ช่วงนี้คอฟุตบอลยุโรปคงได้กลับมานอนดึกกันอีกแล้ว เพราะฟุตบอลลีกใหญ่าๆของยุโรปกำลังค่อยๆทยอยเปิดสนามฤดูกาล 2015 - 1016 กันในเดือนนี้ ใครรักทีมไหนเป็นแฟนทีมไหนก็ตามเชียร์กันได้ตามอัธยาศัยเลยครับ
เมื่อสัปดาห์ก่อนเป็นสัปดาห์แรกของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ เป็นฟุตบอลลีกสูงสุดยอดฮิตของ คนทั้งโลก รวมถึงคนไทยส่วนใหญ่
เริ่มสัปดาห์แรกของฟุตบอลอังกฤษ ก็มีประเด็นเลยทีเดียวครับไม่ใช่เรื่องฟอร์มการเล่นของทีมไหน ไม่ใช่ผลการแข่งขันที่พลิกล็อค เมื่อโชเซ่ มูรินโญ่ โค้ชโหวกเหวกโวยวายด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวข้างสนาม ขณะแพทย์สาวประจำทีม คือ อีวา การ์เน่โร่ เข้าไปปฐมพยาบาล เอเดน อาร์ซาร์ ปีกของทีมซึ่งได้รับบาดเจ็บในช่วงท้ายเกม แมตช์ที่เสมอกับสวอนซี ซิตี้ 2 – 2
มูรินโญ่ เจ้าของฉายาเดอะสเปเซี่ยลวัน อารมณ์เสียใส่คุณหมอสาวกลางสนาม และยังพูดอีกว่าอาร์ซาร์ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น ส่วนคุณหมอก็โต้ตอบกลับว่าเธอทำหน้าที่ของเธอเต็มที่ ด้วยการรีบไปดูอาการก่อน เพราะนักเตะคนนี้เป็นกำลังหลักของทีม
เรื่องนี้ผมว่าทีแรกก็ไม่มีอะไรมากเป็นเรื่องความเห็นไม่ตรงกันภายใต้สถานการณ์กดดัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เรื่องนี้ดันไม่จบเพราะหลังจากนั้นคุณหมอได้ออกมาพูดให้บิ๊กบอสทีมเชลซีออกมาขอโทษ แต่แทนที่เธอจะได้คำขอโทษ เธอกลับโดนคำสั่งไม่ให้ไปกับทีมในการแข่งนัดล่าสุดกับทีมแมนเซสเตอร์ ซิตี้ โดยให้หมอท่านอื่นไปทำหน้าที่แทน
จนล่าสุดเลยมีคำวิจารณ์จากทางฝ่ายหมอท่านอื่นๆหรือแม้แต่สมาคมแพทย์ของพรีเมียร์ลีกออกมาแถลงข่าวเข้าข้างคุณหมออีวาเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องตามดูกันต่อไปว่าเรื่องนี้จะจบลงยังไง
สำหรับผม หากมองในมุมผู้จัดการทีมหรือโค้ชก็ต้องบอกว่ามูรินโญ่เองก็ไม่ผิดถ้าจะห่วงเกมในสนามก่อน เพราะตอนั้นทีมก็เสียเปรียบตัวผู้เล่นอยู่แล้ว ถ้ามีใครที่ต้องออกมาปฐมพยาบาลนอกสนามอีก ทีมก็จะยิ่งเสียเปรียบ
แต่ในขณะเดียวกันเขาเองก็ไม่ควรโมโหใช้คำพูดไม่เหมาะสมกับคุณหมออีวาแบบนั้น ซึ่งถือเป็นการไม่ให้เกียรติกับเพื่อนร่วมงาน รวมไปถึงเป็นการเหมือนกับเหยียดเพศไปด้วย
และถ้ามองในมุมของหมอเอวา ชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อนักเตะอาการไม่ดีการรีบเข้าไปตรวจก็เป็นเรื่องจำเป็น สมมุตินะครับว่าถ้าวันนั้นอาร์ซาร์เกิดเจ็บหนักขึ้นมา แล้วคุณหมอไม่เขาไปดูมูรินโญ่จะว่าคุณหมออีวาไหมครับว่าทำไมไม่เข้าไปดูและนักเตะคนเก่งของเขา
อีกทั้งหากมองในเชิงเพศสภาพแล้วคุณหมอเป็นผู้หญิง เด็กๆพวกเราเด็กผู้ชายมักถูกสอนมาให้เกียรติผู้หญิงเสมอๆ การกระทำของมูรินโญ่คือการไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลย ซึ่งอันนี้ถือว่าไม่แมนเอามากๆเลยละครับ
หมอกับโค้ช มีหน้าที่ ที่แตกต่างกัน หมอไม่เคยไปช่วยจัดตัวผู้เล่นหรือวางแผนอะไรในการแข่งขัน ขณะเดียวกันโค้ชเองก็ไม่ควรล้ำเส้นมาพูดว่านักบอลคนนี้เจ็บไม่หนัก อันนี้มันหน้าที่ของหมอครับ ต่างคนต่างมีหน้าที่ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เรื่องทำนองนี้ ในบ้านเราก็ใช่ย่อยนะครับ เรื่องโค้ชกีฬาระดับทีมชาติไทยแสดงอารมณ์และใช้ตำพูดไม่เหมาะสมก็มีข่าวอยู่เสมอ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2558 มีข่าวผู้ช่วยโค้ชในเกมส์การแข่งขันวอลเลย์บอลยุวชนหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี ใช้คำพูดไม่เหมาะสม ระหว่างการพักเวลานอกทางเทคนิคช่วงเซตที่ 2 สต๊าฟโค้ชทีมไทยได้เรียกนักกีฬา มาวางแผนปรับเกมการเล่น แต่กลับมีคำตำหนินักกีฬาด้วยคำพูดรุนแรงหยาบคาย ไม่เหมาะสม ได้ยินทั้งเสียงและภาพไปทั่วประเทศขณะถ่ายทอดสด ในการแข่งขันชิงแชมป์โลก 2015 ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู ซึ่งทีมชาติไทยพ่ายแพ้โดมินิกัน 0-3 เซต ได้อันดับที่ 18 ของการแข่งขัน
ผมว่าในสถานการณ์กดดันอย่างการแข่งขันกีฬาแมตช์สำคัญๆ การควบคุม ความเครียด อารมณ์โกรธฉุนเฉียวเป็นเรื่องสำคัญ การทำงานเป็นทีมจะประสบความสำเร็จได้จำเป็นต้องมีการสื่อสารที่ดี การกราดเกรี้ยวโดยใช้ความรุนแรงหรือด้วยคำพูดไม่เหมาะสม ไม่ได้เกิดผลดีต่อทีมหรือตัวผู้พูดเอง
อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าการทำงานเป็นทีม เป็นเรื่องปกติที่แต่ละฝ่ายมีหน้าที่ต่างกัน แม้จะหวังดีต่อทีมทำเพื่อทีม แต่การมองอะไรจากมุมมองที่ต่างกัน คิดต่างกัน เป็นเรื่องธรรมดา การควบคุมอารมณ์ มีสติ ให้เกียรติกัน รับฟังความคิดเห็น มีการพูดคุยกันปรับมุมมองเข้าหากัน รวมไปถึงการหันหน้าเข้าหากันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
สำหรับคนไทย มักมีคนพูดว่า คนไทยมีจุดอ่อนข้อด้อยในการทำงานเป็นทีม หรือเล่นกีฬาเป็นทีม แต่หลายกรณี ผมว่าคนไทยทำงานเป็นทีมได้ประสพความสำเร็จตั้งมากมาย สุดท้ายก็หวังว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดีครับ ไม่ใช้ต่างคนต่างคาใจอีกฝ่าย การขอโทษก่อนไม่ได้แปลว่าคุณจะผิด แต่บางครั้งมันคือการเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน
เมื่อสัปดาห์ก่อนเป็นสัปดาห์แรกของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ เป็นฟุตบอลลีกสูงสุดยอดฮิตของ คนทั้งโลก รวมถึงคนไทยส่วนใหญ่
เริ่มสัปดาห์แรกของฟุตบอลอังกฤษ ก็มีประเด็นเลยทีเดียวครับไม่ใช่เรื่องฟอร์มการเล่นของทีมไหน ไม่ใช่ผลการแข่งขันที่พลิกล็อค เมื่อโชเซ่ มูรินโญ่ โค้ชโหวกเหวกโวยวายด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวข้างสนาม ขณะแพทย์สาวประจำทีม คือ อีวา การ์เน่โร่ เข้าไปปฐมพยาบาล เอเดน อาร์ซาร์ ปีกของทีมซึ่งได้รับบาดเจ็บในช่วงท้ายเกม แมตช์ที่เสมอกับสวอนซี ซิตี้ 2 – 2
มูรินโญ่ เจ้าของฉายาเดอะสเปเซี่ยลวัน อารมณ์เสียใส่คุณหมอสาวกลางสนาม และยังพูดอีกว่าอาร์ซาร์ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น ส่วนคุณหมอก็โต้ตอบกลับว่าเธอทำหน้าที่ของเธอเต็มที่ ด้วยการรีบไปดูอาการก่อน เพราะนักเตะคนนี้เป็นกำลังหลักของทีม
เรื่องนี้ผมว่าทีแรกก็ไม่มีอะไรมากเป็นเรื่องความเห็นไม่ตรงกันภายใต้สถานการณ์กดดัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เรื่องนี้ดันไม่จบเพราะหลังจากนั้นคุณหมอได้ออกมาพูดให้บิ๊กบอสทีมเชลซีออกมาขอโทษ แต่แทนที่เธอจะได้คำขอโทษ เธอกลับโดนคำสั่งไม่ให้ไปกับทีมในการแข่งนัดล่าสุดกับทีมแมนเซสเตอร์ ซิตี้ โดยให้หมอท่านอื่นไปทำหน้าที่แทน
จนล่าสุดเลยมีคำวิจารณ์จากทางฝ่ายหมอท่านอื่นๆหรือแม้แต่สมาคมแพทย์ของพรีเมียร์ลีกออกมาแถลงข่าวเข้าข้างคุณหมออีวาเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องตามดูกันต่อไปว่าเรื่องนี้จะจบลงยังไง
สำหรับผม หากมองในมุมผู้จัดการทีมหรือโค้ชก็ต้องบอกว่ามูรินโญ่เองก็ไม่ผิดถ้าจะห่วงเกมในสนามก่อน เพราะตอนั้นทีมก็เสียเปรียบตัวผู้เล่นอยู่แล้ว ถ้ามีใครที่ต้องออกมาปฐมพยาบาลนอกสนามอีก ทีมก็จะยิ่งเสียเปรียบ
แต่ในขณะเดียวกันเขาเองก็ไม่ควรโมโหใช้คำพูดไม่เหมาะสมกับคุณหมออีวาแบบนั้น ซึ่งถือเป็นการไม่ให้เกียรติกับเพื่อนร่วมงาน รวมไปถึงเป็นการเหมือนกับเหยียดเพศไปด้วย
และถ้ามองในมุมของหมอเอวา ชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อนักเตะอาการไม่ดีการรีบเข้าไปตรวจก็เป็นเรื่องจำเป็น สมมุตินะครับว่าถ้าวันนั้นอาร์ซาร์เกิดเจ็บหนักขึ้นมา แล้วคุณหมอไม่เขาไปดูมูรินโญ่จะว่าคุณหมออีวาไหมครับว่าทำไมไม่เข้าไปดูและนักเตะคนเก่งของเขา
อีกทั้งหากมองในเชิงเพศสภาพแล้วคุณหมอเป็นผู้หญิง เด็กๆพวกเราเด็กผู้ชายมักถูกสอนมาให้เกียรติผู้หญิงเสมอๆ การกระทำของมูรินโญ่คือการไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลย ซึ่งอันนี้ถือว่าไม่แมนเอามากๆเลยละครับ
หมอกับโค้ช มีหน้าที่ ที่แตกต่างกัน หมอไม่เคยไปช่วยจัดตัวผู้เล่นหรือวางแผนอะไรในการแข่งขัน ขณะเดียวกันโค้ชเองก็ไม่ควรล้ำเส้นมาพูดว่านักบอลคนนี้เจ็บไม่หนัก อันนี้มันหน้าที่ของหมอครับ ต่างคนต่างมีหน้าที่ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เรื่องทำนองนี้ ในบ้านเราก็ใช่ย่อยนะครับ เรื่องโค้ชกีฬาระดับทีมชาติไทยแสดงอารมณ์และใช้ตำพูดไม่เหมาะสมก็มีข่าวอยู่เสมอ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2558 มีข่าวผู้ช่วยโค้ชในเกมส์การแข่งขันวอลเลย์บอลยุวชนหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี ใช้คำพูดไม่เหมาะสม ระหว่างการพักเวลานอกทางเทคนิคช่วงเซตที่ 2 สต๊าฟโค้ชทีมไทยได้เรียกนักกีฬา มาวางแผนปรับเกมการเล่น แต่กลับมีคำตำหนินักกีฬาด้วยคำพูดรุนแรงหยาบคาย ไม่เหมาะสม ได้ยินทั้งเสียงและภาพไปทั่วประเทศขณะถ่ายทอดสด ในการแข่งขันชิงแชมป์โลก 2015 ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู ซึ่งทีมชาติไทยพ่ายแพ้โดมินิกัน 0-3 เซต ได้อันดับที่ 18 ของการแข่งขัน
ผมว่าในสถานการณ์กดดันอย่างการแข่งขันกีฬาแมตช์สำคัญๆ การควบคุม ความเครียด อารมณ์โกรธฉุนเฉียวเป็นเรื่องสำคัญ การทำงานเป็นทีมจะประสบความสำเร็จได้จำเป็นต้องมีการสื่อสารที่ดี การกราดเกรี้ยวโดยใช้ความรุนแรงหรือด้วยคำพูดไม่เหมาะสม ไม่ได้เกิดผลดีต่อทีมหรือตัวผู้พูดเอง
อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าการทำงานเป็นทีม เป็นเรื่องปกติที่แต่ละฝ่ายมีหน้าที่ต่างกัน แม้จะหวังดีต่อทีมทำเพื่อทีม แต่การมองอะไรจากมุมมองที่ต่างกัน คิดต่างกัน เป็นเรื่องธรรมดา การควบคุมอารมณ์ มีสติ ให้เกียรติกัน รับฟังความคิดเห็น มีการพูดคุยกันปรับมุมมองเข้าหากัน รวมไปถึงการหันหน้าเข้าหากันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
สำหรับคนไทย มักมีคนพูดว่า คนไทยมีจุดอ่อนข้อด้อยในการทำงานเป็นทีม หรือเล่นกีฬาเป็นทีม แต่หลายกรณี ผมว่าคนไทยทำงานเป็นทีมได้ประสพความสำเร็จตั้งมากมาย สุดท้ายก็หวังว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดีครับ ไม่ใช้ต่างคนต่างคาใจอีกฝ่าย การขอโทษก่อนไม่ได้แปลว่าคุณจะผิด แต่บางครั้งมันคือการเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน