ต้องยอมรับว่าผู้บริหารซีพีออลล์นี่เก่งมาก การแถลงข่าวว่าการบอยคอตเซเว่น-อิเลฟเว่นมีผลกระทบต่อยอดขายและซีพีออลล์จะน้อมรับกระแสสังคมจะพิจารณาปรับปรุงการบริการต่อไป แค่นี้ก็เท่ากับช่วยปิดฉากฟีนาเล่ กระแสบอยคอตให้อลังการงานสร้างยิ่งขึ้น
ประหนึ่งว่าการเชิญชวนบอยคอตเซเว่นฯ เพื่อสั่งสอนเจ้าสัวได้รับชัยชนะสมบูรณ์แบบ ก็นี่ไง...ก้อๆ...ขนาดผู้บริหารของเขายอมรับเองว่ากระทบแล้วจะน้อมรับไปแก้ไขยังไง....ต้องยอมรับนะครับว่าการแสดงแบบนี้สร้างความพึงพอใจให้กับฝ่ายบอตคอตมากกว่าการออกมาโต้แบบทำนองที่ว่าไม่เห็นกระทบเลย ไม่ยี่หระเลย
ที่จริงแล้วการบอยคอตจะมีผลกระทบต่อยอดขายมากน้อยยังไงไม่ใช่เรื่องใหญ่ของมหาเศรษฐีซีพี. ขนาดน้ำท่วมใหญ่เมื่อสองปีก่อนกระทบมากกว่าเยอะซีพีออลล์ยังไม่ซวนเซเลย หมากว่าด้วยการจิตวิทยาสังคมนั้นชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า “จิตวิทยา” ดังนั้นมันไม่ได้เสียหายอะไรหากประกาศไปยอมๆ ไปว่าเรากระทบนะ พวกคุณแน่มาก เราจะยอมตามนั้น ซึ่งมันก็คือแฮปปี้เอนดิ้งจบๆ กันไป
แต่อย่างไรก็ตาม นี่มันแค่การชกยกเล็กๆ เท่านั้น... บทเรียนนี้ของซีพี.แม้จะยังไม่กระทบมากในแง่ของยอดขายแต่ก็ประมาทไม่ได้กับธุรกิจในภาพรวม อาณาจักรของซีพี.ไม่ได้มีแค่ค้าปลีก ซีพีออลล์นะครับ ยังมีอาหารสัตว์ อาคารคน การบริการสื่อสาร ฯลฯ และอะไรต่ออะไรมากมาย การสร้างภาพลักษณ์เป็นต้นทุนใหญ่ของธุรกิจยุคใหม่ ปลาหมึกยักษ์อย่างซีพี.ยื่นแขนขาไปทั่ว ไม่อะไรอย่างก็ต้องอะไรสักอย่าง...ปมที่สังคมเขาไม่พอใจซีพี.ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องขนมบานาน่านะครับ อย่างภาคเหนือปัญหาหมอกควันเขาก็พุ่งเป้าไปที่เจ้าสัวที่ส่งเสริมการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านราคาและปริมาณรับซื้อ ล่าสุดเห็นว่าตัวแทนบริษัทปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์ที่มีทั้ง ซีพี เบทราโกร และกรุงเทพโปรดิวส์ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์จะไปหารือกับจังหวัดและตัวแทนกลุ่มองค์กรของจังหวัดเชียงใหม่แก้ปัญหาข้าวโพดและหมอกควัน
ผมเชื่อว่าปัญหาหมอกควันและการรุกที่ป่าเขานั้น แก้ที่ภาคเอกชนฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะเอกชนอย่างเก่งก็ยอมปรับปรุงเฉพาะส่วนที่เขารับได้ เช่นจะรับซื้อจากแปลงที่ขึ้นทะเบียนไว้ (ไม่รุกป่า ไม่ปลูกบนดอย) เฉพาะแปลงข้าวโพดซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษใหญ่ มันก็มีกลุ่มที่ไปรุกป่า รุกต้นน้ำอีกราว 3 ล้านไร่จากพื้นที่ปลูกในภาคเหนือ 5 ล้านกว่าไร่ ... ต่อให้ซีพี เบทาโกร ประกาศยืนยันไม่ซื้อจากกลุ่มนี้เขาก็หาช่องไปขายที่อื่นได้ (แล้วก็วนกลับมายังยักษ์อาหารสัตว์และยักษ์ส่งออกอยู่ดี) เนื่องเพราะราคาข้าวโพดอาหารสัตว์ในตลาดโลกกำลังขึ้น ราคาดี ความต้องการสูง ปัญหานี้นอกจากซีพี/เบทาโกรแล้ว ภาครัฐก็ต้องร่วมลงมาแก้
หรือเรื่องที่คนทางใต้ไม่พอใจที่ซีพี.ไปรับซื้อปลาน้อยๆ จากอวนลากอวนรุนเขตทะเลชั้นในริมฝั่ง (ซึ่งไปแย่งอาชีพของประมงชายฝั่งเขาอีกต่างหาก) เพื่อไปทำปลาป่นผสมอาหารสัตว์ การแก้ปัญหาระยะยาวอย่างยั่งยืนไม่ใช่แค่ธุรกิจฝ่ายเดียวแต่ต้องมีภาครัฐร่วมแก้ด้วย
ทุนสามานย์ กับ รัฐสามานย์น่ะ อยู่ด้วยกัน ไปด้วยกันมายาวนาน !
ระบบราชการรวมศูนย์เขาไปด้วยกันกับทุนมานานแล้ว กำหนดกฎ กติกา เอื้อประโยชน์ให้กับทุนใหญ่มากกว่าประชาชนผู้บริโภคหรือผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรมาตั้งแต่ไหนแล้ว !!
ดังนั้นการบอยคอตเซ่เว่นสั่งสอนเจ้าสัวก็จะเป็นแค่อะไรเท่ๆ ที่ปลิวไปตามสายลม... หากว่ารัฐไทยไม่ยอมขยับช่วยแก้ (หรือประชาชนไม่กดดันให้ช่วย) ออกกฎหมายพรบ.แข่งขันทางการค้าให้รัดกุมและทันสมัย กำหนดเงื่อนไขการค้าที่เป็นธรรมจริงๆ เพื่อปกป้องทั้งผู้บริโภคและผู้ค้ารายเล็กรายน้อยในตลาด
ปัญหาความไม่เป็นธรรมในวงการค้าก็เช่นเดียวกับปัญหาทุนใหญ่เบียดบังทรัพยากรรวม ทำธุรกิจแบบก่อปัญหาให้ส่วนรวม ทุนใหญ่ได้ประโยชน์เต็มๆ จากการส่งเสริมให้ปลูกข้าวโพดไถตอซังสร้างมลพิษให้ภาคเหนือ เอาพื้นที่ป่าต้นน้ำมาเป็นแปลงข้าวโพดอาหารสัตว์จนดอยโล้นไปหมดตั้งแต่เลย น่าน เพชรบูรณ์ ล่าสุดที่เชียงใหม่ทั้งแม่แจ่ม เชียงดาวก็เริ่มโล้นแล้ว ปัญหานี้ภาคธุรกิจแก้ฝ่ายเดียวไม่ได้ต้องแก้ที่กฎหมายภาครัฐด้วย
แต่ปัญหาก็คือรัฐไทย ระบบราชการไทยเอียงไปทางทุนมากกว่าราษฎรไงล่ะครับ ทุนเห็นว่าข้าวโพดดี รัฐก็เห็นด้วยว่าดีๆๆ ...แล้วรัฐก็ช่วยทุนโดยส่งเสริมแบบไม่บันยะบันยัง โดยไม่สนด้วยว่าป่าต้นน้ำหรือมลพิษจะก่อความฉิบหายขนาดไหน
ข้าวโพดนี่ชัดเจน...เจ้าสัวเห็นว่าข้าวโพดกำลังดี อาหารสัตว์เป็นที่ต้องการ ส่งออกก็ได้เพราะตลาดโลกกำลังดี กระทรวงเกษตรออกประกาศกระทรวงฯกำหนดเขตพื้นที่เหมาะสมปลูกข้าวโพด ลงวันที่ 5 ก.พ.2556 ปีที่หมอกควันมลพิษเยอะๆ นั่นล่ะ โซนนิ่งให้พื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัดเป็นเขตส่งเสริมปลูกข้าวโพด แต่ก็ดันขีดพื้นที่ต้นน้ำดอยสูงให้ไป อย่างเชียงใหม่ มีเชียงดาว ไชยปราการ ฝาง พร้าว ดอยเต่า ดอยสะเก็ด ลงลึกไประดับตำบล เชียงดาว มีตำบลเมืองนะที่ราชการบอกว่าเหมาะสม วันก่อนพรรคพวกซึ่งมีคุณนิคม พุทธาเป็นแกนนำไปสำรวจป่าต้นน้ำแม่ปิง ที่ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว ปรากฏเป็นไปตามที่ราชการ(และเจ้าสัว) ต้องการ ไปพบว่าพื้นที่ตำบลเมืองนะโล้นเลี่ยนไปทั้งดอย
คือระบบราชการบ้านเราบริหารแบบทางใครทางมัน กระทรวงทรัพย์และกรมป่าไม้คอยรักษาต้นน้ำ ส่วนกระทรวงเกษตรส่งเสริมให้ถางปลูกพืช ปมปัญหาคือ ต.เมืองนะ เชียงดาวน่ะมันเป็นเขตป่าต้นน้ำแม่น้ำปิงครับ ในทางวิชาการเขาบอกมานานแล้วว่าป่าต้นน้ำน่ะต้องดูความสมบูรณ์ทั้งม่อนดอยทิวเขาทั้งเทือก ดูว่าสามารถจะอุ้มน้ำและสร้างความชุ่มชื้นได้ขนาดไหน แต่นี่เล่นขีดเส้น ป่าที่กรมป่าไม้คอยดูก็ดูไป...ส่วนที่จะถางปลูกข้าวโพดก็ถางไป นี่มันเป็นเสียอย่างนี้
ระบบราชการบ้านเรามันคนละหนุบหนับแบบนี้ทุนยิ้ม แต่ชาวบ้านตายครับ ยิ่งมาดูตัวเลขของอีกหน่วยคือกรมพัฒนาที่ดินบอกว่า ภาคเหนือมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดประมาณ 5.5 ล้านไร่ เป็นพื้นที่เหมาะสมสูงราวๆ 5 แสนไร่ เหมาะสมปานกลาง 5 แสนกว่าไร่ เหมาะสมเล็กน้อย 8 แสนกว่าไร่ ... แล้วก็เป็นพื้นที่ไม่เหมาะสมกับเป็นพื้นที่ป่า รวมกันกว่า 3 ล้านไร่!!
บ้าไหมครับประเทศนี้ ! ส่งเสริมปลูกข้าวโพดทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นที่ไม่เหมาะสม 3 ล้านไร่ จากทั้งหมด 5 ล้านไร่ !!!
หากคนไทยต้องการให้เจตนารมณ์ของการต่อสู้ให้เกิดการค้าการบริการที่เป็นธรรม ทุนใหญ่ไม่เอาเปรียบ ทุนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพและทรัพยากรขึ้นมาจริงแล้วไซร้...คนไทยต้องพุ่งเป้าไปที่ภาครัฐด้วย !!!
เพราะรัฐหรือระบบราชการรวมศูนย์กับทุนน่ะ..เขามาด้วยกัน ไปด้วยกัน และอิ่มด้วยกัน!!
คนไทย แม่ค้าพ่อค้าตัวเล็กตัวน้อย SME และผู้บริโภคก็จะยังถูกเอาเปรียบอยู่ดี เพราะหากไม่มีการแก้กฎหมายแข่งขันทางการค้า กำหนดเงื่อนไขที่รัดกุมขึ้น ต่อให้เจ้าสัวรายนี้ไม่ทำ ก็จะมีเจ้าสัวอีกรายทำอยู่ดี เพราะธรรมชาติของทุนนั้นมันจะไหลเซาะหาช่องทำกำไรสูงสุดไปเรื่อยตามที่กฎหมายเปิดช่องให้
คนภาคเหนือก็จะยังเจอมลพิษหมอกควันแถมป่าต้นน้ำฉิบหายอยู่ต่อไป แม้บริษัทรับซื้อข้าวโพดจะจับมือกันบอกว่าจะรับซื้อเฉพาะแปลงที่ลงทะเบียนทำถูกต้อง...อ้าว!! แล้วไอ้ที่ไม่ถูกต้องที่กระทรวงเกษตรฯไปประกาศส่งเสริมอยู่นั่นล่ะ ? ดังนั้น มีแต่ราชการต้องประกาศโซนนิ่งพืชเกษตรเสียใหม่ ปกป้องพื้นที่ป่าต้นน้ำและดอยสูงให้ปราศจากพืชไร่ที่ถางและเผา เผาแล้วถางปีละสามครั้ง เปลี่ยนมาเป็นพืชที่เขียวยืนยาวกว่าหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เหมาะสมกับความเป็นต้นน้ำ
และเช่นเดียวกัน...คือเรื่องปลาเล็กปลาน้อย อวนลากอวนรุนการประมงทำลายล้าง อย่าคิดอยู่แค่กดดันไม่ให้เจ้าสัวรับซื้อปลาป่นเป็นพอ
การบอยคอตเจ้าสัวเมื่อสัปดาห์ก่อน อาจจะเป็นแค่ดราม่าลอยๆ ผ่านแล้วผ่านไป หากว่าประชาชนคนไทยไม่ติดตามเรียกร้องผลรูปธรรมจากภาครัฐ แก้ปัญหาที่ว่าต้องแก้พร้อมกัน 2 ขา แก้ที่สำนึกของภาคธุรกิจด้วย และต้องแก้ที่กฎระเบียบของภาครัฐพร้อมกันไป.