ทันทีที่ท่านนายกฯ หลุดคำว่า “ปิดประเทศ” ขึ้นมาในคราวประชุมสภาฯ พบแม่น้ำ 5 สาย เพื่อทำความเข้าใจเพื่อให้ทำงานเป็นทีมเดียวกัน
ในบริบทที่นายกฯ พูด คือหาประเทศยังไม่สงบ จะปิดประเทศก็ต้องทำ
เพียงเท่านั้นเสียงขานรับก็ดังกระหึ่ม แต่ด้วยความที่ถ้อยคำมันแรง ก็เลยทำให้เกิดแรงกระเพื่อมหนักเหมือนสึนามิหลังแผ่นดินไหว
แน่นอนว่าฝ่ายที่จ้องจะแซะอยู่แล้ว ก็รีบจับความไปขยายกันให้เกิดความตื่นตกใจ จนเป็นเหตุให้มีคนเชื่อว่าทำให้หุ้นตกลงไปวันนึง ด้วยความอ่อนไหว
ส่งผลให้ต้องมีการออกมาปฏิเสธกันใหญ่จากหลายฝ่าย รวมทั้งตัวนายกฯ เองด้วย
อันที่จริง จะบอกว่านายกฯ ไม่ได้พูดก็คงไม่ได้ เพราะสื่อรายงานตรงกัน มีคลิปมีอะไรด้วย ในทางข้อเท็จจริง คงต้องกล่าวว่า นายกฯ พูดคำว่า “ปิดประเทศ” ออกมาแน่ๆ
เพียงแต่จะต้องพิจารณาบริบททั้งหมดของการพูดด้วย ว่าเจตนาของการใช้คำว่า “ปิดประเทศ” นั้นจะหมายความอย่างไร
ก่อนหน้านั้น นายกฯ พูดถึงการที่มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังหนีคดีอยู่นอกประเทศ หรือแม้แต่อยู่ในประเทศไทยที่อยู่ในเครือข่ายหมิ่นเบื้องสูง รวมถึงหลายคนที่เคยติดคุกในคดีหมิ่นเบื้องสูงแล้ว ได้รับการพระราชทานอภัยโทษออกมาแล้ว แต่ก็มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ยังกระทำความผิดซ้ำอีก “คนพวกนี้ไม่ตายดี ไม่ป่วยก็เจ็บ ไม่มีใครอยู่ดี” อันนี้นายกฯ กล่าวถึงคนพวกนี้
จากนั้นก็พูดถึงการที่มีการนำบุคคลไปปรับทัศนคติ แต่ก็ถูกโจมตีว่าเป็นเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงว่า ถ้าปรับทัศนคติก็ถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน ถ้าอย่างนั้นต่อไปก็ไม่ต้องปรับทัศนคติแล้ว เอาไปติดคุกเลยดีไหม
ส่วนประโยคเจ้าปัญหามีว่า “ฝ่ายการเมืองไม่ต้องระแวง ผมไม่ต้องการสืบทอดอำนาจ แต่หากประเทศยังไม่สงบเรียบร้อย ผมก็ยังต้องอยู่ทำหน้าที่ต่อไป หากจะต้องปิดประเทศก็ต้องทำ ที่พูดไม่ได้เป็นการท้าทาย หากจะเอาประชาชนออกมาคนที่พูดมากๆ หรือคนที่เป็นแกนนำจะโดนก่อน เพราะผมมีอำนาจอยู่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว”
จะเห็นว่าประโยคนี้ นายกฯ ตั้งใจจะสื่อสารไปถึง “แกนนำ” ที่ยังพยายาม “แซะ” ด้วยการปลุกคนออกมาต่อต้าน มากบ้างน้อยบ้าง พยายามให้เกิดกระแสต่อต้านต่อเนื่องอยู่
ดังนั้น ประโยคนี้ หากไม่นับคำว่า “ปิดประเทศ” นั้น มีความรวมเข้าใจได้ว่า หมายถึงการส่งสัญญาณไปถึง “ฝ่ายป่วน” ว่า ถ้าไม่หยุด ก็ไม่ได้เลือกตั้ง และตัวนายกฯ เองจะไม่ลงจากเก้าอี้หากยังแก้ปัญหาความแตกแยกนี้ไม่ได้
ส่วนคำว่า “ปิดประเทศ” นั้นตีความได้หลากหลาย แน่นอนว่าฝ่ายที่รอ “แซะ” อยู่แล้ว ก็ตีความการปิดประเทศนั้นไปในทางที่ว่า จะตัดการติดต่อกับต่างประเทศทั้งหมด เหมือนประเทศเผด็จการเต็มรูปแบบหลายประเทศ ที่ห้ามประชาชนเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต การรับสื่อรับสารจากต่างประเทศทำไม่ได้เลย สื่อโทรทัศน์ ข่าวสารต่างๆ ตลอดจนอินเทอร์เน็ตก็ต้องถูกเซ็นเซอร์
มโนและเสียดสีกันสนุกไปใหญ่
แต่น่าแปลกว่า เมื่อมีการสำรวจทำโพลกันออกมา ปรากฏว่าคนกลับเห็นด้วยกับการ “ปิดประเทศ” ของนายกฯ กันมากเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่า จริงๆ แล้ว เจตนารมณ์ของการกล่าวว่าจะ “ปิดประเทศ” นั้นจะหมายความในแง่ไหนกันแน่
เรียกว่าคล้ายๆ กับยุคจอมพล ป. เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย ท่านจะนำไปไหน ฉันจะตามไปด้วย กันอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนจะเอาเข้าจริงๆ การจะปิดประเทศอย่างจริงจังแบบเคร่งครัดตามที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพยายามแซะหรือมโนไปนั้น ในโลกยุคปัจจุบันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ
เนื่องจากประเทศไทยเรานั้นยังคงต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ และความร่วมมือระหว่างประเทศอยู่อีกมาก
และเมื่อพิจารณาจากท่าทีและการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ก็เห็นว่า แทนที่การดำเนินนโยบายของรัฐบาลนั้นจะเป็นไปในทาง “ตัดความสัมพันธ์” กับต่างชาติหรือกับโลก กลายเป็นว่า ความสัมพันธ์กับต่างประเทศนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากต่างประเทศยอมรับแล้วว่า ฝ่ายอำนาจเก่าไม่น่าจะกลับมาได้ง่ายๆ
นโยบายเรื่องที่เคยถูกคัดค้านอย่างหนัก เช่นเรื่อง Single Gateway (ซึ่งฝ่ายมโนมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปิดประเทศ) ก็พับไปแล้ว
ดังนั้น เรื่องการ “ปิดประเทศ” ก็น่าจะหมายถึงการ “ปิดประตู” ปิดช่องทางไม่ให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาสู่อำนาจในทางการเมือง โดยไม่มีหลักประกันว่าจะไม่สร้างความแตกแยก หรือไม่เข้ามาโกงกินนั่นเอง
ส่วน “ปิดประเทศ” ในความหมายที่ฝ่ายมโนกล่าวอ้างนั้นคงเป็นไปได้แค่มโนพอให้มีเรื่องโห่ท่านผู้นำ ก็เท่านั้นเอง
ก็น่าเห็นใจเพราะในตอนนี้ ฝ่ายต่อต้านแทบไม่เหลือน้ำเลี้ยงที่ไหน ขาดไร้ร่มเงาให้พักพิง เพราะขนาดว่าต่างชาติที่เคยวิ่งไปฟ้องเขาก็จับมือกับรัฐบาลแล้ว
ฝ่ายแดงเพื่อพรรค รักเพื่อไทย ก็หมดน้ำยาลงไปทุกที หัวหดกันไปทุกวัน ฝ่ายความมั่นคงกระแอมแฮ่มทีเดียว ก็มุดหนีลงดินกันหมด
จัดกิจกรรมอะไรก็แป้ก อย่างรำลึกลุงนวมทองที่ผ่านมา ก็ชิงพื้นที่ข่าวไม่ได้ เพราะฝ่ายความมั่นคงรู้ทัน ไม่เผลอไปงับเหยื่อเหมือนคราวก่อนๆ ปล่อยให้จัดกิจกรรมไป ไม่มีคนก็หงอยเหงากลับบ้านกันไปเอง ให้พอได้ระบายอารมณ์แชะภาพเซลฟี่ไปอวดเพื่อนแดงหน้าจอที่ไม่ได้มาร่วมงานด้วย
ดังนั้น ถ้านายกฯ จะหลุดจะพลาดอะไรให้พวกนี้ได้โห่ ได้เฮฮาอะไรบ้าง ก็นึกเสียว่า เป็นสีสัน และช่วยให้เขาไม่ห่อเหี่ยวเป็นโรคซึมเศร้าไปก็แล้วกัน.
ในบริบทที่นายกฯ พูด คือหาประเทศยังไม่สงบ จะปิดประเทศก็ต้องทำ
เพียงเท่านั้นเสียงขานรับก็ดังกระหึ่ม แต่ด้วยความที่ถ้อยคำมันแรง ก็เลยทำให้เกิดแรงกระเพื่อมหนักเหมือนสึนามิหลังแผ่นดินไหว
แน่นอนว่าฝ่ายที่จ้องจะแซะอยู่แล้ว ก็รีบจับความไปขยายกันให้เกิดความตื่นตกใจ จนเป็นเหตุให้มีคนเชื่อว่าทำให้หุ้นตกลงไปวันนึง ด้วยความอ่อนไหว
ส่งผลให้ต้องมีการออกมาปฏิเสธกันใหญ่จากหลายฝ่าย รวมทั้งตัวนายกฯ เองด้วย
อันที่จริง จะบอกว่านายกฯ ไม่ได้พูดก็คงไม่ได้ เพราะสื่อรายงานตรงกัน มีคลิปมีอะไรด้วย ในทางข้อเท็จจริง คงต้องกล่าวว่า นายกฯ พูดคำว่า “ปิดประเทศ” ออกมาแน่ๆ
เพียงแต่จะต้องพิจารณาบริบททั้งหมดของการพูดด้วย ว่าเจตนาของการใช้คำว่า “ปิดประเทศ” นั้นจะหมายความอย่างไร
ก่อนหน้านั้น นายกฯ พูดถึงการที่มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังหนีคดีอยู่นอกประเทศ หรือแม้แต่อยู่ในประเทศไทยที่อยู่ในเครือข่ายหมิ่นเบื้องสูง รวมถึงหลายคนที่เคยติดคุกในคดีหมิ่นเบื้องสูงแล้ว ได้รับการพระราชทานอภัยโทษออกมาแล้ว แต่ก็มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ยังกระทำความผิดซ้ำอีก “คนพวกนี้ไม่ตายดี ไม่ป่วยก็เจ็บ ไม่มีใครอยู่ดี” อันนี้นายกฯ กล่าวถึงคนพวกนี้
จากนั้นก็พูดถึงการที่มีการนำบุคคลไปปรับทัศนคติ แต่ก็ถูกโจมตีว่าเป็นเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงว่า ถ้าปรับทัศนคติก็ถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน ถ้าอย่างนั้นต่อไปก็ไม่ต้องปรับทัศนคติแล้ว เอาไปติดคุกเลยดีไหม
ส่วนประโยคเจ้าปัญหามีว่า “ฝ่ายการเมืองไม่ต้องระแวง ผมไม่ต้องการสืบทอดอำนาจ แต่หากประเทศยังไม่สงบเรียบร้อย ผมก็ยังต้องอยู่ทำหน้าที่ต่อไป หากจะต้องปิดประเทศก็ต้องทำ ที่พูดไม่ได้เป็นการท้าทาย หากจะเอาประชาชนออกมาคนที่พูดมากๆ หรือคนที่เป็นแกนนำจะโดนก่อน เพราะผมมีอำนาจอยู่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว”
จะเห็นว่าประโยคนี้ นายกฯ ตั้งใจจะสื่อสารไปถึง “แกนนำ” ที่ยังพยายาม “แซะ” ด้วยการปลุกคนออกมาต่อต้าน มากบ้างน้อยบ้าง พยายามให้เกิดกระแสต่อต้านต่อเนื่องอยู่
ดังนั้น ประโยคนี้ หากไม่นับคำว่า “ปิดประเทศ” นั้น มีความรวมเข้าใจได้ว่า หมายถึงการส่งสัญญาณไปถึง “ฝ่ายป่วน” ว่า ถ้าไม่หยุด ก็ไม่ได้เลือกตั้ง และตัวนายกฯ เองจะไม่ลงจากเก้าอี้หากยังแก้ปัญหาความแตกแยกนี้ไม่ได้
ส่วนคำว่า “ปิดประเทศ” นั้นตีความได้หลากหลาย แน่นอนว่าฝ่ายที่รอ “แซะ” อยู่แล้ว ก็ตีความการปิดประเทศนั้นไปในทางที่ว่า จะตัดการติดต่อกับต่างประเทศทั้งหมด เหมือนประเทศเผด็จการเต็มรูปแบบหลายประเทศ ที่ห้ามประชาชนเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต การรับสื่อรับสารจากต่างประเทศทำไม่ได้เลย สื่อโทรทัศน์ ข่าวสารต่างๆ ตลอดจนอินเทอร์เน็ตก็ต้องถูกเซ็นเซอร์
มโนและเสียดสีกันสนุกไปใหญ่
แต่น่าแปลกว่า เมื่อมีการสำรวจทำโพลกันออกมา ปรากฏว่าคนกลับเห็นด้วยกับการ “ปิดประเทศ” ของนายกฯ กันมากเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่า จริงๆ แล้ว เจตนารมณ์ของการกล่าวว่าจะ “ปิดประเทศ” นั้นจะหมายความในแง่ไหนกันแน่
เรียกว่าคล้ายๆ กับยุคจอมพล ป. เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย ท่านจะนำไปไหน ฉันจะตามไปด้วย กันอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนจะเอาเข้าจริงๆ การจะปิดประเทศอย่างจริงจังแบบเคร่งครัดตามที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพยายามแซะหรือมโนไปนั้น ในโลกยุคปัจจุบันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ
เนื่องจากประเทศไทยเรานั้นยังคงต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ และความร่วมมือระหว่างประเทศอยู่อีกมาก
และเมื่อพิจารณาจากท่าทีและการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ก็เห็นว่า แทนที่การดำเนินนโยบายของรัฐบาลนั้นจะเป็นไปในทาง “ตัดความสัมพันธ์” กับต่างชาติหรือกับโลก กลายเป็นว่า ความสัมพันธ์กับต่างประเทศนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากต่างประเทศยอมรับแล้วว่า ฝ่ายอำนาจเก่าไม่น่าจะกลับมาได้ง่ายๆ
นโยบายเรื่องที่เคยถูกคัดค้านอย่างหนัก เช่นเรื่อง Single Gateway (ซึ่งฝ่ายมโนมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปิดประเทศ) ก็พับไปแล้ว
ดังนั้น เรื่องการ “ปิดประเทศ” ก็น่าจะหมายถึงการ “ปิดประตู” ปิดช่องทางไม่ให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาสู่อำนาจในทางการเมือง โดยไม่มีหลักประกันว่าจะไม่สร้างความแตกแยก หรือไม่เข้ามาโกงกินนั่นเอง
ส่วน “ปิดประเทศ” ในความหมายที่ฝ่ายมโนกล่าวอ้างนั้นคงเป็นไปได้แค่มโนพอให้มีเรื่องโห่ท่านผู้นำ ก็เท่านั้นเอง
ก็น่าเห็นใจเพราะในตอนนี้ ฝ่ายต่อต้านแทบไม่เหลือน้ำเลี้ยงที่ไหน ขาดไร้ร่มเงาให้พักพิง เพราะขนาดว่าต่างชาติที่เคยวิ่งไปฟ้องเขาก็จับมือกับรัฐบาลแล้ว
ฝ่ายแดงเพื่อพรรค รักเพื่อไทย ก็หมดน้ำยาลงไปทุกที หัวหดกันไปทุกวัน ฝ่ายความมั่นคงกระแอมแฮ่มทีเดียว ก็มุดหนีลงดินกันหมด
จัดกิจกรรมอะไรก็แป้ก อย่างรำลึกลุงนวมทองที่ผ่านมา ก็ชิงพื้นที่ข่าวไม่ได้ เพราะฝ่ายความมั่นคงรู้ทัน ไม่เผลอไปงับเหยื่อเหมือนคราวก่อนๆ ปล่อยให้จัดกิจกรรมไป ไม่มีคนก็หงอยเหงากลับบ้านกันไปเอง ให้พอได้ระบายอารมณ์แชะภาพเซลฟี่ไปอวดเพื่อนแดงหน้าจอที่ไม่ได้มาร่วมงานด้วย
ดังนั้น ถ้านายกฯ จะหลุดจะพลาดอะไรให้พวกนี้ได้โห่ ได้เฮฮาอะไรบ้าง ก็นึกเสียว่า เป็นสีสัน และช่วยให้เขาไม่ห่อเหี่ยวเป็นโรคซึมเศร้าไปก็แล้วกัน.