xs
xsm
sm
md
lg

แก้เกมนักประชาธิปไตย

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

ถือว่าสร้างความประหลาดใจให้บรรดาคอการเมือง “ขาประจำ” อยู่เป็นอันมาก ในการรับมือกับผู้ชุมนุมครบรอบ 9 ปี รัฐประหาร 19 กันยา 49 เมื่อเย็นวันเสาร์ที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา

ด้วยการที่ไม่มีการสลายการชุมนุม ไม่มีการจับตัวแกนนำ รวมถึงปล่อยให้เดิน ให้จัดกิจกรรมอะไรกันก็ได้ตามสะดวกเต็มที่ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารนั้นเฝ้าสังเกตการณ์และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ไม่เกี่ยวข้องอยู่ห่างๆ ตั้งแต่บ่ายจนถึงกิจกรรมจบลงประมาณ 4 ทุ่ม

เรียกว่าถ้ามีมือมืดมือสว่างอะไรอยู่เบื้องหลัง ที่หวังขยายผลภาพความรุนแรงวุ่นวาย เพื่อไปตีปี๊บว่า รัฐบาลเผด็จการทหารปิดตาปิดปากประชาชนอีกแล้วจ้า ใช้อำนาจบาตรใหญ่ จับคนเห็นต่าง นิสิต นักศึกษา เรียกร้องให้ต้องปล่อยตัว คงจะผิดหวังและคาดไม่ถึงกับการรับมือของทางการในครั้งนี้ ซึ่งอาจจะเรียกว่าการปรับเปลี่ยนรูปแบบการรับมือกับการชุมนุมประท้วงในครั้งนี้มาจากการสรุปบทเรียนความผิดพลาดที่ผ่านมาในอดีต ที่ทางฝ่ายความมั่นคงค่อนข้างอ่อนไหวเข้มงวดจนเกินไป คือใครแหยมขึ้นมาต่อต้านส่งเสียงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น จะต้องมีการรีบสลายการชุมนุม หรือสั่งให้เลิก ให้ยุติ หรือที่ถ้ายังไม่ได้จัดก็ต้องสั่งห้าม เลยกลายเป็นข่าวที่จะว่าตลกก็ตลก เช่น การไปจับคนกินแซนวิช ชู 3 นิ้ว หรืออ่านหนังสือ 1984 (ของจอร์จ ออร์เวล) เสียดสีรัฐประหาร แต่ความที่ดูตลกนั่นเอง ก็กลับกลายเป็นหลุมพรางให้ถูกนำไปขยายผล นำไปป่าวร้องฟ้องต่างประเทศ ว่ารัฐบาลทหารช่างเผด็จการเสียนี่กระไร

และที่เรียกว่าพลาดและเกิดผลขยายไปเกินการควบคุม คือการจับกุมนักศึกษากลุ่มดาวดินและแนวร่วมรวมเป็น 14 คน ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งกลับกลายเป็นว่า การส่งเสียงประท้วงต้านรัฐประหารเรียกร้องประชาธิปไตยของคนกลุ่มนี้ ที่เคยเงียบๆ อยู่ในวงจำกัดของคน “คอเดียวกัน กลายเป็น “จุดติด” และลุกลามขึ้นมาระดับหนึ่ง มีแนวร่วมออกมามากมายจากฝ่ายที่เคยเป็นกลางๆ ไม่เคยต่อต้านหรือแสดงท่าทีทางการเมืองต่อฝ่ายรัฐบาลหรือ คสช.มาก่อน เช่น นักคิด นักเขียน หรือศิลปินมีชื่อที่ไม่เคยแสดงจุดยืนทางการเมือง ก็ออกมาแสดงความ “เป็นเพื่อนกัน” กับกลุ่มดาวดิน กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ เป็นประเด็นร้อนที่ใครๆ ก็ตั้งคำถามไปร่วมสองอาทิตย์ จนกระทั่งฝ่ายรัฐต้องยอมถอย ผ่านการปลดชนวนของศาลทหารที่ไม่อนุมัติให้มีการฝากขังต่อ เท่ากับต้องปล่อยนักศึกษากลุ่มนี้ออกมาในวันรุ่งขึ้น

เรียกว่าการ “จับกุม” กลายเป็นการสร้างแรงกระเพื่อมขึ้นในสังคม ที่ทางฝ่ายทหารอาจจะต้องการความสงบเงียบเรียบร้อย ยิ่งกว่าการปล่อยให้ส่งเสียงเย้วๆ กันสัก 3-4 ชั่วโมงแล้วแยกย้ายกลับบ้านเป็นไหนๆ

วัดผลได้ง่ายๆ คือ แทบไม่มีใครรู้ข่าวเรื่องการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในตอนค่ำวันเสาร์เลย แม้แต่ในหมู่ “ขาประจำ” เองก็มีข่าวให้แชะให้แชร์กันในโลกโซเชียลแค่หนึ่งคืนหนึ่งวัน แล้วก็จบจริงๆ

นับว่าเป็นการรับมือที่มาจากการวางแผนแบบคิดใหม่ และได้ผลจริง แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีประวัติ มีโปรไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองนั้นก็ถูกฝ่ายความมั่นคงติดตามใกล้ชิดแบบเงียบๆ อยู่แล้ว

แต่ก็ทำให้นักประชาธิปไตยในลัทธินักเลือกตั้งนั้นขาด “ฟืน” ไปโหมไฟได้ คราวหน้าพวกเขาคงต้องคิดแผนใหม่ขึ้นมาเรียกร้องความสนใจจากสังคมกันอีกต่อไป

เวทีต่อสู้ทางประชาธิปไตยในประเทศเราคงจบแค่นั้น แต่สำหรับระดับสากลบนเวทีโลกแล้ว เรียกว่ามีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ และทำให้ขาประจำนักประชาธิปไตยถึงกับไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน

นั่นคือ การที่สหประชาชาติ “เชิญ” ท่านนายกฯ ตู่ไปพูดในการประชุมใหญ่สหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ถือเป็นนายกรัฐมนตรีจากการรัฐประหาร และยังคงมีตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐประหาร คนแรกในรอบหลายสิบปีที่ได้ไปเยือนและไปพูดในเวทีใหญ่ระดับโลก ที่สหประชาชาติ

เป็นสหประชาชาติ หรือ UN เดียวกับที่นักประชาธิปไตยในบ้านเราพยายาม “ฟ้อง”ว่าประเทศไทย โดยรัฐบาลทหาร รัฐบาล คสช.ของบิ๊กตู่ กำลังลิดรอนข่มเหงบังคับสิทธิเสรีภาพของประชาชนอยู่นั่นแหละครับ

กลายเป็น UN นี่แหละที่เชิญบิ๊กตู่ไปขึ้นเวทีที่ตรงกลางหัวใจสหรัฐอเมริกา และโลกกันเลยทีเดียว เรียกว่าหักล้างทุกทฤษฎี รวมทั้งปิดปากเสียงกระแหนะกระแหนที่ว่า นายกฯ ไทยในยุครัฐประหารนี้ไม่กล้าไปอเมริกาแน่ เพราะจะโดนคว่ำบาตรบ้าง ไม่ได้รับวีซ่า หรือใครจินตนาการสูงหน่อยก็คิดว่า ถึงไปได้ก็จะไปโดนจับฐานเป็นอาชญากรประชาธิปไตยอะไรอย่างนั้นเชียว

การที่ท่านนายกฯ ได้ไปพูดที่เวทีสหประชาชาตินี้ ก็ทำให้บรรดา “ขาประจำ – คนกันเอง” ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียวครับ

แม้ว่าหัวข้อที่นายกฯ ของเราจะได้ไปพูดนั้น เป็นเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความยากจนและอดอยากหิวโหย แต่การได้ไปพูดในงานใหญ่โดยมีสหประชาชาตินั้นเป็นเวทีและเจ้าภาพ รวมทั้งได้ไปเยือนสถานที่ต่างๆ ในสหรัฐฯ เช่น อนุสรณ์สถานตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (กราวด์ ซีโร) ในฐานะ “แขกบ้านแขกเมือง” นั้นก็ไม่ธรรมดา หรือไม่อาจหลอกตัวเองได้ว่า ไม่มีนัยทางการเมืองระหว่างประเทศอะไร

เพราะต้องพึงเข้าใจว่า การเมืองระหว่างประเทศเป็นเกมสองหน้า ที่ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร ทุกอย่างเล่นกันบนเกมหมากรุกของผลประโยชน์ และการรักษาดุลอำนาจฐานน้ำหนักในการเมืองระหว่างภูมิภาค

เมื่อเห็นแล้วว่าทางการไทยเริ่มเอาใจออกห่างไปซบจีน จากมาตรการแบบเดิมๆ ที่อาจจะคิดว่าจะใช้สอนเด็กดื้อด้วยการเล่นเกมบีบหรือกดดันในด้านต่างๆ ทั้งการออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องให้คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ หรือเกมกดดันทางเศรษฐกิจ

เห็นว่าพวกไม้แข็งแบบนั้นไม่ได้ผล ทีนี้เขาก็ต้องปรับมาตรการ ก็เหมือนที่ฝ่ายความมั่นคงไทยเราปรับมาตรการกับฝ่ายต่อต้านมาใช้ไม้อ่อนนั่นแหละครับ

ส่วนจะได้ผลแค่ไหนก็ต้องลองดูกัน แต่ก็ต้องขอแสดงความเสียใจกับฝ่าย “ขาประจำ – คนกันเอง” ด้วยว่า การ “ขายของ” ประชาธิปไตยแบบเดิมๆ ของคุณนั้นคงจะขายยากขึ้น ต้องหามุกใหม่ๆ รวมทั้งจะวิ่งไปฟ้อง UN หรือฟ้องอเมริกาก็เห็นจะลำบากขึ้น

สำหรับท่านนายกฯ นั้นก็คงไม่ต้องห่วงกับการขึ้นเวทีสหประชาชาติแล้ว

ห่วงอย่างเดียวคือ อย่าไปปล่อยมุกแบบ “เป็นกันเอง” ใส่นักข่าวหรือสื่อนอกเหมือนที่เล่นกับสื่อพี่ๆ น้องๆ ในประเทศก็พอครับ.
กำลังโหลดความคิดเห็น