามาจากถนนเทพรัตน (บางนา-ตราด) และทางด่วนบูรพาวิถี ให้ใช้ถนนเลี่ยงเมืองชลบุรี ผ่านถนนศุขประยูร ถนนบ้านบึง-แกลง เมื่อถึงป้ายที่เขียนว่าบางแสนให้ออกซ้ายมือ
เมื่อลอดใต้สะพานแล้ว ให้ตรงไปจะเจอไฟแดงแรก ที่มีเซเว่นอีเลฟเว่น ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปในซอยทุ่งสระ 3 ผ่านหมู่บ้านศุภาลัยวิลล์ ถึงสามแยกร้านขายของชำเลี้ยวซ้าย แล้วตรงไปจะเจอซอยคีรีนคร 8 ตรงไปสักพักจะเจอทางรถไฟ
เมื่อข้ามทางรถไฟแล้ว ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนลูกรังเลียบทางรถไฟ อีก 200 เมตร ก็ถึงลานจอดรถแกรนด์แคนยอนชลบุรี เมื่อจอดรถแล้วให้เดินเท้าผ่านร้านค้าไปอีก 250 เมตร ก็จะถึงมุมมหาชนที่เป็นจุดชมวิวแล้ว
ถ้ามาจากถนนสุขุมวิท เข้าได้ 2 ทาง คือ ซอยห้วยกะปิ 4 (วัดจรูญราษฎร์) ตรงไปตามแนวถนนคอนกรีต ก่อนจะบรรจบกับซอยคีรีนคร 8 ข้ามทางรถไฟแล้วเลี้ยวซ้ายเช่นกัน
อีกทางหนึ่ง คือ ไฟแดงแยกคีรี เลี้ยวซ้ายเข้าถนนคีรีนคร (รถที่มาจากสะพานชลมารควิถี ลงจากสะพานถึงสี่แยกไฟแดงให้ตรงไปเรื่อยๆ เพื่อเข้าถนนคีรีนครได้เช่นกัน) ข้ามทางรถไฟ เข้าซอยคีรีนคร 8 ก่อนถึงทางรถไฟให้เลี้ยวขวาอีกที
ส่วนคนที่มาจากทางมอเตอร์เวย์พัทยา ระยอง ให้ออกด่านหนองขาม ไปตามถนนเลียบมอเตอร์เวย์ (3702) ตรงไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตร เมื่อเลยถนนข้าวหลามแล้ว ให้เข้าถนนคีรีนคร ตรงไป แล้วเข้าซอยคีรีนคร 8 เช่นกัน
ประวัติโดยสังเขปของแกรนด์แคนยอนชลบุรีก็คือ “ในอดีตเริ่มมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ประกอบอาชีพทำหิน ตีหินขายให้กับผู้รับเหมาทำถนนหนทางโดยการทำมือ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องมือ เครื่องทุ่นแรง จนมีการพัฒนามาเรื่อยๆ สู่คนรุ่นหลังได้นำเครื่องมือเครื่องจักรเข้ามาใช้ จนกลายเป็นทำเหมืองหิน และได้ขอซื้อที่ดินที่มีโฉนดจากชาวบ้านที่ทำไร่มัน ไร่สับปะรด เลยกลายเป็นบ่อหินที่มีขนาดที่กว้างและลึกมาก สาเหตุที่น้ำในบ่อมีสีเขียวสวยงาม เนื่องจากพื้นข้างล่างบ่อเป็นบ่อหิน สีน้ำจะเปลี่ยนไปตามภูมิอากาศ บางครั้งน้ำมีสีเขียวใสคล้ายสีเขียวมรกต บางครั้งก็เป็นสีทึม ๆ ประกอบกับพื้นข้างล่างมีตาน้ำ และช่วงหน้าฝนที่ฝนตก จึงทำให้น้ำในบ่อมีตลอดเวลา รวมระยะเวลาจากอดีตสู่ปัจจุบันนี้ร่วม 100 กว่าปีแล้ว และได้เลิกทำเหมืองหินแล้ว จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่มีคนถ่ายรูปชมความงามของเหมืองร้างแห่งนี้”
แต่จากคำบอกเล่าของชาวบ้านในช่วงที่เป็นข่าวก็คือ เมื่อก่อนเป็นบ่อดินลูกรังเก่า มีการขุดดินไปขาย โดยมีกรมทรัพยากรธรณีออกใบอนุญาต แต่เมื่อทางรถไฟตัดผ่าน เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จึงได้ยกเลิกสัมปทานเหมืองดังกล่าว
กระทั่งการรถไฟฯ ได้ทำแผงปูนกันหน้าดินถล่มตรงฝั่งที่มีรถไฟวิ่งผ่าน ต่อมาได้คนหลงเข้ามา แล้วถ่ายรูปไปลงทางอินเทอร์เน็ต จึงมีผู้คนเริ่มทยอยมาเที่ยวกันเป็นจำนวนมากทุกวัน กลายเป็นเป็นแกรนด์แคนยอนเมืองไทยในที่สุด
แกรนด์แคนยอนชลบุรีแห่งนี้ มีจุดถ่ายรูปหลักๆ อยู่ 3 จุด มุมมหาชนจะอยู่ที่บริเวณลานปูน ซึ่งจะเห็นมุมกว้างของบ่อดินเก่าได้กว้างขวางที่สุด จุดต่อมาคือร้านกาแฟเล็กๆ ที่มีร่มไม้ให้ร่มเงา และอีกจุดหนึ่งคือตรงพุ่มไม้
แม้จะมีความสวยงาม แต่ก็แฝงไปด้วยอันตราย เพราะเป็นเหวลึกลงด้านล่างกว่า 30 เมตร เพราะฉะนั้นจุดที่เป็นพุ่มไม้ไม่ควรยืนหรือนั่งหมิ่นไปกับพื้นด้านล่าง รวมทั้งจุดที่เป็นมุมมหาชน ไม่ควรเดินข้ามการ์ดเรลออกไป
เท่าที่ไปเยือนสามครั้งที่ผ่านมา ได้เห็นนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาที่นี่ในช่วงวันหยุดพอสมควร ส่วนใหญ่จะแวะมาถ่ายรูปความงามของบ่อดินเก่า และน้ำในบ่อสีเขียวมรกต ใช้เวลาเที่ยวชมไม่นานนัก
ที่นี่มีร้านกาแฟอยู่สองร้าน ร้านหนึ่งอยู่ริมจุดชมวิว ส่วนอีกร้านหนึ่งคือ Grand Canyon Coffee อยู่ที่ลานจอดรถ เปิด 7 โมงเช้า ปิด 18.30 น. คนที่เสียค่าจอดรถไปแล้ว สามารถนำบัตรรถไปเป็นส่วนลดค่ากาแฟได้ 10 บาท
ส่วนคนที่นั่งรถไฟสายตะวันออก กรุงเทพ-บ้านพลูตาหลวง ทั้งขบวนรถธรรมดาที่ 283 และขบวนรถเร็วที่ 997 เมื่อเลยสถานีชลบุรีไปแล้ว ลอดใต้สะพานถนนเลี่ยงเมืองชลบุรี สักพักจะเห็นแกรนด์แคนยอนคีรีอยู่ฝั่งหน้าต่างซ้ายมือ
แม้จะลงจากรถไฟเพื่อไปเยี่ยมแกรนด์แคนยอนชลบุรีโดยตรงไม่ได้ เพราะอยู่ไกลจากสถานีรถไฟชลบุรีพอสมควร แต่ก็ถือเป็นมุมสวยห้ามพลาดระหว่างเดินทาง ยังได้เห็นความลึกลับที่แฝงไปด้วยความสวยงามของบ่อดินเก่าแห่งนี้
อีกแห่งหนึ่งที่จะพูดถึงในวันนี้ คือ “แกรนด์แคนยอนราชบุรี” ที่ผ่านมาบรรดาบล็อกเกอร์และยูทูปเบอร์มาเยือนที่นี่แล้วทำคอนเทนต์ลงโซเชียลฯ จำนวนมาก เกิดความรู้สึกว่าต้องอยากไปให้ได้สักครั้ง
เมื่อเดือนมกราคม 2564 มียูทูปเบอร์รายหนึ่งขี่รถจักรยานยนต์มาเยือนเหมืองหินในตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ระบุว่า “ตามหาแกรนแคนยอน ราชบุรี ตะลุยสถานที่ลับๆ พร้อมมุมถ่ายรูปสวยๆ มากมาย”
กระทั่งต่อมา บรรดายูทูปเบอร์น้อยใหญ่หลายราย ต่างเข้าไปถ่ายทำความงดงามของสถานที่แห่งนี้ บางรายเป็นยูทูปเบอร์สายท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง มีแฟนคลับจำนวนมาก ถึงปัจจุบันรวมกันแล้วกว่าร้อยคลิป
นอกจากนี้ ยังมีบรรดาบล็อกเกอร์อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยว ต่างรีวิวแกรนด์แคนยอนราชบุรีอย่างเป็นล่ำเป็นสัน พร้อมกับโปรโมตว่าเป็นจุดเช็กอินใหม่ ถ่ายรูปยังไงก็ปัง ยิ่งยั่วอารมณ์ให้เข้ามาสัมผัสอีก
แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อมาถึงที่นี่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เมื่อขับรถเข้าไปในซอยแยกจากทางหลวงชนบท รบ.4026 กิโลเมตรที่ 9 แล้ว มีป้ายสีแดงระบุว่า “แผนผังแสดงแนวเขตที่ดินส่วนบุคคล ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต” แบ่งเป็นพื้นที่ทำเหมืองหิน และพื้นที่กองเก็บเศษหินคลุกดิน
มองทีแรกก็รู้สึกใจแป้ว เพราะมีเพื่อนมาด้วย ในใจเริ่มรู้สึกผิด คิดว่าพาเพื่อนมาเสียเที่ยวหรือเปล่า พอมองไปทางขวา มีป้ายประกาศติดอยู่บริเวณต้นสน ระบุว่า
“ประกาศ “แกรนด์แคนยอนราชบุรี” ตามที่มีบุคคลกล่าวอ้างชื่อนี้ในสื่อโซเชียลทุกช่องทาง เหมืองหินแห่งนี้ไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว บริษัทได้ดำเนินการขออนุญาตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าจากกรมป่าไม้แล้ว และอยู่ระหว่างขั้นตอนการขอต่อใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองหิน พื้นที่เก็บกองเศษหินคลุกดิน บริเวณโดยรอบเหมืองทั้งหมด เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของบริษัท ผู้ที่เข้ามาท่องเที่ยว ควรให้ความเคารพในสิทธิ์ของเจ้าของสถานที่ ไม่นำเศษขยะมาทิ้ง สร้างความสกปรกให้กับพื้นที่ทำเหมือง และบริเวณกองเก็บเศษหิน จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน”
ตีความได้ว่า พื้นที่ตรงนี้เป็นที่ดินส่วนบุคคล ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว คนที่มาท่องเที่ยวเหมืองหินแห่งนี้ควรเคารพสถานที่ ไม่ทิ้งขยะสร้างความสกปรก เป็นอันเข้าใจโดยทั่วกัน
จุดที่ยังพออนุมานได้ว่า เจ้าของสถานที่อนุโลมให้เข้ามาเที่ยวและถ่ายรูปได้ในขณะนี้ก็คือ บริเวณพื้นที่ทำเหมืองหิน ซึ่งแต่เดิมเคยทำเหมืองหินแต่ได้หยุดลง ลักษณะเป็นภูเขาหินที่ระเบิดไปแล้วครึ่งหนึ่ง ถูกกัดกร่อนและกัดเซาะ
เบื้องล่างเป็นบ่อน้ำที่เกิดจากฝนที่ตกลงมา กลายเป็นความสวยงามตามธรรมชาติ นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปที่นี่ โดยเฉพาะช่วงเย็นตั้งแต่เวลา 16.00-17.30 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ใกล้ตะวันจะตกดิน จะได้แสงจากทางทิศตะวันตกเข้าช่วย
วันที่ผู้เขียนไปเยือน ช่วงเวลาประมาณบ่ายโมง บอกตามตรงว่าแดดร้อนมาก จึงใช้เวลาถ่ายรูปที่นี่ไม่นานนัก แต่ก็มีแสงอาทิตย์กระทบกับภูเขาหินอย่างเด่นชัด ตัดกับท้องฟ้าสวยงามไม่แพ้กัน
ที่นี่มีข้อห้ามอย่างหนึ่ง คือ ฝั่งตรงข้ามพื้นที่ทำเหมืองหิน มีป้ายประกาศว่า “พื้นที่กองเก็บเศษหินคลุกดิน ไว้เพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้า ห้ามเข้า ห้ามบุกรุก ก่อนได้รับอนุญาต” แนะนำว่าอย่าเข้าไปดีกว่า
อีกอย่างหนึ่ง คือป้ายติดประกาศว่า “ห้ามกองถ่ายทำสื่อเพื่อการโฆษณาทุกชนิด เข้ามาใช้พื้นที่ของบริษัทก่อนได้รับอนุญาต” พร้อมเบอร์โทร.เพื่อสอบถามข้อมูล ใครที่คิดจะยกกองถ่ายเล่นใหญ่ ขออนุญาตให้ถูกต้องจะดีกว่า
แต่สำหรับเรา มาเยือนแค่มือถือคู่ใจสักเครื่อง สองเครื่อง ก็ได้ถ่ายภาพความทรงจำกลับไปเพียงพอแล้ว
ถ้าอ่านตรงนี้แล้วไม่สะดวกใจที่จะไป ก็ยังมี “อุทยานหินเขางู” ที่สวยงามไม่แพ้กัน ตั้งอยู่ที่บริเวณตำบลเกาะพลับพลา ห่างจากตัวจังหวัดราชบุรี ไปทางถนนราชบุรี-จอมบึง-สวนผึ้ง ประมาณ 8 กิโลเมตร
เดิมพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่สัมปทานเอกชน ระเบิดภูเขา เพื่อนำหินไปใช้ในงานก่อสร้าง ต่อมาได้เลิกระเบิดหิน เหลือแต่ซาก ทางจังหวัดจึงร่วมกับเทศบาลตำบลเขางู นำพื้นที่ตรงนี้มาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ
สมัยเรียนรามคำแหง เพื่อนพาซ้อนมอเตอร์ไซค์จากกรุงเทพฯ ระหว่างทางจะเจอ “เจดีย์หัก” โบราณสถานประชิดติดถนนที่โดดเด่นเห็นมาแต่ไกล สักพักจะเจอสามแยกไฟแดง มีภูเขาหินสูงอยู่ตรงหน้า เลี้ยวขวาเข้าไปเลย
เดิมทางเข้าเขางูมีเพียงทางเดียว คือ บริเวณศาลเจ้าพ่อเขางู พระพุทธรูปปางลีลา และพระพุทธฉายถ้ำฤาษีเขางู แต่ภายหลังได้ทำทางเข้าใหม่ใกล้กว่าเดิม มีลานจอดรถกว้างขวาง และมีรูปปั้นองค์พญางูเห่ายักษ์โดดเด่นเป็นสง่า
เมื่อเข้าไปด้านในจะพบกับสะพานแขวนสีน้ำตาลและสีครีม ข้ามบึงน้ำที่รายล้อมไปด้วยภูเขาหินปูน มีการก่อสร้างทางเดินเท้าเลียบไปตามภูเขา และศาลาที่พักสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวเล่นในช่วงเย็น
นอกจากนี้ ยังมีจุดท่องเที่ยวและทำบุญไหว้พระที่ไกลออกไป เช่น องค์พระปรางค์ลีลา รอยพระพุทธบาท ถ้ำฤาษีเขางู ถ้ำฝาโถ ถ้ำจีน-ถ้ำจาม ซึ่งจะไปตามถนนลัดเลาะไปตามภูเขา ออกด้านศาลเจ้าพ่อเขางู
ที่น่าแปลกก็คือ แม้จะชื่อเขางู แต่กลับเห็นลิงเยอะมาก มักอาศัยเป็นกลุ่มตามถนน ระหว่างสะพานแขวนกับศาลเจ้าพ่อเขางู ใครที่ขับรถแนะนำให้ขับช้าๆ ระวังจะชนลิง ส่วนใครที่ให้อาหารลิงก็ดูให้ดี เพราะมีป้ายประกาศห้ามอยู่
แม้จะไม่ได้มาเยือนเขางูมาเป็นปีแล้ว เลยไม่ได้อัปเดตว่าเป็นยังไง แต่เท่าที่เห็นเพจรีวิวต่างๆ ก็ยังคงเห็นอุทยานหินเขางู ที่ปรับปรุงเมื่อนานมาแล้ว ยังคงบำรุงรักษาสถานที่เป็นอย่างดี รอคอยให้ผู้คนมาเยือนได้ทุกเมื่อ
ใครที่อยากได้ภาพถ่าย ในบรรยากาศภูเขาหินปูนและบ่อน้ำ ที่แฝงไปด้วยเสน่ห์ลึกลับน่าค้นหา หวังว่าคงเป็นไอเดียสำหรับคนที่ไม่รู้จะไปไหนในช่วงวันหยุด มาเที่ยวมาเยือน มาเก็บความทรงจำกันได้