มีข่าวนักศึกษาอเมริกันอายุแค่20ต้นๆ โดนจับที่เกาหลีเหนือ และถูกตัดสินจำคุกยาวถึง 15 ปี ทั้งนี้เท่าที่อ่านเจอพบว่ามีการระบุด้วยว่าระหว่างต้องโทษจะต้องโดนให้ทำงานหนักขณะอยู่ในเรือนจำ ซึ่งก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นบทลงโทษที่รุนแรงกว่าจำคุกปกติ
เรื่องมีประมาณว่า นักศึกษาอเมริกันคนดังกล่าวได้เข้าไปเที่ยวในเกาหลีเหนือ และได้มีการหยิบเอาป้าย หรือโปสเตอร์อะไรประมาณนั้นเพื่อต้องการที่จะนำกลับไปฝากเพื่อนที่บ้านเกิดเมืองนอน เข้าใจว่าเรื่องนี้เดิมทีคงตั้งใจให้เป็นเรื่องขำๆ นั่นก็คือ เด็กหนุ่มชาวอเมริกันปกติก็จะมีมุมมองเกี่ยวกับเกาหลีเหนือในทางที่ไม่ค่อยจะดีนักในฐานะประเทศที่มีการปกครองไม่เหมือนกับประเทศของตัวเอง และมุมมองดังกล่าวของคนหนุ่มสาวอเมริกันบางส่วนก็ไม่ได้มองว่าเป็นเผด็จการขาโหดเหมือนสมัยที่พวกเขาเคยได้ยินประสบการณ์จากรุ่นพ่อรุ่นแม่ในยุคสงครามเย็นระหว่างประเทศของเขากับรัสเซีย
ภาพลักษณ์ของเกาหลีเหนือต่อคนหนุ่มสาวอเมริกันจึงเป็นเผด็จการตัวตลก เนื่องจากพวกเขาได้รับรู้ได้เห็นได้ยินผ่านกระบวนการหล่อหลอมทางวัฒนธรรมของฮอลลีวูด ลองไล่ดูหนังฮอลลีวูดที่ผ่านมามักจะเอาเกาหลีเหนือและผู้นำของเขาให้รับบทผู้ร้ายตัวตลกอยู่เสมอๆ
พี่คิมคนเก่าของเกาหลีเหนือนั้นเราจะเจอบ่อยมากในหนังสายลับ พี่คิมตัวพ่อจะออกมาแล้วขำอยู่บ่อยๆ หลายคนจึงติดภาพพี่คิมอยู่ในสายฮา แต่พี่คิมตัวจริงนั้นข่าวว่าไม่ขำ ส่วนพี่คิมคนลูกผู้นำคนใหม่ ในโลกยุคอินเทอร์เน็ตนั้นก็ถูกเอามาตัดต่อ(ให้ขำ)มากที่สุดคนหนึ่งในโลก เราก็จึงจะมีภาพพี่คิมคนลูกเอาไว้ในสายฮาสายขำเช่นเดิม แต่ถ้าให้ผมเดาพี่คิมคนลูกเองนั้นขึ้นสืบทอดบัลลังก์ตัวพ่อได้ถึงขั้นนี้ พี่คิมคนลูกตัวจริงนั้นก็ไม่น่าจะขำเช่นกัน
ผมคิดว่า เผด็จการเกาหลีน่าจะเป็นสิ่งที่น่าเข้าไปท่องเที่ยวเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเรื่องเจอสิ่งแปลกใหม่ที่ออกจะขำๆ สำหรับวัยรุ่นชาวอเมริกันมากกว่าเวลาคนพวกนี้ไปเที่ยวยุโรปหรือที่อื่น (วัยรุ่นคนไทยเองก็ต้องระวังเรื่องทำนองนี้ เพราะบางส่วนก็ใช้ชีวิตแฮปปี้อยู่กับการซึมซับวัฒนธรรมอเมริกัน)
กิจกรรมเอาป้ายโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเอากลับไปประเทศเพื่อเป็นที่ระลึกหรือของฝากใดๆ ก็ดี จึงเป็นเรื่องที่สนุกสนานและเป็นประสบการณ์เกี่ยวกับประเทศเกาหลีเหนือในความสุขสนานรูปแบบขำๆ
แต่แน่นอนว่า เกาหลีเหนือย่อมไม่ขำด้วย เพราะสิ่งที่สังคมอเมริกันคิดว่าตลกนั้น เกาหลีเหนือไม่ตลก และค่อนข้างจะซีเรียสเอาการอยู่
ถ้าจะว่ากันจริงๆ กรณีที่คุณไม่ชื่นชอบเขาก็ไม่ต้องไปเที่ยวบ้านเขา และถ้าเข้าไปบ้านเขาก็ต้องเคารพในความเชื่อของเจ้าของบ้าน ทำตามกฎและกติกาต่างๆ ที่เขาวางเอาไว้ เห็นไม่เหมือนกับเขาได้ แต่เวลาอยู่ในหลังคาบ้านเค้าก็ต้องไม่ล้ำเส้นที่เขาขีดเอาไว้ ยิ่งพื้นเพเราเห็นต่างจากเขามาก เรายิ่งต้องระมัดระวังตัว เพราะตัดสินใจไปเยี่ยมบ้านเขาแล้วก็ต้องว่าตามกฏบ้านนั้น
ผมคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ เด็กหนุ่มคนนั้น รวมถึงพ่อแม่ญาติพี่น้อง ไม่ควรจะด่าเกาหลีเหนือนะ แต่ควรจะด่าประเทศตัวเองมากกว่า ในฐานะที่ถ้าถามว่าใครรับผิดชอบเรื่องนี้ ย้อนกลับไปอ่านที่เล่ามาเบื้องต้นก็พอจะสรุปได้ว่า สังคมและวัฒนธรรมอเมริกันนั่นเองที่สร้าง ความคิด-ความเชื่อ-ทัศนคติแบบที่ว่า “ของอเมริกันนั้นถูกต้อง อะไรที่ไม่เหมือนถือว่าผิด” นี่ขึ้นมา
ครั้งหนึ่งสมัยผมเรียนอยู่ออสเตรเลีย ผมยังจำได้ว่าเคยนั่งคุยกับคุณพี่ผู้หญิงเจ้าของร้านอาหารจีนที่ผมชอบไปกิน คุณพี่ผู้หญิงเป็นคนจีนมาเลย์ ร้านนี้เด่นเรื่องขนมจีบซาลาเปาที่มีขายในช่วงกลางวัน และมีไลน์บุฟเฟ่ต์อิ่มอร่อยในช่วงเย็น หากเทียบกับร้านอื่นร้านนี้ถือว่าราคาสูงหน่อยแต่ก็ไม่มากนักตามประสาร้านอาหารในเมืองชนบทของรัฐควีนส์แลนด์ ที่ร้านนี้พิเศษก็เพราะร้านนี้มันเป็นร้านที่ “รสชาติไม่ค่อยเพี้ยน” ผมหมายถึงว่า มันไม่ค่อยปรับโทนไปมากนักเพื่อสร้างความเป็นสากล
ผมเองชอบคุณกับพี่ผู้หญิงเจ้าของร้าน (เข้าใจว่าผัวคงเป็นพ่อครัวอยู่ข้างใน) มีอยู่วันหนึ่งพี่ชาวมาเลย์เชื้อสายจีนที่เข้ามาตั้งรกรากและเปิดร้านอยู่ในเมืองชนบททางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ประเทศออสเตรเลียคนนี้ได้คุยให้ผมฟังว่า เมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมา มีครอบครัวชาวอเมริกันเข้ามากินอาหารที่ร้าน ซึ่งบอกก่อนตรงนี้ว่า ปกติไม่ค่อยมีบ่อยนะครับ เมืองนี้ไม่ถึงกับเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม และยิ่งในสมัยยี่สิบปีก่อนนี่ การมาเยี่ยมร้านของนักท่องเที่ยวอเมริกันสำหรับพี่เขาถือว่าเป็นเหตุการณ์นานๆ ครั้ง
พี่เขาคุยให้ฟังแบบไม่ได้มีอาการหงุดหงิดอะไรนะครับ ออกจะยิ้มๆ เวลาคุยให้ฟังด้วยซ้ำ เรื่องของเรื่องก็คือ ตอนกินเสร็จนั้น คุณพ่อชาวอเมริกันของครอบครัวใหญ่โต๊ะนั้น (ยังมีคุณแม่ คุณปู่คุณย่า และลูกอีกสามคน) หลังจากจ่ายบิลเรียบร้อย พร้อมให้ทิปเพิ่มอีกก้อนโต คุณพ่ออเมริกันก็ได้ขอคุยกับเจ้าของร้าน เธอจึงเดินมาที่โต๊ะ เธอเล่าให้ผมฟังและผมจะขอสรุปให้ฟังต่อ เนื้อหามีอยู่ว่า คุณพ่อเรียกเจ้าของร้านมาเพื่อจะแสดงความปรารถนาดีที่จะแนะนำให้เธอปรับปรุงรสชาติของอาหาร โดยบอกว่า อาหารร้านเธอนั้นน่าจะปรับปรุงรสชาติในหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น ซาลาเปานั้นเนื้อยุ่ยเกินไปน่าจะมีเนื้อแป้งคล้ายขนมปังมากกว่านี้ ขนมจีบนั้นอร่อยแล้วแต่น่าจะรสจัดกว่านี้อีกนิด ข้าวผัดน่าจะหั่นแครอทใส่ลงไปด้วย (ผมฟังแล้วก็สงสัยว่าไอ้ครอบครัวนี้หรือเปล่าที่มาบ่อนทำลายผัดกะเพราของเมืองไทย) จากนั้นก็ชี้แจงว่า ปลานึ่งซีอิ๊วของเธอนั้นเค็มและใส่พริกไทยมากไป ไก่เลมอนซอสก็ควรจะหวานมากกว่านี้อีกหน่อยและควรจะมีเฟรนช์ฟรายวางมาข้างๆ และซุปกระดูกหมูตุ๋นนั้นไม่ควรจะใส่โป๊ยกั๊ก (คุณพ่ออเมริกันไม่รู้จักหรอกว่าคืออะไรแต่ชี้ให้พี่เจ้าของร้านดูในถ้วย) เพราะว่ามันเหม็นมาก (ในระหว่างนั้นคุณแม่กับคุณย่าชาวอเมริกันก็พยักหน้าหงึกๆ)
ทั้งหมดนี้ชาวอเมริกันนั่งบรรยายให้พี่ผู้หญิงเจ้าของร้านอาหารจีนมาเลย์ที่อยู่เมืองชนบทของออสเตรเลียอยู่เกือบสิบนาที ด้วยสีหน้าปรารถนาดีตามแบบฉบับชาวอเมริกันที่จะชอบสอนนู่นสอนนี่คน โดยเฉพาะเวลาเจอชาวเอเชียที่ทำอะไรไม่ได้มาตรฐานอเมริกัน สีหน้าคุณพ่อชาวอเมริกันดูโอบอ้อมอารีและเต็มไปด้วยความปรารถนาดี (จนพี่ผู้หญิงเธอบอกว่าเธอรู้สึกเหมือนสมัยเด็กๆ ตอนครูที่โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเธอยังไงยังงั้น) และครอบครัวชาวอเมริกันร่วมโต๊ะก็ส่งสายตาและพยายามที่จะพยักหน้าหงึกๆ มีส่วนร่วมด้วยเท่าที่จะทำได้
พี่ผู้หญิงเจ้าของร้านอาหารจีนบอกผมว่า เธอรู้สึกขำนะ กับลีลาเริ่มด้วยวางทิปก้อนโตแบบเรียกร้องความสนใจก่อนว่าฉันมาดี จากนั้นเรียกเธอผู้เป็นเจ้าของร้านมาเล็คเชอร์ว่ารสชาติอาหารร้านนี้ควรปรับปรุงอย่างไร (ด้วยความปรารถนาดี) พร้อมทั้งลงท้ายด้วยประโยคที่ว่า “หากฉันคราวหน้ามีโอกาสกลับมาที่นี่อีกคงเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของร้านเธอนะ”
พี่เขาบอกว่า...
ข้อแรก ร้านของเธอเป็นสูตรดั้งเดิมตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ คงยากที่จะเปลี่ยน มันไม่ชิน
ข้อสอง เธอคิดว่าเธอเปิดร้านอาหารจีน-มาเลย์ ก็ควรจะนำเสนอรสชาติแบบดั้งเดิม หากใครชอบรสชาติแบบนี้ก็มาอุดหนุน ไม่ใช่ว่าจะปรับไปตามรสชาติอาหารในท้องถิ่นนั้น
ข้อสาม ลูกค้าของเธอที่เป็นชาวออสเตรเลีย และชาวเอเชียที่อาศัยอยู่ที่นั่นชอบรสชาติของร้านเธอมาก ส่วนใหญ่บอกว่า “แบบนี้ทำกินเองที่บ้านไม่ได้”
ข้อสี่ เธอเชื่อว่าครอบครัวอเมริกันนั้นคงมาหนเดียวในชีวิตนี้ ชาตินี้คงไม่เจอกันอีก
ข้อห้า ขอบคุณสำหรับทิปและคำแนะนำ(ด้วยความปรารถนาดี) แต่ฉันขอเดินในทางของฉันนะจ๊ะ
#โปรดอย่าวิจารณ์เผด็จการเกาหลีเหนือและล้อเล่นกับอาหารจีน