ช่วงนี้เข้าสู่เทศกาลการ “รับน้องใหม่” ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ของนักศึกษายุคใหม่ ที่พูดเช่นนี้เพราะยุคเก่าๆ น่าจะเสร็จกันไปตั้งแต่กรกฎาคมแล้ว แต่พอเราเปลี่ยนมาเปิดปิดภาคเรียนตามเวลาแบบอาเซียน มันก็เลยต้องขยับออกไป พอถึงช่วงนี้ก็เริ่มมีดราม่าเดิมๆ กลับเข้ามาสู่ในหน้าพื้นที่ข่าว ทั้งการรับน้องแบบโหดๆ ที่น่าจะเหลือน้อยมากๆ จากเดิม ซึ่งก็เป็นผลจากผู้ที่เคยต่อต้านกันมาเมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว จนทำให้ลดระดับความรุนแรงลงเรื่อยๆ ทั้งระบบโซตัส วิธีการทำกิจกรรม และการข่มขู่ของรุ่นพี่ บางมหาวิทยาลัยอาจจะไม่มีแล้ว
อย่างที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผมได้เข้าไปร่วมประชุมผู้ปกครองในวันปฐมนิเทศ ... เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด พอดีน้องสาวของผมเพิ่งจะเป็นเฟรชชี่ของที่นี่ ผมก็ทำหน้าที่ลดภาระของบิดา มารดา ไปรับฟังข้อมูลแทน ... ทางคณบดี อาจารย์ และรุ่นพี่ผู้จัดกิจกรรม ก็ได้มาแนะนำตัวต่อผู้ปกครอง พร้อมอธิบายแผนของกิจกรรมต่างๆ ให้ได้ฟังแบบละเอียด พร้อมตอบข้อซักถามเพื่อความสบายใจของพวกเขา เนื่องจากคณะนี้ จะมีการออกต่างจังหวัดบ่อยมาก อย่างกิจกรรมรับน้องของที่นี่ก็กินเวลาไป ๑ เดือนเต็มเลยทีเดียว (แต่ไม่ได้ทำทุกวันนะ) บางกิจกรรมไม่ต้องเข้าก็ได้ (อันนี้รุ่นพี่เขาบอก แต่ในสถานการณ์จริงเป็นอย่างไรไม่อาจทราบได้) และทุกครั้งที่มีกิจกรรมทางมหาวิทยาลัยจะมีหนังสือมาให้ผู้ปกครองเซ็นรับทราบด้วย โดยรวมที่ได้ฟัง ผมถือว่าดี ที่คณะได้มีการแจกแจงเช่นนี้ ... ค่อยน่าให้ไปหน่อย
แล้วก็พลันนึกถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เล่า ซึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งเราเป็นเฟรชชี่ในรั้วพ่อขุน เมื่อ ๑๓ ปีที่แล้ว กับกิจกรรมการรับน้องที่โหดได้เรื่องถ้าเทียบกับสมัยนี้ และความผิดพลาดหรือสิ่งลี้ลับ? จนเกือบทำให้เพื่อนผมถึงกับเกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว ...
หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ “มหาวิทยาลัยรามคำแหง” เป็นตลาดวิชา แล้วมีรับน้องได้อย่างไร ไปกันแบบรายคณะเหมือนกับสถานศึกษาอื่นหรือเปล่า สมัยนี้ผมไม่ทราบครับ แต่ถ้าย้อนไปเมื่อตอนผมเข้าศึกษาชั้นปี ๑ คณะมนุษยศาสตร์ ในปี ๒๕๔๕ ตอนนั้นที่คณะก็ไม่มีครับ เราไปรับน้องจากการเข้าเป็นสมาชิกของ ซุ้ม หรือชมรม ที่มาต้อนรับเด็กใหม่ให้เข้าเป็นสมาชิกตอนวันสมัครเข้าเป็นนักศึกษา และเขาจะเรียกกิจกรรมนี้ว่า “ค่ายอาสาพัฒนาชนบท” แทน แต่ในหมู่พวกเรารู้กันว่า ก็ไปรับน้องนั่นล่ะ แต่เพิ่มการทำประโยชน์ให้แก่สถานที่ที่ไปใช้บริการด้วย
รามฯ ในยุคนั้นมีซุ้มมากมาย แบ่งชื่อเป็นทั้งหมวดสาขา โรงเรียน ภูมิภาค และถิ่นกำเนิด เท่าที่จำได้เคยมีผู้เล่าว่า ส่วนใหญ่ก็สังกัดพรรคการเมืองภายในมหาวิทยาลัย หากปีไหนพรรคที่ซุ้มนั้นสังกัดชนะการเลือกตั้งองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง (อศมร.) ปีนั้นก็จะได้งบประมาณไปจัดกิจกรรมมากหน่อย หากไม่ได้รับเลือกก็จะต้องไปหาสปอนเซอร์จัดกิจกรรมกันหนักหน่อย ทั้งติดต่อกับบริษัทใหญ่ๆ รุ่นพี่ที่ทำงานไปแล้ว และการออกตระเวนขอรับบริจาคตามสถานที่ต่างๆ
เอาเข้าจริงๆ ตอนที่มาอยู่ซุ้มนี้ (ไม่ขอเอ่ยนามนะครับ) ก็งงๆ เหมือนกัน ที่ต้องมาร้องเพลงเชียร์ของอำเภอๆ หนึ่งซึ่งเราไม่เคยผูกพันในวัยเยาว์แม้แต่น้อย (จนป่านนี้ก็ยังไม่เคยไปเที่ยวเลย ฮ่าๆๆ) แต่มาเพราะรุ่นพี่เขาชวนด้วยท่าทีที่เป็นมิตรมากๆ จนสุดท้ายก็ได้ตกลงปลงใจไปร่วมกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทกับเขา
และเรื่องมันก็เกิดขึ้น (เท่าที่จำความได้) ดังนี้ ...
(คำเตือน ไม่ควรอ่านระหว่างทานข้าว อาจทำให้ท่านผู้อ่านรู้สึกอาหารไม่อร่อยได้)
รถบัสของซุ้มเรานำนักศึกษาออกจากมหาวิทยาลัยประมาณเที่ยงคืนได้ มุ่งตรงไปสู่ จ.กาญจนบุรี แหล่งที่เราจะไปทำค่ายอาสาฯ ระบบของรุ่นพี่จะแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ พี่เลี้ยงประจำกลุ่ม เป็นพวกปี ๒ - ๓ ก่อนไปค่ายจะเป็นแผนกรับสมัครน้อง และไปหาตังค์ , พี่สันทนาการ และ พี่สวัสดิการ มีหน้าที่ไปเซอร์เวย์สถานที่ จัดเตรียมกิจกรรม คุยกับชุมชน ดูแลความปลอดภัยของนักศึกษาทั้งหมด แน่นอนว่าตอนอยู่บนรถเราจะเห็นแต่หน้าพี่กลุ่มที่ ๑ และ ๒ สร้างความสุขให้เราตลอด จนกระทั่งถึงเวลาหนึ่งก็ปิดไฟนอนหลับ
และจู่ๆ รถคันนี้ก็จอดนิ่งสนิท สิ่งที่เห็นผ่านหน้าต่างของรถบัสปรับอากาศตามสภาวะแวดล้อมคือแปลงไร่สับปะรด กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แล้ว ... โรงเรียนจุดหมายอยู่ทางไหน หลายคนคงคิด แต่สำหรับผมผู้ผ่านค่ายมามากมายก็รู้ทันทีว่า พี่แม่งเล่นกูแล้ว ... และไม่นานนักก็มีเสียงคนเคาะรถอย่างรุนแรง พร้อมคำตะโกนข่มขู่ให้ลงจากรถ ส่วนรุ่นพี่ผู้หญิงก็ต่างหวีดร้องส่งสัญญาณให้เด็กๆ ตื่น หลายคนตกใจสีหน้าไม่สู้ดี แต่ก็ยอมลงมาจนครบ พี่สวัสดิฯ จึงนำเชือกแล้วให้พี่เลี้ยงมาผูกที่ข้อมือต่อๆ กัน โดยแบ่งผู้ชายคนหนึ่งอยู่ด้านหน้าสุด อีกคนอยู่ท้ายสุด คุมตรงกลางซึ่งมีแต่ผู้หญิงล้วนๆ แล้วจึงเอาผ้าปิดตา แล้วให้เดินตามคนหน้าสุดที่มองเห็นเพราะไม่ได้ปิดตา อันนี้ในภายหลังอ้างว่า เพื่อให้รู้สึกไว้ใจกัน
เสียงที่ข่มขู่มาต่อเนื่องหลายๆ ประโยค แม้จะไร้ซึ่งคำหยาบ แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าอยากให้ผ่านเวลานี้ไปเร็วๆ นัก เพราะมันมาพร้อมกับคำสั่ง ที่ไม่รู้จะสั่งทำไม เช่น หมอบ คลาน กลิ้ง กับพื้นดินทรายในไร่ รวมถึงให้ผมและเพื่อนผู้ชายอีกคน ลงไปในบึงน้ำตื้นราวหน้าอกตอนประมาณตีสี่ เพื่อเก็บรองเท้าที่รุ่นพี่โยนลงไป (จังหวะนี้ไม่ได้ผูกตา และแกะเชือกออกชั่วคราว) ...
ฟ้าที่มืดเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ... กลุ่มของผมก็ฝ่าด่านนรกมาถึงโรงเรียนได้สำเร็จ
ทุกคนเมื่อมากันครบก็นั่งล้อมวงรอฟังคำสั่งในกิจกรรมใหม่ ... ผมมองดูในวง กลับไม่เห็นเพื่อนสนิทที่มาด้วยกันแต่อยู่คนละกลุ่ม ในครั้งแรกก็ไม่นึกแปลกใจเท่าใด จนกระทั่ง มันเดินออกมาจากป่าเป็นคนสุดท้าย ... ผมงงมาก เพื่อนผมหลงไปได้อย่างไร ผมก็รีบลุกไปดูแต่ถูกรุ่นพี่เบรกเอาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะพาเพื่อนผมแยกไปนั่งพักและสอบถามอาการ แล้วปล่อยให้พวกที่เหลือเดินกิจกรรมต่อ ... กิจกรรมที่ว่า ก็คือ การแปรงฟันโดยใช้น้ำในถังเดียวกัน ... ฟังดูไม่น่ามีอะไร แต่เขาให้บ้วนน้ำลงในถังนั้นแทนการบ้วนลงบนพื้นหญ้า เมื่อคนถัดมาก็นำน้ำในถังนั้นกลั้วปากแล้วบ้วนลงไปในถังเดิม วนไปเรื่อยๆ จนครบวง... โดยอ้างว่า เพื่อไม่ให้รู้สึกรังเกียจกัน ...
ผ่านกิจกรรมที่ดูไม่เป็นมิตรต่อร่างกายเสร็จ ผมกับเพื่อนสมัยมัธยมอีกคน (ปัจจุบันคือภรรยาของเพื่อนคนนี้) ก็รีบมาดูเพื่อนผมซึ่งอยู่ทิ้งไว้ในห้องน้ำคนเดียว สภาพอาการย่ำแย่มาก ใบหน้าซีดเซียว บ่นว่าหนาว ผมเดินไปต่อว่ารุ่นพี่ในทันที ทำไมถึงปล่อยให้เพื่อนเป็นเช่นนี้ พี่เลี้ยงหลายคนตกใจกับเหตุที่เกิดขึ้น บางคนถึงกับร้องไห้ เพราะไม่คิดว่าจะมีเรื่อง สุดท้ายจึงติดต่อให้พี่ที่จบไปแล้วและมาสังเกตุการณ์ เป็นคนนำไปส่งโรงพยาบาล ทราบในเวลาต่อมาว่า เป็นไข้จับสั่น (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
คำถามคือ เพื่อนผมหลงได้อย่างไร? ...
จากปากคำของเพื่อนผมตอนออกมาจากป่าคือ ถูกทิ้งเอาไว้ในระหว่างที่สั่งยืนพัก มันยืนอยู่ตรงนั้นราวๆ ๑๐ นาที จนเงียบเสียงโหวกเหวกโวยวายแล้วสักพัก จึงเปิดผ้าปิดตาออกมาดู แล้วก็พบว่า ... ทุกคนหายไปหมด เหลือมันอยู่คนเดียวกลางป่า มันจึงเดินออกมาตามแสงไฟที่ปลายทางไปเรื่อยๆ จนมาได้พบกับพวกผมที่นั่งอยู่ ... แต่ทางฝั่งคนในกลุ่มของเพื่อนผมก็กลับเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่พักเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางกัน โดยรู้สึกได้ว่าเพื่อนผมก็ยังเดินตามมาข้างหลังอยู่ตลอด .... นี่ก็ยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ว่า แล้วใคร ที่เดินตามมา?
กิจกรรมทุกอย่างยังดำเนินต่อไป เรียกได้ว่าเป็น ๑ วันอันหฤโหดจริงๆ เขาให้พวกเราเข้าตามฐานต่างๆ และทำตามคำสั่ง เท่าที่จำได้ก็มีเด็ดๆ อย่างให้ผู้ชายนอนลง ถอดเสื้อ เอาน้ำหวานสีแดงราดตัว โรยด้วยน้ำข้นหวาน แล้ววางลูกอมไว้บนตัว ก่อนที่จะให้ผู้หญิงใช้ลิ้นลากลูกอมวนไล่ตั้งแต่หน้าอกลงไปยังสะดือ ๑ รอบ โดยให้ผู้ชายอ่านเรื่องเล่าจากหนังสือโป๊ให้รุ่นพี่ฟังเสียงดังๆ ... นี่ก็ไม่รู้ว่าให้ทำทำไม ... เขาบอกทดสอบจิตใจ ... หรอ?? ... หรืออย่าง กิจกรรมซูเปอร์แมน ให้ไปเข้าพุ่มไม้แล้วหาวิธีเอากางเกงในออกมาใส่ทับกางเกง หรือที่ให้แขวนป้ายเขียวคำด่ารุ่นพี่ แล้วถ้าเจอรุ่นพี่คนในชื่อจะต้องถูกทำโทษ เพราะเราไม่เคารพ ... ใช่เหรอวะ?
หลังจากเสร็จอะไรพวกนี้ ก็เข้าสู่เรื่องตามธรรมเนียมนั่นคือ บายศรีสู่ขวัญ มีการหยดเทียนโดยให้รุ่นน้องนำน้ำตาเทียนหยดใส่มือพี่ เพื่อเป็นการไถ่โทษ รวมทั้งละครเวที ที่เคยเจอๆ กันมาในค่ายลูกเสือตั้งแต่สมัยมัธยม นอกจากนี้ก็ยังมี การบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน อย่าง ทาสีสนามเด็กเล่นให้เด็ก ปลูกต้นไม้ และร่วมกันทำกิจกรรมกับเด็กนักเรียนในวันถัดไป มีการมอบของ อุปกรณ์การเรียน เครื่องกีฬา และทุนการศึกษาให้แก่โรงเรียน ก่อนพากลับสู่มหาวิทยาลัย ...
ถามว่า กิจกรรมเกิดขึ้นมันสมเหตุสมผลหรือไม่ ตอบเลยว่า ไม่ แม้ว่าจะดูเบาที่สุดในยุคนั้น เพราะมีข้อห้ามพี่สวัสดิฯ แตะต้องน้องโดยเด็ดขาด ซึ่งต่างจากบางแห่ง ที่เขาเล่ากันมาว่า สามารถทำได้ แต่ผม ณ เวลานั้นก็ยังมองว่า มันควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ คือ เราเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อมาเรียนไปประกอบอาชีพนะเว้ย ไม่ใช่ไปรบ ถ้าเปลี่ยนจากการว้าก และกิจกรรมเลอะเทอะ เป็นไปเพิ่มการทำสาธารณะที่ทำให้ได้รู้จักกัน หรือมีอะไรที่ให้ใช้หัวคิดร่วมกันผลิตงานอันสร้างสรรค์ รวมทั้งการละลายพฤติกรรม สร้างสามัคคีในหมู่คณะ แท้จริงแล้วก็มีอีกหลากหลายวิธีที่ไม่ต้องมาล้มลุกคลุกคลานขนาดนี้ ...
แต่ก็อย่างว่า ... สุดท้าย มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของผมนะ ... อย่างน้อยก็ได้มาเล่าเป็นประสบการณ์ให้พวกคุณได้อ่านไง
ว่าแต่น้องสาวผม จะถูกรับน้องยังไงกันบ้างนะ?
อย่างที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผมได้เข้าไปร่วมประชุมผู้ปกครองในวันปฐมนิเทศ ... เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด พอดีน้องสาวของผมเพิ่งจะเป็นเฟรชชี่ของที่นี่ ผมก็ทำหน้าที่ลดภาระของบิดา มารดา ไปรับฟังข้อมูลแทน ... ทางคณบดี อาจารย์ และรุ่นพี่ผู้จัดกิจกรรม ก็ได้มาแนะนำตัวต่อผู้ปกครอง พร้อมอธิบายแผนของกิจกรรมต่างๆ ให้ได้ฟังแบบละเอียด พร้อมตอบข้อซักถามเพื่อความสบายใจของพวกเขา เนื่องจากคณะนี้ จะมีการออกต่างจังหวัดบ่อยมาก อย่างกิจกรรมรับน้องของที่นี่ก็กินเวลาไป ๑ เดือนเต็มเลยทีเดียว (แต่ไม่ได้ทำทุกวันนะ) บางกิจกรรมไม่ต้องเข้าก็ได้ (อันนี้รุ่นพี่เขาบอก แต่ในสถานการณ์จริงเป็นอย่างไรไม่อาจทราบได้) และทุกครั้งที่มีกิจกรรมทางมหาวิทยาลัยจะมีหนังสือมาให้ผู้ปกครองเซ็นรับทราบด้วย โดยรวมที่ได้ฟัง ผมถือว่าดี ที่คณะได้มีการแจกแจงเช่นนี้ ... ค่อยน่าให้ไปหน่อย
แล้วก็พลันนึกถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เล่า ซึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งเราเป็นเฟรชชี่ในรั้วพ่อขุน เมื่อ ๑๓ ปีที่แล้ว กับกิจกรรมการรับน้องที่โหดได้เรื่องถ้าเทียบกับสมัยนี้ และความผิดพลาดหรือสิ่งลี้ลับ? จนเกือบทำให้เพื่อนผมถึงกับเกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว ...
หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ “มหาวิทยาลัยรามคำแหง” เป็นตลาดวิชา แล้วมีรับน้องได้อย่างไร ไปกันแบบรายคณะเหมือนกับสถานศึกษาอื่นหรือเปล่า สมัยนี้ผมไม่ทราบครับ แต่ถ้าย้อนไปเมื่อตอนผมเข้าศึกษาชั้นปี ๑ คณะมนุษยศาสตร์ ในปี ๒๕๔๕ ตอนนั้นที่คณะก็ไม่มีครับ เราไปรับน้องจากการเข้าเป็นสมาชิกของ ซุ้ม หรือชมรม ที่มาต้อนรับเด็กใหม่ให้เข้าเป็นสมาชิกตอนวันสมัครเข้าเป็นนักศึกษา และเขาจะเรียกกิจกรรมนี้ว่า “ค่ายอาสาพัฒนาชนบท” แทน แต่ในหมู่พวกเรารู้กันว่า ก็ไปรับน้องนั่นล่ะ แต่เพิ่มการทำประโยชน์ให้แก่สถานที่ที่ไปใช้บริการด้วย
รามฯ ในยุคนั้นมีซุ้มมากมาย แบ่งชื่อเป็นทั้งหมวดสาขา โรงเรียน ภูมิภาค และถิ่นกำเนิด เท่าที่จำได้เคยมีผู้เล่าว่า ส่วนใหญ่ก็สังกัดพรรคการเมืองภายในมหาวิทยาลัย หากปีไหนพรรคที่ซุ้มนั้นสังกัดชนะการเลือกตั้งองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง (อศมร.) ปีนั้นก็จะได้งบประมาณไปจัดกิจกรรมมากหน่อย หากไม่ได้รับเลือกก็จะต้องไปหาสปอนเซอร์จัดกิจกรรมกันหนักหน่อย ทั้งติดต่อกับบริษัทใหญ่ๆ รุ่นพี่ที่ทำงานไปแล้ว และการออกตระเวนขอรับบริจาคตามสถานที่ต่างๆ
เอาเข้าจริงๆ ตอนที่มาอยู่ซุ้มนี้ (ไม่ขอเอ่ยนามนะครับ) ก็งงๆ เหมือนกัน ที่ต้องมาร้องเพลงเชียร์ของอำเภอๆ หนึ่งซึ่งเราไม่เคยผูกพันในวัยเยาว์แม้แต่น้อย (จนป่านนี้ก็ยังไม่เคยไปเที่ยวเลย ฮ่าๆๆ) แต่มาเพราะรุ่นพี่เขาชวนด้วยท่าทีที่เป็นมิตรมากๆ จนสุดท้ายก็ได้ตกลงปลงใจไปร่วมกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทกับเขา
และเรื่องมันก็เกิดขึ้น (เท่าที่จำความได้) ดังนี้ ...
(คำเตือน ไม่ควรอ่านระหว่างทานข้าว อาจทำให้ท่านผู้อ่านรู้สึกอาหารไม่อร่อยได้)
รถบัสของซุ้มเรานำนักศึกษาออกจากมหาวิทยาลัยประมาณเที่ยงคืนได้ มุ่งตรงไปสู่ จ.กาญจนบุรี แหล่งที่เราจะไปทำค่ายอาสาฯ ระบบของรุ่นพี่จะแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ พี่เลี้ยงประจำกลุ่ม เป็นพวกปี ๒ - ๓ ก่อนไปค่ายจะเป็นแผนกรับสมัครน้อง และไปหาตังค์ , พี่สันทนาการ และ พี่สวัสดิการ มีหน้าที่ไปเซอร์เวย์สถานที่ จัดเตรียมกิจกรรม คุยกับชุมชน ดูแลความปลอดภัยของนักศึกษาทั้งหมด แน่นอนว่าตอนอยู่บนรถเราจะเห็นแต่หน้าพี่กลุ่มที่ ๑ และ ๒ สร้างความสุขให้เราตลอด จนกระทั่งถึงเวลาหนึ่งก็ปิดไฟนอนหลับ
และจู่ๆ รถคันนี้ก็จอดนิ่งสนิท สิ่งที่เห็นผ่านหน้าต่างของรถบัสปรับอากาศตามสภาวะแวดล้อมคือแปลงไร่สับปะรด กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แล้ว ... โรงเรียนจุดหมายอยู่ทางไหน หลายคนคงคิด แต่สำหรับผมผู้ผ่านค่ายมามากมายก็รู้ทันทีว่า พี่แม่งเล่นกูแล้ว ... และไม่นานนักก็มีเสียงคนเคาะรถอย่างรุนแรง พร้อมคำตะโกนข่มขู่ให้ลงจากรถ ส่วนรุ่นพี่ผู้หญิงก็ต่างหวีดร้องส่งสัญญาณให้เด็กๆ ตื่น หลายคนตกใจสีหน้าไม่สู้ดี แต่ก็ยอมลงมาจนครบ พี่สวัสดิฯ จึงนำเชือกแล้วให้พี่เลี้ยงมาผูกที่ข้อมือต่อๆ กัน โดยแบ่งผู้ชายคนหนึ่งอยู่ด้านหน้าสุด อีกคนอยู่ท้ายสุด คุมตรงกลางซึ่งมีแต่ผู้หญิงล้วนๆ แล้วจึงเอาผ้าปิดตา แล้วให้เดินตามคนหน้าสุดที่มองเห็นเพราะไม่ได้ปิดตา อันนี้ในภายหลังอ้างว่า เพื่อให้รู้สึกไว้ใจกัน
เสียงที่ข่มขู่มาต่อเนื่องหลายๆ ประโยค แม้จะไร้ซึ่งคำหยาบ แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าอยากให้ผ่านเวลานี้ไปเร็วๆ นัก เพราะมันมาพร้อมกับคำสั่ง ที่ไม่รู้จะสั่งทำไม เช่น หมอบ คลาน กลิ้ง กับพื้นดินทรายในไร่ รวมถึงให้ผมและเพื่อนผู้ชายอีกคน ลงไปในบึงน้ำตื้นราวหน้าอกตอนประมาณตีสี่ เพื่อเก็บรองเท้าที่รุ่นพี่โยนลงไป (จังหวะนี้ไม่ได้ผูกตา และแกะเชือกออกชั่วคราว) ...
ฟ้าที่มืดเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ... กลุ่มของผมก็ฝ่าด่านนรกมาถึงโรงเรียนได้สำเร็จ
ทุกคนเมื่อมากันครบก็นั่งล้อมวงรอฟังคำสั่งในกิจกรรมใหม่ ... ผมมองดูในวง กลับไม่เห็นเพื่อนสนิทที่มาด้วยกันแต่อยู่คนละกลุ่ม ในครั้งแรกก็ไม่นึกแปลกใจเท่าใด จนกระทั่ง มันเดินออกมาจากป่าเป็นคนสุดท้าย ... ผมงงมาก เพื่อนผมหลงไปได้อย่างไร ผมก็รีบลุกไปดูแต่ถูกรุ่นพี่เบรกเอาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะพาเพื่อนผมแยกไปนั่งพักและสอบถามอาการ แล้วปล่อยให้พวกที่เหลือเดินกิจกรรมต่อ ... กิจกรรมที่ว่า ก็คือ การแปรงฟันโดยใช้น้ำในถังเดียวกัน ... ฟังดูไม่น่ามีอะไร แต่เขาให้บ้วนน้ำลงในถังนั้นแทนการบ้วนลงบนพื้นหญ้า เมื่อคนถัดมาก็นำน้ำในถังนั้นกลั้วปากแล้วบ้วนลงไปในถังเดิม วนไปเรื่อยๆ จนครบวง... โดยอ้างว่า เพื่อไม่ให้รู้สึกรังเกียจกัน ...
ผ่านกิจกรรมที่ดูไม่เป็นมิตรต่อร่างกายเสร็จ ผมกับเพื่อนสมัยมัธยมอีกคน (ปัจจุบันคือภรรยาของเพื่อนคนนี้) ก็รีบมาดูเพื่อนผมซึ่งอยู่ทิ้งไว้ในห้องน้ำคนเดียว สภาพอาการย่ำแย่มาก ใบหน้าซีดเซียว บ่นว่าหนาว ผมเดินไปต่อว่ารุ่นพี่ในทันที ทำไมถึงปล่อยให้เพื่อนเป็นเช่นนี้ พี่เลี้ยงหลายคนตกใจกับเหตุที่เกิดขึ้น บางคนถึงกับร้องไห้ เพราะไม่คิดว่าจะมีเรื่อง สุดท้ายจึงติดต่อให้พี่ที่จบไปแล้วและมาสังเกตุการณ์ เป็นคนนำไปส่งโรงพยาบาล ทราบในเวลาต่อมาว่า เป็นไข้จับสั่น (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
คำถามคือ เพื่อนผมหลงได้อย่างไร? ...
จากปากคำของเพื่อนผมตอนออกมาจากป่าคือ ถูกทิ้งเอาไว้ในระหว่างที่สั่งยืนพัก มันยืนอยู่ตรงนั้นราวๆ ๑๐ นาที จนเงียบเสียงโหวกเหวกโวยวายแล้วสักพัก จึงเปิดผ้าปิดตาออกมาดู แล้วก็พบว่า ... ทุกคนหายไปหมด เหลือมันอยู่คนเดียวกลางป่า มันจึงเดินออกมาตามแสงไฟที่ปลายทางไปเรื่อยๆ จนมาได้พบกับพวกผมที่นั่งอยู่ ... แต่ทางฝั่งคนในกลุ่มของเพื่อนผมก็กลับเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่พักเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางกัน โดยรู้สึกได้ว่าเพื่อนผมก็ยังเดินตามมาข้างหลังอยู่ตลอด .... นี่ก็ยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ว่า แล้วใคร ที่เดินตามมา?
กิจกรรมทุกอย่างยังดำเนินต่อไป เรียกได้ว่าเป็น ๑ วันอันหฤโหดจริงๆ เขาให้พวกเราเข้าตามฐานต่างๆ และทำตามคำสั่ง เท่าที่จำได้ก็มีเด็ดๆ อย่างให้ผู้ชายนอนลง ถอดเสื้อ เอาน้ำหวานสีแดงราดตัว โรยด้วยน้ำข้นหวาน แล้ววางลูกอมไว้บนตัว ก่อนที่จะให้ผู้หญิงใช้ลิ้นลากลูกอมวนไล่ตั้งแต่หน้าอกลงไปยังสะดือ ๑ รอบ โดยให้ผู้ชายอ่านเรื่องเล่าจากหนังสือโป๊ให้รุ่นพี่ฟังเสียงดังๆ ... นี่ก็ไม่รู้ว่าให้ทำทำไม ... เขาบอกทดสอบจิตใจ ... หรอ?? ... หรืออย่าง กิจกรรมซูเปอร์แมน ให้ไปเข้าพุ่มไม้แล้วหาวิธีเอากางเกงในออกมาใส่ทับกางเกง หรือที่ให้แขวนป้ายเขียวคำด่ารุ่นพี่ แล้วถ้าเจอรุ่นพี่คนในชื่อจะต้องถูกทำโทษ เพราะเราไม่เคารพ ... ใช่เหรอวะ?
หลังจากเสร็จอะไรพวกนี้ ก็เข้าสู่เรื่องตามธรรมเนียมนั่นคือ บายศรีสู่ขวัญ มีการหยดเทียนโดยให้รุ่นน้องนำน้ำตาเทียนหยดใส่มือพี่ เพื่อเป็นการไถ่โทษ รวมทั้งละครเวที ที่เคยเจอๆ กันมาในค่ายลูกเสือตั้งแต่สมัยมัธยม นอกจากนี้ก็ยังมี การบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน อย่าง ทาสีสนามเด็กเล่นให้เด็ก ปลูกต้นไม้ และร่วมกันทำกิจกรรมกับเด็กนักเรียนในวันถัดไป มีการมอบของ อุปกรณ์การเรียน เครื่องกีฬา และทุนการศึกษาให้แก่โรงเรียน ก่อนพากลับสู่มหาวิทยาลัย ...
ถามว่า กิจกรรมเกิดขึ้นมันสมเหตุสมผลหรือไม่ ตอบเลยว่า ไม่ แม้ว่าจะดูเบาที่สุดในยุคนั้น เพราะมีข้อห้ามพี่สวัสดิฯ แตะต้องน้องโดยเด็ดขาด ซึ่งต่างจากบางแห่ง ที่เขาเล่ากันมาว่า สามารถทำได้ แต่ผม ณ เวลานั้นก็ยังมองว่า มันควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ คือ เราเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อมาเรียนไปประกอบอาชีพนะเว้ย ไม่ใช่ไปรบ ถ้าเปลี่ยนจากการว้าก และกิจกรรมเลอะเทอะ เป็นไปเพิ่มการทำสาธารณะที่ทำให้ได้รู้จักกัน หรือมีอะไรที่ให้ใช้หัวคิดร่วมกันผลิตงานอันสร้างสรรค์ รวมทั้งการละลายพฤติกรรม สร้างสามัคคีในหมู่คณะ แท้จริงแล้วก็มีอีกหลากหลายวิธีที่ไม่ต้องมาล้มลุกคลุกคลานขนาดนี้ ...
แต่ก็อย่างว่า ... สุดท้าย มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของผมนะ ... อย่างน้อยก็ได้มาเล่าเป็นประสบการณ์ให้พวกคุณได้อ่านไง
ว่าแต่น้องสาวผม จะถูกรับน้องยังไงกันบ้างนะ?