ผมกับเมียไม่มีลูก แต่มีหลานทางสายภรรยาอยู่หนึ่งคนที่ผมมีประสบการณ์ช่วยเลี้ยง เธอเป็นเด็กหญิงสามขวบ แม่ของเด็กจะเอาหลานมาเล่นที่บ้านผมสัปดาห์ละหนึ่งวัน ส่วนใหญ่เป็นวันอาทิตย์ แม่ของหลานมักจะหาโอกาสออกไปทำกิจกรรมที่จำเป็นตั้งแต่เรื่องงานไปจนถึงเรื่องเอารถไปล้าง แล้วทิ้งหลานไว้กับยาย และป้าๆ ตลอดจนมีลุงอย่างผมเป็นตัวแถมคอยช่วยเลี้ยง
ผมกับเมียไม่เคยมีลูกจึงเลี้ยงเด็กไม่ค่อยเก่ง จะเรียกว่าช่วยเลี้ยงแบบช่วยเล่นกับหลานมากกว่าช่วยเลี้ยงจริงจัง การช่วยเล่นได้นี่ก็ตอนหลานสองขวบไปแล้ว ตอนมันเป็นเบบี๋เราไม่ได้ช่วยเลี้ยงอะไรมาก นี่มีหลานชายจากน้องสาวลูกของลุงกับป้าของผมอีกคน คุยกับเมียว่าพอมันสักขวบกว่าๆ ก็จะลองเอามาช่วยเล่นกับหลานชายบ้าง
อย่าหาว่าอวดเลยนะ แต่แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า หลานของผมนั้นมันชอบมาเล่นกับผมอยู่เหมือนกัน แม่ของหลานมันแอบกระซิบเมียผมว่า อาจจะเพราะลุงมีจินตนาการ (เมียผมบอกว่า ใช่ แปลเป็นภาษาง่ายๆ ว่าผมเป็นคนเพ้อเจ้อ เด็กชอบ 555) เอาเป็นว่า ปกติช่วงที่หลานมา จะมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่ห้องนั่งเล่นข้างล่าง โดยมียายของหลาน กับป้าๆ ของเด็กหญิงคอยผลัดกันดูแลและเล่นกับหลาน ส่วนลุงคนเดียวในบ้านอย่างผมจะลงไปเล่นบ้าง แต่จะสลับมาปักหลักอยู่ที่ห้องฟังเพลงที่ชั้นสอง
เด็กหญิงสามขวบหลานของผมเหมือนกับจะมีนาฬิกาปลุกประจำตัว ประมาณบ่ายสามกว่า ตอนที่คุณยายกับป้าอีกคนจะกลับไปบ้านของพวกเธอ โดยจะเหลือลุงกับป้าเจ้าของบ้าน คือผมกับเมียเป็นคนดูแลหลานต่อก่อนที่แม่ของมันจะมารับในตอนเย็น นาฬิกาปลุกประจำตัวของหลานตัวน้อยจะตีบอกเป็นเสียงอะไรไม่รู้ แต่เด็กหญิงมักจะอยากขึ้นมาเล่นข้างบน โดยจะมาแวะที่ห้องฟังเพลงของลุง ผมก็จะเปิดเพลงจากแผ่นเสียงให้ฟัง และเราก็นั่งเล่นตุ๊กตากันในห้องนั้น
ผมเรียกห้องฟังเพลงของผมว่าห้องเหลือง เพราะห้องนี้ทาผนังด้วยสีเหลือง ในห้องเหลืองจะเต็มไปด้วยเครื่องเสียงวินเทจและคลังแผ่นเสียงของผม เป็นอาณาจักรเล็กๆ ในบ้านที่เมียผมมักจะไม่ค่อยเข้ามายุ่งเพราะเมียผมบอกว่าบรรยากาศมันเก่าเกินไป เข้ามาแล้วเหมือนย้อนยุค แต่หลานผมจะชอบมานั่งเล่นกับผมห้องนี้ แม้ว่าจะมีเพียงที่แคบๆ มีโซฟาหนังขนาดสองที่นั่งหนึ่งตัว และห้อมล้อมไปด้วยเครื่องเสียงวินเทจจนแทบไม่เหลือที่ให้เดิน
ของเล่นของหลานในห้องเหลืองไม่มีอะไรมาก มีแค่ตุ๊กตา 4 ตัวที่เป็นของแถมที่ผมได้มาจากร้านแฟรนไชส์เบอร์เกอร์สัญชาติอเมริกันยอดนิยมเจ้านั้น เป็นเพียงตุ๊กตาหน้าตาเหมือนคนธรรมดา ไม่ได้เป็นเจ้าหญิงเจ้าชายหรือตัวการ์ตูนในเทพนิยายเรื่องไหนๆ แต่หลานผมชอบเอาตุ๊กตา 4 ตัวนี้มาคุยเล่นไปเรื่อยกับผม ลุงกันหลานไม่ได้คุยกันนะ แต่แบ่งตุ๊กตาคนละสองตัวแล้วให้ตุ๊กตามันคุยกัน ชวนกันไปเที่ยวทะเลบ้าง ชวนกันไปปีนภูเขาบ้าง และมักจะตบท้ายด้วยมานั่งล้อมวงกินน้ำชากัน
ชีวิตสุดสัปดาห์ส่วนใหญ่ของผมในรอบปีสองปีที่ผ่านมาก็เป็นไปอย่างนี้ พอผ่านมาเรื่อยๆ และลองมานั่งคิดเล่นๆ กันกับเมียสองคน ก็เห็นพ้องกันว่า เออ จริงๆ แล้ว ไลฟ์สไตล์ของเราสองคนผัวเมีย กับวิธีคิดอะไรบางอย่างมันก็เปลี่ยนไปในช่วงมีประสบการณ์ช่วยเลี้ยงหลานสัปดาห์ละวันนี่เอง
เราไม่เคยมีลูก ไม่เคยเลี้ยงเด็ก แต่คุยกันว่าเราจะไม่ยอมให้หลานติดนิสัยไม่ดีไปจากบ้านเรา ดังนั้น ผมกับเมียจึงหมั่นหาเวลาคุยกันถึงวิถีปฏิบัติเวลามีหลานมาบ้าน โดยวิถีต่างๆ ที่ผมจะสรุปมาให้อ่านเป็นเรื่องๆ ในบทความชิ้นนี้นั้น ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ดูแลหลานให้ใช้ชีวิตบนโลกนี้ แต่ยังกลับมาปรับเปลี่ยนวิถีบางอย่างของลุงกับป้าสองคนผัวเมียไปด้วยพร้อมๆ กัน
อย่างเช่นที่ลุงกับป้าตกลงกันว่าจะไม่เล่นกับหลานด้วยวิธีการแข่งกัน ไม่แข่งกันทำนู่นทำนี่ หลีกเลี่ยงเกมที่จะต้องแข่งกัน แต่ใช้วิธี “เรามาเล่นด้วยกัน” อย่างเวลาจะเล่นโยนลูกบอลเข้าตระกร้า ก็จะไม่พยายามเล่นแบบแข่งว่าใครโยนเข้าได้เยอะกว่ากัน แต่เล่นด้วยการเรามาช่วยกันโยนลูกบอลเข้าตะกร้ากันนะอะไรประมาณนั้น
เรื่องที่สอง คือเราได้เรียนรู้ว่า สำหรับเด็กแล้วทุกอย่างเป็นของเล่นได้เสมอ พ่อแม่ทุกคนรู้เรื่องนี้ แต่คนไม่เคยมีลูกอย่างผมนั้นตอนแรกไม่รู้หรอกนะครับ จำได้ว่าพอมีหลาน ผมก็จะเสิร์ชหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตใหญ่เลย เพื่อหาของเด็กเล่นเอาไว้เล่นกันหลาน ตอนแรกๆ ก็ซื้อให้เยอะเชียว หาข้อมูลว่าเด็กวัยนี้ชอบเล่นของเล่นแบบนั้นแบบนี้แล้วก็ซื้อมาให้หลาน แต่ต่อมากลับพบว่าจริงๆ แล้ว เราไม่จำเป็นต้องเล่นกับเด็กด้วยของเล่นเด็ก ทุกอย่างในบ้านนั้นเป็นของเล่นได้ ช่วงหลังผมจึงเลิกซื้อของเล่นใหม่เข้าบ้าน แต่หยิบจับทุกอย่างในบ้านมาเป็นของเล่น เพียงแต่ระวังของไม่ให้มันเป็นอันตรายกับเด็กก็พอ ล่าสุด ประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา กิจกรรมที่หลานชอบที่สุดเวลาเล่นกับผมมีเพียงดินสอสีกับสมุดเล่มนึงเท่านั้นเอง
เรื่องต่อมา ลุงกับป้าพบว่า ในช่วงเวลาที่หลานมาบ้าน ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตเราดีขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ก็เพราะว่า ทุกวันอาทิตย์ที่หลานมา เรากินอย่างมีคุณภาพมากขึ้น เพราะเราหลีกเลี่ยงร้านอาหารรสจัด ร้านอาหารที่เราคิดว่าใส่ผงชูรสเยอะ ตลอดจนหลีกเลี่ยงอาหารประเภทเสาะท้อง เช่นพวกที่เคยเป็นของโปรดเมียผม ส้มตำปูไรงี้ เราจะหาอาหารประเภทที่เหมาะกับเด็ก ดีต่อสุขภาพ ซึ่งก็พลอยให้เป็นผลดีต่อสุขภาพลุงป้าไปด้วย
ไม่เพียงแต่สุขภาพกาย แต่ยังรวมถึงสุขภาพจิต เพราะเราจะหลีกเลี่ยงการเปิดทีวีตอนหลานมาอยู่บ้าน เมื่อก่อนตอนกินข้าวกลางวัน เราจะกินไปเปิดทีวีดูไป เดี๋ยวนี้หลานมาต้องปิด เพราะหลานจะสนใจทีวีไม่สนใจอาหารตรงหน้า เด็กเวลาเจอทีวีจะจ้องตาแป๋ว ช่วงที่หลานมาบ้าน ลุงป้าจึงตัดสินใจงดเปิดทีวีไปเลยทั้งวัน หลีกเลี่ยงเปิดทีวีให้น้อยที่สุด เพราะพอเปิดทีวีคนจะไม่สนใจกัน จะดูทีวี พอปิดทีวีคนจะหันมาสนใจกัน ดีต่อสุขภาพจิต (อ้อ พยายามงดใช้สมาร์ทโฟนด้วย)
เรื่องสบายใจนี่ยังไม่จบ เวลาหลานมาบ้าน ลุงป้าตกลงกันว่าจะไม่พูดโวยวายเสียงดังใส่กัน ไม่พูดคำหยาบ ไม่หงุดหงิดง่าย ใจเย็น เพราะเรากลัวหลานจะได้ยินแล้วจำไป เด็กนั้นบางครั้งได้ยินอะไร รับรู้อะไรแล้วแม้เขาอาจจะไม่ตอบสนองทันทีแต่เขาจะจำไว้ในใจและนอนนิ่งอยู่ในนั้นรอวันหยิบมาใช้ ดังนั้น เราก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงอะไรที่เราคิดว่ามันไม่เหมาะกับเด็ก แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นว่า มันดีต่อผู้ใหญ่ไปด้วย เผลอๆ สิ่งที่ได้กลับมานั้นมากจนเรานึกไม่ถึง กลายเป็นว่าประสบการณ์จากการเลี้ยงเด็กทำให้ลุงป้าใจเย็น ไม่หงุดหงิดง่าย มีสติ สุขภาพกายสุขภาพจิตดีขึ้น และที่สำคัญคือเข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ