เป็นข่าวเป็นคราวขึ้นมา เมื่อทาง ป.ป.ช.มีคำสั่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเรื่องการบริหารน้ำผิดพลาด จนเกิดมหาอุทกภัยใหญ่ในปี 2554
ข้อสงสัยหนึ่งที่มีการพูดกัน คือ เป็นการบริหารน้ำที่ผิดพลาด เพราะไม่เร่งระบายน้ำ แต่กักน้ำไว้รอเพื่อให้ชาวนาซึ่งเป็นฐานเสียงใหญ่ ฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทยได้เกี่ยวข้าวก่อน แต่เพราะคำนวณปริมาณน้ำผิดประกอบกับมีพายุใหญ่เข้า จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถบริหารน้ำได้
เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ไล่ตั้งแต่ภาคเหนือมาจนถึงภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร
ตอนนั้นคำพูด “เอาอยู่” ของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ถูกนำไปอำแบบไม่เหลือดี
เพราะเอาเข้าจริงก็ “เอาไม่อยู่” จนถึงขนาดกองบัญชาการป้องกันน้ำท่วมที่ดอนเมือง ยังเจอมวลน้ำถล่มเสียจนต้องย้ายหนีกันโกลาหล
เชื่อว่าคงไม่มีใครลืมเลือนเหตุการณ์มหาอุทกภัยดังกล่าวได้ง่ายๆ เพราะหลายคนต้องทิ้งบ้านทิ้งช่องอพยพไปอยู่ที่อื่นบ้าง หรือทรัพย์สินเสียหาย ต้องซ่อมบ้านกันยกใหญ่ จนกระทั่งตอนนี้รอยน้ำท่วมยังปรากฏให้เห็นอยู่ตามขอบรั้วกำแพง
แต่กระนั้น การจะเอาผิดกับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ในเรื่องนี้ อาจจะต้องเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้มากทีเดียว
นั่นเพราะความเสียหายจากมหาอุทกภัยนั้นเป็น “ภัยธรรมชาติ” ที่อาจจะเรียกว่าเป็นเหตุสุดวิสัยก็ได้
แม้ยอมรับได้ในส่วนหนึ่งว่า รัฐบาลในขณะนั้นรับมือได้ไม่ดีพอ หรือบริหารจัดการน้ำไม่ถูกต้อง แต่ปัจจัยจากธรรมชาตินั้นก็หนักหนาสาหัสอยู่ เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับกันในจุดนี้
เชื่อว่าต่อให้รัฐบาลไหนมาเป็นรัฐบาล ก็อาจจะหลีกเลี่ยงมหาอุทกภัยได้ยาก คือจะไม่ให้น้ำท่วมเลยนั้นคงเป็นไปไม่ได้โดยแน่แท้ แต่อาจจะมีการรับมือที่ทุเลาผลร้ายของมหาอุทกภัยได้ดีกว่ารัฐบาลปูก็ได้
แต่เรื่องนี้สำหรับวิญญูชนแล้ว ไม่ใช่เรื่องของการทุจริต หรือความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้รัฐได้รับความเสียหายเหมือนเรื่องจำนำข้าว
นอกจากนี้ก็เคยมีคำพิพากษาศาลปกครองออกมา “ยกฟ้อง” กรณีที่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากมหาอุทกภัยฟ้องร้องรัฐบาลอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ต่อศาลปกครองแล้ว
โดยศาลพิพากษาไปในทางที่ว่า มหาอุทกภัยดังกล่าวได้เกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยภัยธรรมชาติ และฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีคือรัฐบาลนั้นได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อรับมือวิกฤตการณ์และรักษากรุงเทพฯ ชั้นในซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญ และช่วยให้บ้านเรือนของฝ่ายชาวบ้านผู้ฟ้องคดีนั้นไม่ถูกน้ำท่วมสูงกว่าที่ได้เป็นอยู่
การ “วางข้อหา” เพื่อจะเอาเรื่องกับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ด้วยข้อหานี้ อาจจะมีผลย้อนกลับมาเป็นบูมเมอร์แรงสองเรื่อง
เรื่องแรก คือความน่าเชื่อถือของ ป.ป.ช. และกระบวนยุติธรรมของไทย
เรื่องจะกลายเป็นว่า องค์กรอิสระนี้ไล่ตาม “บี้” เอากับฝ่ายของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์เสียทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่เป็น “เหตุสุดวิสัย” หรือ “ภัยธรรมชาติ” ก็ยังมีข้อหาไปมอบให้
น่าเกรงว่าสำหรับวิญญูชนที่มีจิตใจเป็นธรรม ก็อาจจะมองว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เป็นการจงใจตามล้างตามเช็ดกันอย่างไม่เป็นธรรม
ก็จะกลายเป็นไป “เข้าทาง” ข้ออ้างของฝ่ายอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่พยายามป้ายสีสร้างภาพว่า กลไกการตรวจสอบทุจริตและกระบวนการยุติธรรมไทยนั้นขาดความเป็นธรรม ไม่ได้มาตรฐานสากล
เพราะจงใจล้างเช็ดตัวเธอและพรรคพวกไปเสียทุกเรื่อง
และจะส่งผลให้เกิดความสงสัยแผ่กระจายไปยังเรื่องที่ “มีมูล” จริงๆ และเป็นเรื่องของความจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้ชาติเสียหายจริงๆ เช่นเรื่องจำนำข้าวด้วย
คือในข้อหาที่มันฟังได้ยากนักอย่างนี้ ก็อยากให้ละเว้นไว้บ้าง
ไปไล่ฟันเอาเรื่องที่มันผิดจริงๆ จังๆ ไปเลย เรื่องหนึ่งดีกว่า
อย่างเรื่องจำนำข้าวตอนนี้ก็งวดลงมาทุกขณะ เริ่มจะมีการลงนามในคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งข้าราชการและฝ่ายการเมืองชดใช้ค่าเสียหายที่ก่อไว้ต่อรัฐแล้ว
คดีอาญาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็น่าจะใกล้ได้ข้อยุติแล้ว
และศาลนี้จากสถิติที่ผ่านมา เขาจำคุกจริง ไม่รอการลงโทษ อดีตรัฐมนตรีหลายรายต้องคำพิพากษาถูกจำคุกจริงๆ ไปใช้ชีวิตในเรือนจำแล้วก็มี
ความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมจึงยังมีอยู่ ในเรื่องของความน่าเชื่อถือ
แต่ถ้ามีการฟ้องร้องเอาเรื่องกันในเรื่องที่มีน้ำหนักน้อย เหมือนเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ภาพก็จะเหมือนกับว่า กระบวนการยุติธรรมนี้มีไว้ใช้ “เช็กบิล” ทางการเมือง ซึ่งไม่เป็นคุณกับภาพลักษณ์ของกระบวนยุติธรรมของเราเสียเท่าไร
ส่วนเรื่องที่สอง ที่อาจจะเป็นปัญหา ก็คือว่า หากคดีนี้สร้างบรรทัดฐานขึ้นมาว่า การรับมือกับ “ภัยพิบัติ” ตามธรรมชาติแล้ว
ต่อไปรัฐบาลไหนโชคร้ายเจอกับภัยตามธรรมชาติ ก็อาจจะต้องรับผิดด้วยหากรับมือไม่ได้ แม้ว่าภัยธรรมชาตินั้นจะไม่สามารถรับมือได้ง่ายๆ ก็ตาม
ไม่ต้องอะไรอื่นไกล ในขณะนี้น้ำเหนือเริ่มเข้ามาไหลบ่าท่วมเข้าในหลายจังหวัดแล้ว และรัฐบาลปัจจุบันของ “ลุงตู่” นี้ก็พยายามป้องกัน และบริหารจัดการอยู่อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดน้ำท่วม หรือน้ำรอการระบาย รอการบริหารจัดการเอ่อขึ้นตามแนวแม่น้ำบ้าง
ถ้าในที่สุดแล้วกลายเป็นว่า ในปีนี้เกิดอุทกภัยขึ้นมาอีกครั้ง แล้วถือตามแนวทางของ ป.ป.ช.ว่ารัฐบาลจะต้องรับผิดชอบด้วย บูมเมอร์แรงนี้อาจจะย้อนกลับมากระทบกับรัฐบาลปัจจุบันให้ได้รับบาดเจ็บกันโดยไม่จำเป็นด้วย.
ข้อสงสัยหนึ่งที่มีการพูดกัน คือ เป็นการบริหารน้ำที่ผิดพลาด เพราะไม่เร่งระบายน้ำ แต่กักน้ำไว้รอเพื่อให้ชาวนาซึ่งเป็นฐานเสียงใหญ่ ฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทยได้เกี่ยวข้าวก่อน แต่เพราะคำนวณปริมาณน้ำผิดประกอบกับมีพายุใหญ่เข้า จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถบริหารน้ำได้
เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ไล่ตั้งแต่ภาคเหนือมาจนถึงภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร
ตอนนั้นคำพูด “เอาอยู่” ของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ถูกนำไปอำแบบไม่เหลือดี
เพราะเอาเข้าจริงก็ “เอาไม่อยู่” จนถึงขนาดกองบัญชาการป้องกันน้ำท่วมที่ดอนเมือง ยังเจอมวลน้ำถล่มเสียจนต้องย้ายหนีกันโกลาหล
เชื่อว่าคงไม่มีใครลืมเลือนเหตุการณ์มหาอุทกภัยดังกล่าวได้ง่ายๆ เพราะหลายคนต้องทิ้งบ้านทิ้งช่องอพยพไปอยู่ที่อื่นบ้าง หรือทรัพย์สินเสียหาย ต้องซ่อมบ้านกันยกใหญ่ จนกระทั่งตอนนี้รอยน้ำท่วมยังปรากฏให้เห็นอยู่ตามขอบรั้วกำแพง
แต่กระนั้น การจะเอาผิดกับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ในเรื่องนี้ อาจจะต้องเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้มากทีเดียว
นั่นเพราะความเสียหายจากมหาอุทกภัยนั้นเป็น “ภัยธรรมชาติ” ที่อาจจะเรียกว่าเป็นเหตุสุดวิสัยก็ได้
แม้ยอมรับได้ในส่วนหนึ่งว่า รัฐบาลในขณะนั้นรับมือได้ไม่ดีพอ หรือบริหารจัดการน้ำไม่ถูกต้อง แต่ปัจจัยจากธรรมชาตินั้นก็หนักหนาสาหัสอยู่ เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับกันในจุดนี้
เชื่อว่าต่อให้รัฐบาลไหนมาเป็นรัฐบาล ก็อาจจะหลีกเลี่ยงมหาอุทกภัยได้ยาก คือจะไม่ให้น้ำท่วมเลยนั้นคงเป็นไปไม่ได้โดยแน่แท้ แต่อาจจะมีการรับมือที่ทุเลาผลร้ายของมหาอุทกภัยได้ดีกว่ารัฐบาลปูก็ได้
แต่เรื่องนี้สำหรับวิญญูชนแล้ว ไม่ใช่เรื่องของการทุจริต หรือความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้รัฐได้รับความเสียหายเหมือนเรื่องจำนำข้าว
นอกจากนี้ก็เคยมีคำพิพากษาศาลปกครองออกมา “ยกฟ้อง” กรณีที่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากมหาอุทกภัยฟ้องร้องรัฐบาลอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ต่อศาลปกครองแล้ว
โดยศาลพิพากษาไปในทางที่ว่า มหาอุทกภัยดังกล่าวได้เกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยภัยธรรมชาติ และฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีคือรัฐบาลนั้นได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อรับมือวิกฤตการณ์และรักษากรุงเทพฯ ชั้นในซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญ และช่วยให้บ้านเรือนของฝ่ายชาวบ้านผู้ฟ้องคดีนั้นไม่ถูกน้ำท่วมสูงกว่าที่ได้เป็นอยู่
การ “วางข้อหา” เพื่อจะเอาเรื่องกับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ด้วยข้อหานี้ อาจจะมีผลย้อนกลับมาเป็นบูมเมอร์แรงสองเรื่อง
เรื่องแรก คือความน่าเชื่อถือของ ป.ป.ช. และกระบวนยุติธรรมของไทย
เรื่องจะกลายเป็นว่า องค์กรอิสระนี้ไล่ตาม “บี้” เอากับฝ่ายของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์เสียทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่เป็น “เหตุสุดวิสัย” หรือ “ภัยธรรมชาติ” ก็ยังมีข้อหาไปมอบให้
น่าเกรงว่าสำหรับวิญญูชนที่มีจิตใจเป็นธรรม ก็อาจจะมองว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เป็นการจงใจตามล้างตามเช็ดกันอย่างไม่เป็นธรรม
ก็จะกลายเป็นไป “เข้าทาง” ข้ออ้างของฝ่ายอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่พยายามป้ายสีสร้างภาพว่า กลไกการตรวจสอบทุจริตและกระบวนการยุติธรรมไทยนั้นขาดความเป็นธรรม ไม่ได้มาตรฐานสากล
เพราะจงใจล้างเช็ดตัวเธอและพรรคพวกไปเสียทุกเรื่อง
และจะส่งผลให้เกิดความสงสัยแผ่กระจายไปยังเรื่องที่ “มีมูล” จริงๆ และเป็นเรื่องของความจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้ชาติเสียหายจริงๆ เช่นเรื่องจำนำข้าวด้วย
คือในข้อหาที่มันฟังได้ยากนักอย่างนี้ ก็อยากให้ละเว้นไว้บ้าง
ไปไล่ฟันเอาเรื่องที่มันผิดจริงๆ จังๆ ไปเลย เรื่องหนึ่งดีกว่า
อย่างเรื่องจำนำข้าวตอนนี้ก็งวดลงมาทุกขณะ เริ่มจะมีการลงนามในคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งข้าราชการและฝ่ายการเมืองชดใช้ค่าเสียหายที่ก่อไว้ต่อรัฐแล้ว
คดีอาญาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็น่าจะใกล้ได้ข้อยุติแล้ว
และศาลนี้จากสถิติที่ผ่านมา เขาจำคุกจริง ไม่รอการลงโทษ อดีตรัฐมนตรีหลายรายต้องคำพิพากษาถูกจำคุกจริงๆ ไปใช้ชีวิตในเรือนจำแล้วก็มี
ความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมจึงยังมีอยู่ ในเรื่องของความน่าเชื่อถือ
แต่ถ้ามีการฟ้องร้องเอาเรื่องกันในเรื่องที่มีน้ำหนักน้อย เหมือนเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ภาพก็จะเหมือนกับว่า กระบวนการยุติธรรมนี้มีไว้ใช้ “เช็กบิล” ทางการเมือง ซึ่งไม่เป็นคุณกับภาพลักษณ์ของกระบวนยุติธรรมของเราเสียเท่าไร
ส่วนเรื่องที่สอง ที่อาจจะเป็นปัญหา ก็คือว่า หากคดีนี้สร้างบรรทัดฐานขึ้นมาว่า การรับมือกับ “ภัยพิบัติ” ตามธรรมชาติแล้ว
ต่อไปรัฐบาลไหนโชคร้ายเจอกับภัยตามธรรมชาติ ก็อาจจะต้องรับผิดด้วยหากรับมือไม่ได้ แม้ว่าภัยธรรมชาตินั้นจะไม่สามารถรับมือได้ง่ายๆ ก็ตาม
ไม่ต้องอะไรอื่นไกล ในขณะนี้น้ำเหนือเริ่มเข้ามาไหลบ่าท่วมเข้าในหลายจังหวัดแล้ว และรัฐบาลปัจจุบันของ “ลุงตู่” นี้ก็พยายามป้องกัน และบริหารจัดการอยู่อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดน้ำท่วม หรือน้ำรอการระบาย รอการบริหารจัดการเอ่อขึ้นตามแนวแม่น้ำบ้าง
ถ้าในที่สุดแล้วกลายเป็นว่า ในปีนี้เกิดอุทกภัยขึ้นมาอีกครั้ง แล้วถือตามแนวทางของ ป.ป.ช.ว่ารัฐบาลจะต้องรับผิดชอบด้วย บูมเมอร์แรงนี้อาจจะย้อนกลับมากระทบกับรัฐบาลปัจจุบันให้ได้รับบาดเจ็บกันโดยไม่จำเป็นด้วย.