มีเหตุการณ์จี้รถแท็กซี่ ที่เป็นข่าวอาชญากรรมกรอบเล็ก ๆ เกิดขึ้น แต่ที่น่าพิลึกก็คือ เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวอย่างเพื่อนของพ่อผู้เขียนเอง จึงอยากจะเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์ทั้งคนขับรถแท็กซี่ให้ระมัดระวังตัว
ตามรายงานข่าวก็คือ บ่ายวันที่ 6 มิถุนายน 2560 นายไพรัช พวงทอง อายุ 50 ปี ขับรถแท็กซี่โตโยต้า สีเหลือง ทะเบียน ทษ 851 กทม. รับผู้โดยสาร ให้ไปส่งที่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
ระหว่างทาง ผู้โดยสารยังชวนคุยกับคนขับว่ารายได้ดีไหม และบอกว่า เคยขับแท็กซี่มาก่อน
กระทั่งเข้าซอยสุขสวัสดิ์ 70 แยก 21 หรือซอยโรงเรียนสันติดรุณ บอกให้เลี้ยวเข้าซอยเพื่อจอดรอรับแฟน แท็กซี่นึกเอะใจเพราะเป็นป่ารก ปลอดผู้คน
จากนั้น ชายคนดังกล่าวเลื่อนมายังด้านหลังคนขับ แล้วกลายสภาพเป็นคนร้าย ใช้มีดปลายแหลมมาจี้ที่คอโชเฟอร์แท็กซี่ บอกให้ส่งเงินมาให้หมด
นายไพรัช กล่าวว่า “วันนี้วิ่งรถได้แค่ 700 บาท เอาไปเลย และอย่าไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก”
เมื่อคนร้ายได้เงินแล้ว โชเฟอร์ผู้เคราะห์ร้าย จึงขับรถออกจากจุดเกิดเหตุไปออกถนนสุขสวัสดิ์ เมื่อมาถึงตลาดครุใน ซึ่งมีคนพลุกพล่าน โชเฟอร์แท็กซี่รายนี้จึงตัดสินใจลงจากรถ ตะโกนขอความช่วยเหลือ
คนร้ายวิ่งหลบหนีเข้าไปในตลาดครุใน วินมอเตอร์ไซค์ 2 คนจึงวิ่งตาม ไปถึงกลางซอยก็หยุดประจันหน้ากัน กระทั่งคนร้ายจนมุมยอมทิ้งเงิน 700 บาท ทิ้งมีดปลายแหลม และกระเป๋าสะพาย แล้ววิ่งหนีไปออกซอยสุขสวัสดิ์ 70
กระทั่งพบรถแท็กซี่โตโยต้า สีเหลือง ทะเบียน ทห 843 กทม. ซึ่งมี นายประยุทธิ์ จันทร์จำรัส อายุ 62 ปี ขับผ่านเข้ามา จึงเรียกให้จอด บอกให้ข้ามสะพานภูมิพลไปฝั่งถนนปู่เจ้าสมิงพรายให้เร็วที่สุด
อ้างว่าเพิ่งมีเรื่องชกต่อยกับคู่อริ ที่เป็นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
เมื่อแท็กซี่ขึ้นสะพานภูมิพล รถจักรยานยนต์ของตำรวจขับขี่ตามหลังและปาดหน้ารถแท็กซี่ ตนจึงรีบจอดรถ คนร้ายเปิดประตูรถแล้ววิ่งโดดลงจากสะพานภูมิพล ความสูงเทียบเท่าตึก 21 ชั้น ดิ่งลงแม่น้ำเจ้าพระยาหายไป
ก่อนที่นายประยุทธิ์จะทราบจากตำรวจว่า คนที่โดดลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นคนร้ายจี้แท็กซี่แล้วหลบหนีมา จึงรู้สึกตกใจ คิดว่าโชคดีที่ตำรวจมาตัดหน้า ไม่เช่นนั้นอาจเป็นเหยื่อรายต่อไปก็เป็นได้
วันต่อมา พบศพลอยน้ำอยู่ที่หลังชุมชนโรงสี พระราม 3 ซอย 64 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. ในศพพบกระเป๋าสตางค์ มีบัตรประชาชน ใบขับขี่ และบัตรอีกใบ
ทราบชื่อคือ นายเด่นชัย เทียมทัด อายุ 34 ปี ชาว ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
ตรวจสอบพบว่า เป็นคนเดียวกันกับคนร้าย ที่ก่อเหตุใช้มีดจี้ชิงทรัพย์แท็กซี่ในพื้นที่ทุ่งครุก่อนหน้านี้
เมื่อเป็นข่าวออกไป ทราบมาจากทางบ้านเล่าให้ฟังว่า คนร้ายที่โดดสะพานภูมิพล นอกจากจะก่อเหตุกับแท็กซี่ตามที่เป็นข่าวแล้ว ไม่กี่วันก่อนยังเป็นคนเดียวกันกับเคยก่อเหตุกับเพื่อนของพ่อผู้เขียน ได้เงินสดและโทรศัพท์มือถือไปอีกด้วย
เราโทรศัพท์สอบถาม นายเทพกร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ผู้เสียหายซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อ ขับรถแท็กซี่สีส้ม เล่าให้ฟังว่า วันเกิดเหตุประมาณ 22.00 น. ของวันที่ 2 มิถุนายน 2560 ขณะที่เขาขับรถมาตามถนนพระราม 2
มีผู้โดยสารรายหนึ่ง โบกรถจากหน้าปั้มแก๊ส บริเวณปากซอยพระราม 2 ซอย 58 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม. บอกว่าให้ไปส่งแถวตลาดครุใน อ.พระประแดง
ระหว่างทางผู้โดยสารรายนี้ได้พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ทำทีสนิทสนม อ้างว่าเป็นพ่อค้าปลาตลาดบางแค ก่อนหน้านี้ก็เคยขับรถแท็กซี่มาก่อน ก็เลยรู้สึกถูกคอกันในระดับหนึ่ง พูดถึงเรื่องเส้นทาง รายได้ และเรื่องเศรษฐกิจ
ก่อนถึงจุดหมาย ผู้โดยสารออกอุบายให้ลงจากรถ กล่าวว่า จะไปรับแฟนแต่พ่อตาดุ ไม่ค่อยถูกกัน เป็นนักเลงหัวไม้ มีลูกน้องเยอะในซอย จอดหน้าบ้านแล้วช่วยไปรับแฟนหน่อยได้ไหม แล้วจะให้ค่าเสียเวลาอีก 300-400 บาท
ระหว่างที่อยู่ในรถ ผู้โดยสารได้คุยกับปลายสายเป็นผู้หญิง ประมาณว่า “พี่ใกล้จะถึงแล้วนะ กำลังอยู่บนแท็กซี่ รีบไปอยู่นะ ใจเย็นๆ กำลังจะไปรับแล้ว” ซึ่งปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง แต่นั่งอยู่ไกลจึงไม่ได้ยิน
กระทั่งรถแท็กซี่คันดังกล่าว เข้าไปในซอยสุขสวัสดิ์ 70 ซอย 5 ทางเข้าโรงเรียนสายอนุสรณ์ และโรงงานรองเท้า ไฮ-เทค แอพพาเรล แต่ได้เลี้ยวเข้าไปจอดบริเวณทางกลับรถเล็กๆ ก่อนถึงโรงเรียน ซึ่งเป็นที่เปลี่ยว
ผู้โดยสารกล่าวว่า จะรอที่รถทำทีเป็นโชเฟอร์แท็กซี่มารับ ให้บอกว่าเป็นพี่ของเพื่อนแฟน ให้มารับแฟนไปทำบุญที่งานทำบุญบ้านพรุ่งนี้เช้า พร้อมกับให้เอาโทรศัพท์คนร้ายไปด้วยถ้าแฟนโทรมา รอรับแฟนเลย แล้วเดินออกมาพร้อมกัน
ด้วยความหลงกลจึงลงจากรถไปพร้อมกับโทรศัพท์ของคนร้าย ยี่ห้อไอโมบายรุ่นเก่า ขณะนั้นคนร้ายที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับรถแท็กซี่ ค่อยๆ ขยับรถออกไปช้าๆ เวลานั้นแฟนผู้โดยสารคนนั้นก็ยังไม่โทร.มาสักที คิดว่าคงกลัวพ่อแฟน
หันไปอีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่เห็นรถแท็กซี่แล้ว ในรถมีโทรศัพท์ไอโฟน 5 และเงินสดอีก 500 บาท
ด้วยความเอะใจ โชเฟอร์รถแท็กซี่จึงเดินไปตามรถ แต่รถไม่อยู่แล้ว แสดงว่าโดนหลอกแล้ว จึงเดินออกไปหน้าปากซอย ไปขอความช่วยเหลือร้านจิ้มจุ่มให้ช่วยโทรศัพท์แจ้งตำรวจและพรรคพวกว่าโดนขโมยรถ
ตำรวจสอบปากคำคร่าวๆ ประมาณ 02.00-03.00 น. จึงกลับบ้านไป ช่วงเย็นวันต่อมา ทราบว่าชุดสืบสวนของ สภ.พระประแดง พบรถต้อสงสัยจอดอยู่ในปั้มน้ำมันบางจาก ตรงข้ามตลาดบางปะกอก กทม.
พบกระเป๋าสตางค์และเอกสารราชการยังอยู่ครบ ขาดแต่เงินสดและโทรศัพท์ไอโฟน 5 ที่หายไป
อีกด้านหนึ่ง ระหว่างที่โชเฟอร์แท็กซี่อยู่ที่ร้านจิ้มจุ่ม ก็ได้นำมือถือคนร้ายไปค้นหาเบอร์โทรล่าสุด แล้วยืมโทรศัพท์เจ้าของร้านจิ้มจุ่มโทร.ไป พบปลายสายเป็นผู้หญิง ระบุว่าอยู่ที่อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร
ฝ่ายหญิงระบุว่า รู้จักกับคนร้ายผ่านเพื่อนอีกทีหนึ่ง เมื่อถามว่า เป็นแฟนกันหรือเปล่า เพราะแฟนขโมยรถพี่ไป ฝ่ายหญิงก็อ้างว่า ขโมยทำไม พี่เขาเป็นคนดี หนูยังยืมเงินจากเขาเลย เหมือนปล่อยกู้เงิน และอ้างว่าทำงานสุจริต
นอกจากนี้ ฝ่ายหญิงยังระบุว่า คนร้ายจะมาหาตน ก็คงจะถามว่า “พี่เมื่อไหร่จะมาหาหนู” คงเป็นแฟนหรือเป็นคู่ขากัน คนร้ายพูดว่ากำลังจะไป ซึ่งในขณะที่พูดว่ากำลังจะไป ก็สร้างเรื่องและกำลังจะก่อเหตุ
3-4 วันต่อมา คนร้ายรายนี้ก็มาก่อเหตุอีก ตามที่เป็นข่าว แล้วก็เสียชีวิต ผู้กองได้ส่งรูปมาให้ดู 3-4 รูป ทีแรกไม่แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้อ้วนก่อนจะผอม ลักษณะพูดเหน่อ ออกไปทางประจวบ-เพชร
ตำรวจระบุว่า เป็นคนประจวบฯ ก็เลยถึงบางอ้อ เพราะตอนที่อยู่บนแท็กซี่หลอกว่าเป็นคนเพชรบุรี พอดูองค์ประกอบหลายอย่าง ลวงมาที่ตลาดครุใน รวมทั้งโครงหน้าตา ก็ชี้ชัดว่าเป็นคนเดียวกัน
ส่วนผู้หญิงในสายโทรศัพท์ เป็นเรื่องของตำรวจ ในตอนนั้นก็ห่วงรถ ไม่ได้ถามว่าเป็นยังไง หลังคนร้ายกระโดดน้ำเสียชีวิต ก็ปิดคดีไปแล้ว เลยไม่ได้คิดอะไรมากมาย คนก็ตายไปแล้ว ก็ฟาดเคราะห์ไปโทรศัพท์กับเงินอีก 500 บาท
ที่น่าสังเกตคือ เมื่อค้นหาชื่อ-นามสกุลของคนร้าย คือ “นายเด่นชัย เทียมทัด” ก็พบประวัติไม่ธรรมดา
เมื่อเดือนเมษายน 2559 เขาเคยขับรถแท็กซี่ สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทษ 930 กทม. เคยก่อเหตุรับผู้โดยสารจากสนามบินดอนเมือง ไปยังโรงแรมโฟร์วิงส์ ถนนศรีนครินทร์ โดยไม่ยอมกดมิเตอร์
ระหว่างทาง นายเด่นชัยระบุว่า รถตนไม่มีมิเตอร์ ขอเรียกเก็บค่าโดยสารที่ 900 บาท ผู้โดยสารบอกว่าให้ได้แค่ 500 บาท คนขับแท็กซี่ไม่ยินยอม และยืนต่อว่าผู้โดยสารอยู่หน้าโรงแรม จนพนักงานโรงแรมต้องเข้าห้ามปราม
เมื่อผู้โดยสารได้ถ่ายคลิปโชเฟอร์อาละวาดแล้วเผยแพร่ ก็กลายเป็นคลิปโด่งดังในโซเชียลมีเดีย ร้อนถึงกรมการขนส่งทางบก ต้องเรียกตัวนายเด่นชัยมาสอบสวน ยอมรับว่ากระทำผิดตามที่ถูกร้องเรียนจริง
“ผมขับรถเปิดไฟว่างไป ผมมาส่งผู้โดยสาร แล้วพอดีผู้โดยสารโบกรถ เขาบอกว่าไปศรีนครินทร์ไหม ผมบอกว่าไปครับ แต่ผมยังไม่ได้บอกเขาว่า ไม่ได้ไปมิเตอร์นะครับ พอเขาเอาข้าวของขึ้นรถเสร็จ ก็เลยบอกว่า 900 บาทนะครับ
เขาก็เลยออกอาการแบบไม่พอใจ เขาก็เลยโทร.หาพรรคพวกเขา ผมก็เลยทำเฉยและถามผมว่า ลดราคาอีกได้ไหม ผมก็เลยนั่งเฉย จนไปถึงโรงแรม เขาให้เงินผมมา 500 บาท
ผมจ่ายค่าทางด่วน 2 ด่าน ขึ้นโทลล์เวย์ 70 บาท แล้วก็ 25 บาทครับ ผมก็เลยแบบเกิดอาการโมโหโทสะ ที่ผมได้น้อย โดยไม่ได้ตามที่ผมต้องการ ผมต้องขอโทษด้วยครับ”
วันนั้นกรมการขนส่งทางบก เปรียบเทียบปรับในข้อหาเรียกเก็บค่าโดยสารเกินที่กฎหมายกำหนด และแสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ รวม 2,000 บาท พักใช้ใบอนุญาตขับรถ 3 เดือน ส่งเข้าอบรม จัดส่งประวัติเข้าศูนย์ประวัติผู้ขับรถ
หากพบกระทำความผิดซ้ำ ครั้งต่อไปจะเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที
คลิปดังกล่าว ทำเอาในเช้าวันต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถึงกับโมโหเรื่องนี้ และระบุในที่ประชุมคณะส่วนราชการระดับกระทรวง
นายกฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสั่งการให้กระทรวงคมนาคมไปดูแล้ว มักพบว่าการกระทำของคนขับแท็กซี่ ทำเกินกว่าเหตุ ซึ่งได้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดไปแล้ว 2-3 ราย
อ่านประกอบ : “บิ๊กตู่” ฉุนแต่เช้า แท็กซี่นักเลงข่มขู่เก็บค่าโดยสารเกินราคา
เราไม่รู้ว่า ช่วงชีวิตของเขาหลังขับรถแท็กซี่แบบไม่ซื่อสัตย์กับผู้โดยสาร เมื่อถูกทางการลงโทษไปแล้ว ชีวิตเขาเป็นอย่างไร กลับมาขับแท็กซี่ได้หรือไม่ และมีเหตุจูงใจอะไรเขาถึงต้องกลายมาเป็นมิจฉาชีพจี้ชิงทรัพย์แท็กซี่แบบนั้น
เรื่องนี้คงให้บทเรียนกับหลายฝ่าย ไม่ใช่เพียงแค่คนขับรถแท็กซี่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น การทำอะไรที่ไม่ซื่อสัตย์ตั้งแต่ต้น ถึงวันหนึ่งเมื่อจนตรอกก็ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น กลายเป็นจุดจบที่ไม่น่าจดจำ.