ผมแปลกใจ ! 28 สนช.กลุ่มที่ยื่นศาลไม่อยากแสดงบัญชีทรัพย์สินทำไมไม่ลาออกไปให้จบเรื่อง เพราะนอกจากจะถูกเย้ยหยันไยไพแล้วยังทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมของอำนาจรัฐตกต่ำลงดื้อๆ
ผลกระทบจากการนี้ไม่ได้มีเฉพาะตัวบุคคลปัจเจกจบแล้วจบไปหรือแค่เป็นเรื่องใครเรื่องมันดอกนะครับ หากแต่มีผลต่อภาพรวมต่อการเมืองในภาพใหญ่ด้วย
จากเรื่องโยเยไม่อยากเปิดทรัพย์สินเรื่องเดียวจะกลายเป็นกระดานหก เด้งหนึ่ง เด้งสอง เด้งสาม...เป็นภาพลบทวีคูณ จาก 28 สนช.กลายเป็นสนช.ทั้งสภา อะไรที่ไม่เกี่ยวมันก็จะเกี่ยวกันไปหมดท่านพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. แสดงบัญชีไว้ครบถ้วนยกเว้นกลุ่มที่มีค่าทางจิตใจประเมินไม่ได้เพราะมันเป็นของเก่ารับมรดกมาซึ่งก็ถูกต้องของท่าน ที่จริงมันไม่น่าจะมีปัญหาแต่ก็มามีปัญหาจนได้เพราะท่านมาหลุดอีตรงอธิบายว่ากลัวโจรภัย (จะปล้นบ้าน) ! คนก็ได้จุดนี้แหละไปพูดกันต่อ แถมโยงกลับยังกรณี 28 สนช. บวกกับบัญชีของเศรษฐี สนช.คนอื่นพร้อมกันเลย
บอกแล้วไงว่าหลายเด้ง !
การแสดงบัญชีของสนช.แสดงให้สังคมเห็นว่า บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของประเทศนี้ล้วนแต่ร่ำรวยระดับเศรษฐีเสียเป็นส่วนใหญ่
รับราชการกันอย่างไรมีเป็นห้าสิบล้าน ร้อยล้าน ? เอาล่ะบางท่านมีมรดกมีเมียรวยบังเอิญถูกล็อตเตอรี่ ฯลฯ แต่ภาพใหญ่ในทางการเมืองคนเขาก็ยังคลางแคลงใจอยู่ดี
ระบบการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินบ้านเรายังเป็นปัญหาอยู่
การเปิดเผยทรัพย์สินเป็นมาตรการเพื่อป้องกันและเหนี่ยวรั้งการทุจริตประพฤติมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญที่มีอำนาจในมือ เปิดแสดงสู่สาธารณะว่าคนๆ นั้นมีความโปร่งใสจริงใจนี่คือกลไกที่สังคมใช้ตรวจสอบผู้มีอำนาจ นี่เป็นกลไกที่ประเทศไทยเพิ่งรับมาจากโลกที่เขาเจริญกว่าได้ไม่นานมาตรการนี้จึงยังไม่สมบูรณ์นัก
อย่างการแสดงบัญชีของ สนช.ราชการเศรษฐีซึ่งมีคนละห้าสิบล้าน ร้อยล้าน ไม่ใช่แค่นายพลทหารตำรวจเท่านั้น ระดับอดีตอธิบดีไปจนถึงนักวิชาการต่างก็ร่ำรวยอย่างไม่น่าเชื่อว่าลำพังเงินเดือนจะทำให้รวยถึงขนาดนี้ ซึ่งหากมีกลไกเสริมก็คือบัญชีแสดงรายได้และการจ่ายภาษีอากรย้อนหลังมาดูประกอบก็จะทำให้สังคมเข้าใจที่มาที่ไปว่าคนไหนได้รายได้มาอย่างไร.... อ๋อ คนนี้ได้มรดกมาจริง คนนี้เมียรวยจริง คนนี้ทำธุรกิจของตระกูลจริง
ระบบนี้จึงยังเปิดช่องให้คนโกง (โกงมีหลายชนิดรวมไปถึงโกงภาษี) ไม่ว่าจะเป็น อำมาตย์ ราชการ เทคโนแครต นักวิชาการ หรือนักการเมือง เข้ามามีตำแหน่งสำคัญใช้อำนาจของประชาชนได้
คนที่เก็บผักบุ้งริมรั้วมหาลัยเมื่อวานซืนจู่ๆ รวยเป็นเศรษฐีหลายสิบล้านการทำธุรกิจแม้เคยทำก็ตีว่าขาดทุนเลิกกิจการ และก็มีรายได้เปิดเผยก็แค่เงินเดือนแต่ทำไมรวยเอาๆ มีหนำซ้ำยังเปิดช่องให้รับตำแหน่งใหญ่โตได้
คนแบบนี้มีเยอะ อย่างอดีตเสนาบดีรุ่นใหม่เมื่อเลือกตั้งปี 45 ยังละม้ายกระยาจกขับรถมือสองอยู่เลยเพียงแค่โชคดีที่มีเส้นสายผู้ใหญ่ให้งานรับเหมากับรัฐวิสาหกิจยักษ์ย่านวิภาวดี จากนั้นเจ้าคนนี้ก็รวยเอาๆ ไม่ต้องแสดงว่าตัวเองมีธุรกิจยกให้พี่น้องทำบังหน้า มีสมบัติหลายสิบ-สิบล้านและรวมไปถึงนายพลทหาร นายพลตำรวจที่มารับตำแหน่งในยุคปัจจุบันก็ด้วย
มันแปลกๆ อยู่นะ...ไม่เข้าใจเหมือนกัน ! มาตรการเปิดเผยทรัพย์สินแบบไทยที่ทำกันมาจำกัดการเปิดเผยสู่สาธารณะเฉพาะนักการเมืองใหญ่ระดับชาติเท่านั้น แต่ไม่รวมไปถึงพวกนักการเมืองท้องถิ่น คือพวกนี้ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินเหมือนกันแต่ยื่นไปแล้วไม่เกี่ยวกับประชาชน ปปช.ตรวจสอบกันภายในแล้วก็ค่อยประกาศคอนเฟิร์มว่าบัญชีปกติดี
ระบบบ้านเราจึงยังก้ำกึ่งกันระหว่างการเปิดให้สังคมตรวจสอบอย่างกว้างกับระบบที่มอบอำนาจให้กับองค์กรอิสระที่มีหน้าที่เฉพาะทำกันไป ไม่เกี่ยวกับประชาชน
เหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดบอกให้รู้ว่าเจ้าชุดความคิดที่ว่าจะต้องเพิ่มอำนาจให้ระบบราชการองค์กรอิสระหรือคณะคนดีๆ เข้าไปมีอำนาจ เป็น คสช. สนช. สปช. ไปเป็นซุปเปอร์บอร์ด ฯลฯ คานอำนาจกับนักการเมืองและนายทุนเลือกตั้งนั้น...มันยังไม่ใช่เป็นคำตอบที่ถูกต้องเป็นคำตอบสุดท้าย
บอกตรงๆ เลยครับ...มาจนบัดนี้ แค่เห็นคณะอำมาตย์ราชการเข้ามาจัดการบ้านเมืองแม้จะมีการประกาศชื่อสภาปฏิรูปแห่งชาติกันผมเองยังไม่มั่นใจเลยว่าประเทศนี้จะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์อัปรีย์ไปจัญไรผลัดกันมาสูบอย่างที่เคยเป็นมา
เพราะแนวทางของ(พวก)ท่านยังมุ่งเน้นที่เพิ่มอำนาจฝ่ายประจำไปคานฝ่ายการเมือง โดยละทิ้งอำนาจของฝ่ายประชาชนทิ้งไปเสีย
ถ้าปฏิรูปจริงอำนาจที่แท้จริงควรจะอยู่ในมือประชาชน ลดอำนาจรัฐ(ฝ่ายประจำ-ฝ่ายการเมือง) เพิ่มอำนาจประชาชน นี่ต่างหากที่จะทำให้ระบบของสังคมสมดุล เพิ่มสภาพแวดล้อมให้กลไกตรวจสอบถ่วงดุลคานอำนาจให้ประชาชนเข้มแข็งขึ้นมา ต่อไปไม่ว่าคนฝ่ายไหนสีไหนขึ้นมามีอำนาจมาเจอสภาพแวดล้อมใหม่ก็ยากจะบิดเบือนการใช้อำนาจแบบที่เคยเป็นมา
การจะทำให้คนโกงยากขึ้น หรือใช้อำนาจไม่เป็นธรรมได้ยากขึ้น ออกกฎหมายหรือให้อำนาจปปช.มากขึ้นแค่ไหนก็หยุดไม่ได้ครับ ในยุคนี้มีแต่ต้องเอาสังคมทั้งสังคมมาช่วยตรวจ แก้กฎหมายข้อมูลข่าวสารให้การเปิดเผยเป็นอัตโนมัติมากขึ้น กำหนดเส้นทางและกระบวนการที่ชัดเจนและเอาผิดผู้ละเมิด / เพิ่มช่องทางฟ้องร้องยับยั้งการใช้อำนาจของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิเสรีภาพหรือทรัพยากรส่วนรวม อย่างกรณีโครงการน้ำที่ศาลสั่งให้ปลอดประสพหยุดนั่นล่ะ ที่แท้ประเด็นนี้เป็นประเด็นมหาชนเรื่องของส่วนรวมควรให้สิทธิประชาชนทั่วไปที่เสียภาษีเข้าชื่อฟ้องได้โดยตรง ไม่ใช่ต้องไปหาชื่อองค์กรมูลนิธิอะไรมาอ้างเหมือนที่เป็นมา ฯลฯ
ประเทศนี้จะยังลักปิดลักเปิดเช่นนี้อยู่ต่อไปหากไม่มีการยกเครื่องระบบใหม่ที่มุ่งเน้นการเพิ่มอำนาจและเคารพต่อการตรวจสอบของประชาชนจริงๆ กรณีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินนี่ก็ชัดเจนว่าระบบกลไกของบ้านเรายังไม่เคารพต่อการเปิดเผยข้อมูลของผู้มีอำนาจต่อประชาชนจริง
มันยังเป็นแค่พิธีกรรม...นายพลคนนี้มีร้อยกว่าล้าน พลโทแปดสิบล้าน อดีต ซี.10 สี่สิบล้าน ฯลฯ แต่ได้มาจากไหนเมื่อไหร่ ระบบกลไกไม่มีตามต่อสาวไปถึง
หากพวกท่านคิดจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ สร้างกติกาเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายประจำมีอำนาจมากขึ้นฝ่ายการเมืองแทรกแซงไม่ได้และฝ่ายประจำได้ตรวจสอบนักการเมืองกันไปตามประสา
เราก็ยังจะอยู่ในวังวนของมหากาพย์สยามยุทธ์ อำมาตยาธิปไตย รบกับ เผด็จการทุนสามานย์จากการเลือกตั้ง สมบัติผลัดกันชมเช่นนี้ต่อไป
อย่าไปหาเลยประชาธิปไตย
เพราะประชาธิปไตยชื่อของมันก็บ่งบอกปรัชญาอยู่แล้ว อำนาจมาจากประชาชน !
การปฏิรูปสังคมการเมืองให้หลุดพ้นจากวังวนเก่ามีแต่ต้องเพิ่มอำนาจประชาชนเท่านั้นท่าน สนช./สปช. คนดีๆ ผู้ไม่อยากเปิดบัญชีทรัพย์สินทั้งหลาย.
ผลกระทบจากการนี้ไม่ได้มีเฉพาะตัวบุคคลปัจเจกจบแล้วจบไปหรือแค่เป็นเรื่องใครเรื่องมันดอกนะครับ หากแต่มีผลต่อภาพรวมต่อการเมืองในภาพใหญ่ด้วย
จากเรื่องโยเยไม่อยากเปิดทรัพย์สินเรื่องเดียวจะกลายเป็นกระดานหก เด้งหนึ่ง เด้งสอง เด้งสาม...เป็นภาพลบทวีคูณ จาก 28 สนช.กลายเป็นสนช.ทั้งสภา อะไรที่ไม่เกี่ยวมันก็จะเกี่ยวกันไปหมดท่านพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. แสดงบัญชีไว้ครบถ้วนยกเว้นกลุ่มที่มีค่าทางจิตใจประเมินไม่ได้เพราะมันเป็นของเก่ารับมรดกมาซึ่งก็ถูกต้องของท่าน ที่จริงมันไม่น่าจะมีปัญหาแต่ก็มามีปัญหาจนได้เพราะท่านมาหลุดอีตรงอธิบายว่ากลัวโจรภัย (จะปล้นบ้าน) ! คนก็ได้จุดนี้แหละไปพูดกันต่อ แถมโยงกลับยังกรณี 28 สนช. บวกกับบัญชีของเศรษฐี สนช.คนอื่นพร้อมกันเลย
บอกแล้วไงว่าหลายเด้ง !
การแสดงบัญชีของสนช.แสดงให้สังคมเห็นว่า บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของประเทศนี้ล้วนแต่ร่ำรวยระดับเศรษฐีเสียเป็นส่วนใหญ่
รับราชการกันอย่างไรมีเป็นห้าสิบล้าน ร้อยล้าน ? เอาล่ะบางท่านมีมรดกมีเมียรวยบังเอิญถูกล็อตเตอรี่ ฯลฯ แต่ภาพใหญ่ในทางการเมืองคนเขาก็ยังคลางแคลงใจอยู่ดี
ระบบการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินบ้านเรายังเป็นปัญหาอยู่
การเปิดเผยทรัพย์สินเป็นมาตรการเพื่อป้องกันและเหนี่ยวรั้งการทุจริตประพฤติมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญที่มีอำนาจในมือ เปิดแสดงสู่สาธารณะว่าคนๆ นั้นมีความโปร่งใสจริงใจนี่คือกลไกที่สังคมใช้ตรวจสอบผู้มีอำนาจ นี่เป็นกลไกที่ประเทศไทยเพิ่งรับมาจากโลกที่เขาเจริญกว่าได้ไม่นานมาตรการนี้จึงยังไม่สมบูรณ์นัก
อย่างการแสดงบัญชีของ สนช.ราชการเศรษฐีซึ่งมีคนละห้าสิบล้าน ร้อยล้าน ไม่ใช่แค่นายพลทหารตำรวจเท่านั้น ระดับอดีตอธิบดีไปจนถึงนักวิชาการต่างก็ร่ำรวยอย่างไม่น่าเชื่อว่าลำพังเงินเดือนจะทำให้รวยถึงขนาดนี้ ซึ่งหากมีกลไกเสริมก็คือบัญชีแสดงรายได้และการจ่ายภาษีอากรย้อนหลังมาดูประกอบก็จะทำให้สังคมเข้าใจที่มาที่ไปว่าคนไหนได้รายได้มาอย่างไร.... อ๋อ คนนี้ได้มรดกมาจริง คนนี้เมียรวยจริง คนนี้ทำธุรกิจของตระกูลจริง
ระบบนี้จึงยังเปิดช่องให้คนโกง (โกงมีหลายชนิดรวมไปถึงโกงภาษี) ไม่ว่าจะเป็น อำมาตย์ ราชการ เทคโนแครต นักวิชาการ หรือนักการเมือง เข้ามามีตำแหน่งสำคัญใช้อำนาจของประชาชนได้
คนที่เก็บผักบุ้งริมรั้วมหาลัยเมื่อวานซืนจู่ๆ รวยเป็นเศรษฐีหลายสิบล้านการทำธุรกิจแม้เคยทำก็ตีว่าขาดทุนเลิกกิจการ และก็มีรายได้เปิดเผยก็แค่เงินเดือนแต่ทำไมรวยเอาๆ มีหนำซ้ำยังเปิดช่องให้รับตำแหน่งใหญ่โตได้
คนแบบนี้มีเยอะ อย่างอดีตเสนาบดีรุ่นใหม่เมื่อเลือกตั้งปี 45 ยังละม้ายกระยาจกขับรถมือสองอยู่เลยเพียงแค่โชคดีที่มีเส้นสายผู้ใหญ่ให้งานรับเหมากับรัฐวิสาหกิจยักษ์ย่านวิภาวดี จากนั้นเจ้าคนนี้ก็รวยเอาๆ ไม่ต้องแสดงว่าตัวเองมีธุรกิจยกให้พี่น้องทำบังหน้า มีสมบัติหลายสิบ-สิบล้านและรวมไปถึงนายพลทหาร นายพลตำรวจที่มารับตำแหน่งในยุคปัจจุบันก็ด้วย
มันแปลกๆ อยู่นะ...ไม่เข้าใจเหมือนกัน ! มาตรการเปิดเผยทรัพย์สินแบบไทยที่ทำกันมาจำกัดการเปิดเผยสู่สาธารณะเฉพาะนักการเมืองใหญ่ระดับชาติเท่านั้น แต่ไม่รวมไปถึงพวกนักการเมืองท้องถิ่น คือพวกนี้ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินเหมือนกันแต่ยื่นไปแล้วไม่เกี่ยวกับประชาชน ปปช.ตรวจสอบกันภายในแล้วก็ค่อยประกาศคอนเฟิร์มว่าบัญชีปกติดี
ระบบบ้านเราจึงยังก้ำกึ่งกันระหว่างการเปิดให้สังคมตรวจสอบอย่างกว้างกับระบบที่มอบอำนาจให้กับองค์กรอิสระที่มีหน้าที่เฉพาะทำกันไป ไม่เกี่ยวกับประชาชน
เหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดบอกให้รู้ว่าเจ้าชุดความคิดที่ว่าจะต้องเพิ่มอำนาจให้ระบบราชการองค์กรอิสระหรือคณะคนดีๆ เข้าไปมีอำนาจ เป็น คสช. สนช. สปช. ไปเป็นซุปเปอร์บอร์ด ฯลฯ คานอำนาจกับนักการเมืองและนายทุนเลือกตั้งนั้น...มันยังไม่ใช่เป็นคำตอบที่ถูกต้องเป็นคำตอบสุดท้าย
บอกตรงๆ เลยครับ...มาจนบัดนี้ แค่เห็นคณะอำมาตย์ราชการเข้ามาจัดการบ้านเมืองแม้จะมีการประกาศชื่อสภาปฏิรูปแห่งชาติกันผมเองยังไม่มั่นใจเลยว่าประเทศนี้จะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์อัปรีย์ไปจัญไรผลัดกันมาสูบอย่างที่เคยเป็นมา
เพราะแนวทางของ(พวก)ท่านยังมุ่งเน้นที่เพิ่มอำนาจฝ่ายประจำไปคานฝ่ายการเมือง โดยละทิ้งอำนาจของฝ่ายประชาชนทิ้งไปเสีย
ถ้าปฏิรูปจริงอำนาจที่แท้จริงควรจะอยู่ในมือประชาชน ลดอำนาจรัฐ(ฝ่ายประจำ-ฝ่ายการเมือง) เพิ่มอำนาจประชาชน นี่ต่างหากที่จะทำให้ระบบของสังคมสมดุล เพิ่มสภาพแวดล้อมให้กลไกตรวจสอบถ่วงดุลคานอำนาจให้ประชาชนเข้มแข็งขึ้นมา ต่อไปไม่ว่าคนฝ่ายไหนสีไหนขึ้นมามีอำนาจมาเจอสภาพแวดล้อมใหม่ก็ยากจะบิดเบือนการใช้อำนาจแบบที่เคยเป็นมา
การจะทำให้คนโกงยากขึ้น หรือใช้อำนาจไม่เป็นธรรมได้ยากขึ้น ออกกฎหมายหรือให้อำนาจปปช.มากขึ้นแค่ไหนก็หยุดไม่ได้ครับ ในยุคนี้มีแต่ต้องเอาสังคมทั้งสังคมมาช่วยตรวจ แก้กฎหมายข้อมูลข่าวสารให้การเปิดเผยเป็นอัตโนมัติมากขึ้น กำหนดเส้นทางและกระบวนการที่ชัดเจนและเอาผิดผู้ละเมิด / เพิ่มช่องทางฟ้องร้องยับยั้งการใช้อำนาจของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิเสรีภาพหรือทรัพยากรส่วนรวม อย่างกรณีโครงการน้ำที่ศาลสั่งให้ปลอดประสพหยุดนั่นล่ะ ที่แท้ประเด็นนี้เป็นประเด็นมหาชนเรื่องของส่วนรวมควรให้สิทธิประชาชนทั่วไปที่เสียภาษีเข้าชื่อฟ้องได้โดยตรง ไม่ใช่ต้องไปหาชื่อองค์กรมูลนิธิอะไรมาอ้างเหมือนที่เป็นมา ฯลฯ
ประเทศนี้จะยังลักปิดลักเปิดเช่นนี้อยู่ต่อไปหากไม่มีการยกเครื่องระบบใหม่ที่มุ่งเน้นการเพิ่มอำนาจและเคารพต่อการตรวจสอบของประชาชนจริงๆ กรณีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินนี่ก็ชัดเจนว่าระบบกลไกของบ้านเรายังไม่เคารพต่อการเปิดเผยข้อมูลของผู้มีอำนาจต่อประชาชนจริง
มันยังเป็นแค่พิธีกรรม...นายพลคนนี้มีร้อยกว่าล้าน พลโทแปดสิบล้าน อดีต ซี.10 สี่สิบล้าน ฯลฯ แต่ได้มาจากไหนเมื่อไหร่ ระบบกลไกไม่มีตามต่อสาวไปถึง
หากพวกท่านคิดจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ สร้างกติกาเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายประจำมีอำนาจมากขึ้นฝ่ายการเมืองแทรกแซงไม่ได้และฝ่ายประจำได้ตรวจสอบนักการเมืองกันไปตามประสา
เราก็ยังจะอยู่ในวังวนของมหากาพย์สยามยุทธ์ อำมาตยาธิปไตย รบกับ เผด็จการทุนสามานย์จากการเลือกตั้ง สมบัติผลัดกันชมเช่นนี้ต่อไป
อย่าไปหาเลยประชาธิปไตย
เพราะประชาธิปไตยชื่อของมันก็บ่งบอกปรัชญาอยู่แล้ว อำนาจมาจากประชาชน !
การปฏิรูปสังคมการเมืองให้หลุดพ้นจากวังวนเก่ามีแต่ต้องเพิ่มอำนาจประชาชนเท่านั้นท่าน สนช./สปช. คนดีๆ ผู้ไม่อยากเปิดบัญชีทรัพย์สินทั้งหลาย.