สำหรับผมพระจริงแท้ควรค่าแก่การกราบไหว้มีน้อยลงทุกวัน พระชั่วๆ ที่สักแต่ห่มผ้าเหลืองบังหน้ามีมากเหลือเกิน ฉะนั้น”พระแย่ๆ” ในที่นี้ไม่อาจนับเป็นพระได้เลย
สืบเนื่องจากข่าวการสึกพระเตี้ย ที่มีความสูงเพียง 99 เซนติเมตร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของนายเสริมศักดิ์ ไม้สูงเนิน อายุ 21 ปี หรือ พระตี๋ ฉายาว่า "ธมฺมสโร" ซึ่งหวังจะบวชทดแทนบุญคุณให้แม่ 3 เดือนในช่วงเข้าพรรษา แต่ต้องถูกจับสึกเสียก่อน
การสึกพระรูปนี้มีการอ้างเหตุผลตามพระธรรมวินัยที่ได้บัญญัติไว้ว่า จะไม่บรรพชาให้กับผู้ที่เตี้ยเกินไป ถ้าพระอุปัชฌาย์องค์ใดบวชให้ จะผิดพระธรรมวินัยปรับเป็นอาบัติ แต่ถ้าบวชไปแล้วปฏิบัติธรรมได้ ถือเป็นพระได้ แต่ในส่วนของความผิดจะตกกับพระอุปัชฌาย์
ก็ต้องเปิดพระไตรปิฎกกันละครับ ในส่วนของวินัยปิฎก เป็นวินัยของสงฆ์ ไม่ใช่แค่คนตัวเตี้ยเกินไปเท่านั้นที่ห้ามบวช คนสูงเกินไป หรือผอมและอ้วนเกินไปนั้นก็ห้ามบวช มาดูลักษณะที่ไม่ควรให้บรรพชา (เป็นสามเณร) ๓๒ ประเภท (ซึ่งเป็นข้อห้ามสำหรับบวชเป็นพระด้วย เพราะตามวิธีการบวช ผู้ที่จะบวชเป็นพระจะต้องผ่านลำดับจากการเป็นสามเณรมาก่อนแม้ชั่วครู่หนึ่ง)
๑. คนมีมือขาด ๒. คนมีเท้าขาด
๓. คนมีทั้งมือทั้งเท้าขาด ๔. คนมีหูขาด
๕. คนมีจมูกแหว่ง ๖. คนมีทั้งหูขาดทั้งจมูกแหว่ง
๗. คนมีนิ้วมือขาด ๘. คนมีนิ้วหัวแม่มือขาด
๙. คนมีเอ็น (เท้า) ขาด ๑๐. คนมีมือเป็นแผ่น (นิ้วติดกัน)
๑๑. คนค่อม ๑๒. คนเตี้ย (เกินไป)
๑๓. คนคอพอก ๑๔. คนถูกนาบด้วยเหล็กแดงจนเสียโฉม (ในการลงโทษ)
๑๕. คนถูกโบยถูกแส้ (มีรอยแผล) ๑๖. คนถูกหมายจับ (ให้ฆ่าได้เมื่อพบ)
๑๗. คนมีเท้าปุก (เป็นตุ้ม)
๑๘. คนเป็นโรคอันเป็นโทษแห่งบาป (โรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย)
๑๙. คนประทุษร้ายบริษัท (คืออยู่ในหมู่แล้วทำให้หมู่ดูวิปริต ด้วยรูปร่างอันผิดปกติของตน เช่น สูงเกินไป เตี้ยเกินไป ดำเกินไป ขาวเกินไป ผอมเกินไป อ้วนเกินไป เป็นต้น)
๒๐. คนตาบอดข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง ๒๑. คนเป็นง่อย
๒๒. คนกระจอก (เท้าผิดปกติ ต้องเดินด้วยหลังเท้า เป็นต้น)
๒๓. คนเป็นอัมพาต (ร่างกายตายไปซีกหนึ่ง)
๒๔. คนเปลี้ย (เดินเองไม่ได้) ๒๕. คนชรา ทุพพลภาพ
๒๖. คนตาบอดแต่กำเนิด ๒๗. คนใบ้
๒๘. คนหูหนวก ๒๙. คนทั้งบอดทั้งใบ้
๓๐. คนทั้งบอดทั้งหนวก ๓๑. คนทั้งใบ้ทั้งหนวก
๓๒. คนทั้งบอดทั้งใบ้ทั้งหนวก
บุคคลทั้งสามสิบสองประเภทนี้ ผู้บรรพชาให้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูรายละเอียดได้จาก http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prawinai/4.8.html
การกำหนดลักษณะห้ามดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในสังคมโบราณสมัยพุทธกาล ตามสภาพการใช้ชีวิตของสงฆ์ในสังคมสิ่งแวดล้อมยุคนั้น เพื่อไม่เป็นภาระในการดูแล และเป็นที่เลื่อมใสของผู้คน จึงไม่แปลกที่ผู้คนในสังคมปัจจุบันจะมีความเห็นวิพากษ์วิจารณ์และรู้สึกสะเทือนใจกับข่าวสึกพระเตี้ย ก็ยุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงห่างไกลกันตั้งสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว
ผมคงไม่ต้องลงรายละเอียดข่าวนี้นะครับ แต่ที่ผมรู้สึกเซ็งที่สุดกลับเป็นเรื่องที่ว่าการเดินเรื่องสึกพระรูปนี้ เดินเรื่องกันไวจัง ไวชนิดที่ว่าไวกว่าแสงเลยทีเดียว คือมีข่าวออกมาวันหนึ่งอีกวันนึงจับสึกแล้ว
การเดินเรื่องไวแบบนี้น่าจะทำได้กับการจับสึกพระเลวๆ ประเภทอาศัยผ้าเหลืองคลุมร่าง เป็นพวกอาศัยผ้าเหลือง โกนหัว เพื่อหากิน หาประโยชน์ หาเงินทอง หลอกลวงชาวบ้าน มั่วสุมเสพยาค้ายาบ้า มั่วสีกา ทำผิดพระวินัยทำศาสนาเสื่อมอีกมากมาย ผมว่าพระปลอมๆแบบนี้ต่างหาก ที่ควรถูกจับสึก
อย่างพวกพระที่เอาแต่สอนให้คนงมงาย ขายวัตถุมงคล ปลุกเสกโน่นนี่ หลอกลวงเงินทองชาวบ้านที่หลงเชื่อกันมากมายมหาศาล หรือพวกเอาแต่ใบ้หวย คอยให้เลขเด็ด เล่นไสยศาสตร์กันอยู่นั้นแหละ พระแบบนี้ก็ไม่ควรเก็บไว้ให้ศาสนาและสังคมเสื่อม
พระสมัยนี้ร่ำรวยกันซะเหลือเกิน สะสมของมีค่ามากมาย ตั้งแต่รถโบราณหรูๆ เงินทอง ทรัพย์สิน ก็ในเมื่อพระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ละทิ้งกิเลส พระผู้ซึ่งสละแล้ว ละทิ้งแล้วซึ่งกิเลส บางรูปมีกิเลสยิ่งกว่าคนธรรมดาอย่างเราซะอีก แต่ทำไมพระกิเลสหนาอย่างนี้มีตำแหน่งยศชั้นเป็นใหญ่เป็นโตอยู่มากมาย
บางจำพวกแฝงตัวในคราบพระ กลางวันนุ่งห่มผ้าเหลืองอยู่วัด พอตกกลางคืนสลัดคราบผ้าเหลืองออกไปเที่ยวอโคจรนอกวัด มีเงินเลี้ยงเที่ยวมั่วสาว แอบบพาสาวเข้ากุฏิ พระแบบนี้ก็มีอีกไม่น้อย แถมเวลามีข่าวหรือจับได้ที เป็นพระผู้ใหญ่ซะด้วยสิ คิดแล้วก็เศร้าใจ
พระบางรูปก็เอาแต่เมาเหล้า กินเหล้าแทนน้ำ บางคนหนักกว่านั้นก็เสพยาเสพติดกันภายในวัดเลยก็มี เราก็เห็นข่าวกันอยู่บ่อยๆ ทำผิดกฎหมายแอบซุกในวัดกันได้ง่ายๆ
นอกจากกฏหมายบ้านเมืองอย่างชาวบ้านทั่วไปแล้ว พระยังมีศีลมีธรรมมีกฎวินัยของสงฆ์ ที่ควบคุมดูแลพฤติกรรม วงการสงฆ์เวลานี้พระมีพฤติกรรมเสื่อมเหลวแหลก ทั้งพระผู้ใหญ่ระดับสูง ลงมาถึงระดับล่าง คณะสงฆ์และการปกครองสงฆ์ต้องเข้มแข็งจริงจังในการแก้ปัญหาเหล่านี้ พระเตี้ยเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เมื่อเทียบกับเรื่องเหลวแหลกเละเทะอื่นๆในหมู่สงฆ์
สืบเนื่องจากข่าวการสึกพระเตี้ย ที่มีความสูงเพียง 99 เซนติเมตร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของนายเสริมศักดิ์ ไม้สูงเนิน อายุ 21 ปี หรือ พระตี๋ ฉายาว่า "ธมฺมสโร" ซึ่งหวังจะบวชทดแทนบุญคุณให้แม่ 3 เดือนในช่วงเข้าพรรษา แต่ต้องถูกจับสึกเสียก่อน
การสึกพระรูปนี้มีการอ้างเหตุผลตามพระธรรมวินัยที่ได้บัญญัติไว้ว่า จะไม่บรรพชาให้กับผู้ที่เตี้ยเกินไป ถ้าพระอุปัชฌาย์องค์ใดบวชให้ จะผิดพระธรรมวินัยปรับเป็นอาบัติ แต่ถ้าบวชไปแล้วปฏิบัติธรรมได้ ถือเป็นพระได้ แต่ในส่วนของความผิดจะตกกับพระอุปัชฌาย์
ก็ต้องเปิดพระไตรปิฎกกันละครับ ในส่วนของวินัยปิฎก เป็นวินัยของสงฆ์ ไม่ใช่แค่คนตัวเตี้ยเกินไปเท่านั้นที่ห้ามบวช คนสูงเกินไป หรือผอมและอ้วนเกินไปนั้นก็ห้ามบวช มาดูลักษณะที่ไม่ควรให้บรรพชา (เป็นสามเณร) ๓๒ ประเภท (ซึ่งเป็นข้อห้ามสำหรับบวชเป็นพระด้วย เพราะตามวิธีการบวช ผู้ที่จะบวชเป็นพระจะต้องผ่านลำดับจากการเป็นสามเณรมาก่อนแม้ชั่วครู่หนึ่ง)
๑. คนมีมือขาด ๒. คนมีเท้าขาด
๓. คนมีทั้งมือทั้งเท้าขาด ๔. คนมีหูขาด
๕. คนมีจมูกแหว่ง ๖. คนมีทั้งหูขาดทั้งจมูกแหว่ง
๗. คนมีนิ้วมือขาด ๘. คนมีนิ้วหัวแม่มือขาด
๙. คนมีเอ็น (เท้า) ขาด ๑๐. คนมีมือเป็นแผ่น (นิ้วติดกัน)
๑๑. คนค่อม ๑๒. คนเตี้ย (เกินไป)
๑๓. คนคอพอก ๑๔. คนถูกนาบด้วยเหล็กแดงจนเสียโฉม (ในการลงโทษ)
๑๕. คนถูกโบยถูกแส้ (มีรอยแผล) ๑๖. คนถูกหมายจับ (ให้ฆ่าได้เมื่อพบ)
๑๗. คนมีเท้าปุก (เป็นตุ้ม)
๑๘. คนเป็นโรคอันเป็นโทษแห่งบาป (โรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย)
๑๙. คนประทุษร้ายบริษัท (คืออยู่ในหมู่แล้วทำให้หมู่ดูวิปริต ด้วยรูปร่างอันผิดปกติของตน เช่น สูงเกินไป เตี้ยเกินไป ดำเกินไป ขาวเกินไป ผอมเกินไป อ้วนเกินไป เป็นต้น)
๒๐. คนตาบอดข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง ๒๑. คนเป็นง่อย
๒๒. คนกระจอก (เท้าผิดปกติ ต้องเดินด้วยหลังเท้า เป็นต้น)
๒๓. คนเป็นอัมพาต (ร่างกายตายไปซีกหนึ่ง)
๒๔. คนเปลี้ย (เดินเองไม่ได้) ๒๕. คนชรา ทุพพลภาพ
๒๖. คนตาบอดแต่กำเนิด ๒๗. คนใบ้
๒๘. คนหูหนวก ๒๙. คนทั้งบอดทั้งใบ้
๓๐. คนทั้งบอดทั้งหนวก ๓๑. คนทั้งใบ้ทั้งหนวก
๓๒. คนทั้งบอดทั้งใบ้ทั้งหนวก
บุคคลทั้งสามสิบสองประเภทนี้ ผู้บรรพชาให้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูรายละเอียดได้จาก http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prawinai/4.8.html
การกำหนดลักษณะห้ามดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในสังคมโบราณสมัยพุทธกาล ตามสภาพการใช้ชีวิตของสงฆ์ในสังคมสิ่งแวดล้อมยุคนั้น เพื่อไม่เป็นภาระในการดูแล และเป็นที่เลื่อมใสของผู้คน จึงไม่แปลกที่ผู้คนในสังคมปัจจุบันจะมีความเห็นวิพากษ์วิจารณ์และรู้สึกสะเทือนใจกับข่าวสึกพระเตี้ย ก็ยุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงห่างไกลกันตั้งสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว
ผมคงไม่ต้องลงรายละเอียดข่าวนี้นะครับ แต่ที่ผมรู้สึกเซ็งที่สุดกลับเป็นเรื่องที่ว่าการเดินเรื่องสึกพระรูปนี้ เดินเรื่องกันไวจัง ไวชนิดที่ว่าไวกว่าแสงเลยทีเดียว คือมีข่าวออกมาวันหนึ่งอีกวันนึงจับสึกแล้ว
การเดินเรื่องไวแบบนี้น่าจะทำได้กับการจับสึกพระเลวๆ ประเภทอาศัยผ้าเหลืองคลุมร่าง เป็นพวกอาศัยผ้าเหลือง โกนหัว เพื่อหากิน หาประโยชน์ หาเงินทอง หลอกลวงชาวบ้าน มั่วสุมเสพยาค้ายาบ้า มั่วสีกา ทำผิดพระวินัยทำศาสนาเสื่อมอีกมากมาย ผมว่าพระปลอมๆแบบนี้ต่างหาก ที่ควรถูกจับสึก
อย่างพวกพระที่เอาแต่สอนให้คนงมงาย ขายวัตถุมงคล ปลุกเสกโน่นนี่ หลอกลวงเงินทองชาวบ้านที่หลงเชื่อกันมากมายมหาศาล หรือพวกเอาแต่ใบ้หวย คอยให้เลขเด็ด เล่นไสยศาสตร์กันอยู่นั้นแหละ พระแบบนี้ก็ไม่ควรเก็บไว้ให้ศาสนาและสังคมเสื่อม
พระสมัยนี้ร่ำรวยกันซะเหลือเกิน สะสมของมีค่ามากมาย ตั้งแต่รถโบราณหรูๆ เงินทอง ทรัพย์สิน ก็ในเมื่อพระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ละทิ้งกิเลส พระผู้ซึ่งสละแล้ว ละทิ้งแล้วซึ่งกิเลส บางรูปมีกิเลสยิ่งกว่าคนธรรมดาอย่างเราซะอีก แต่ทำไมพระกิเลสหนาอย่างนี้มีตำแหน่งยศชั้นเป็นใหญ่เป็นโตอยู่มากมาย
บางจำพวกแฝงตัวในคราบพระ กลางวันนุ่งห่มผ้าเหลืองอยู่วัด พอตกกลางคืนสลัดคราบผ้าเหลืองออกไปเที่ยวอโคจรนอกวัด มีเงินเลี้ยงเที่ยวมั่วสาว แอบบพาสาวเข้ากุฏิ พระแบบนี้ก็มีอีกไม่น้อย แถมเวลามีข่าวหรือจับได้ที เป็นพระผู้ใหญ่ซะด้วยสิ คิดแล้วก็เศร้าใจ
พระบางรูปก็เอาแต่เมาเหล้า กินเหล้าแทนน้ำ บางคนหนักกว่านั้นก็เสพยาเสพติดกันภายในวัดเลยก็มี เราก็เห็นข่าวกันอยู่บ่อยๆ ทำผิดกฎหมายแอบซุกในวัดกันได้ง่ายๆ
นอกจากกฏหมายบ้านเมืองอย่างชาวบ้านทั่วไปแล้ว พระยังมีศีลมีธรรมมีกฎวินัยของสงฆ์ ที่ควบคุมดูแลพฤติกรรม วงการสงฆ์เวลานี้พระมีพฤติกรรมเสื่อมเหลวแหลก ทั้งพระผู้ใหญ่ระดับสูง ลงมาถึงระดับล่าง คณะสงฆ์และการปกครองสงฆ์ต้องเข้มแข็งจริงจังในการแก้ปัญหาเหล่านี้ พระเตี้ยเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เมื่อเทียบกับเรื่องเหลวแหลกเละเทะอื่นๆในหมู่สงฆ์