xs
xsm
sm
md
lg

กฎอัยการศึกเป็นทางสายกลาง

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

อาจกล่าวได้อีกครั้งสำหรับคำว่า “มาช้าดีกว่ายังไม่มา” เมื่อกองทัพบก โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศกฎอัยการศึกให้มีผลทั่วราชอาณาจักรไปในตอนเช้ามืดของวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา

หากใครยังจำได้ พลเอกประยุทธ์เคยประกาศว่า เมื่อไรศาลรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีคำวินิจฉัยแล้วค่อยว่ากัน

ซึ่งเมื่อทั้งสององค์กรได้วินิจฉัยออกมาแล้ว ก็ยังปรากฏว่า รัฐบาลเก่ายังคงยื้อจะรักษาอำนาจแบบลอยตัว คือยืนยันอยู่ในอำนาจ แต่ไม่ควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง

โดยเฉพาะการลอบยิง ลอบขว้างระเบิด จนทำให้ผู้ชุมนุม กปปส.บาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยที่ ศอ.รส.ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำตัวต่างโฆษกพรรคเพื่อไทย และขู่ฟ้องร้องดำเนินคดีฝ่ายตรงข้ามไปวันๆ มีการเล่นงานทางกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมต่อสุจริตชนโดยอ้างว่ามีความผิดฐานกบฏ ทั้งๆ ที่ผู้ถูกดำเนินคดีล้วนเป็นอาจารย์และนักวิชาการเป็นที่เคารพนับถือโดยทั่วไปของประชาชน

แถมหัวเรือใหญ่ของ ศอ.รส. คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็ยังถืออำนาจบาตรใหญ่ไม่ยอมรับอำนาจศาล อ้างว่าไม่มีพระบรมราชโองการให้พ้นตำแหน่ง ทั้งๆ ที่เป็นการพ้นตำแหน่งอันมีผลมาจากคำพิพากษาของศาล ดังเช่นที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เคยถูกศาลวินิจฉัยว่าให้พ้นตำแหน่งไปนี้ไม่เคยมีใครตั้งแง่โต้แย้งเช่นนี้มาก่อน

สภาพจบไม่ลงเช่นนี้เอง ทำให้ฝ่ายทหารตัดสินใจออกมาในที่สุด เนื่องจากเห็นแล้วว่า สถานการณ์ไม่จบง่ายๆ เพราะความดื้อแพ่งของฝ่ายรัฐบาล ส่วนฝ่ายประชาชนนำโดยคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เองก็อ่อนล้าเต็มทน ถึงกับยอมประกาศว่า ถ้าไม่สามารถทำให้คณะรัฐมนตรีที่เหลือพ้นตำแหน่งไปได้ทั้งหมด ก็จะยอมมอบตัวและยุติการต่อสู้

แต่กระนั้น การเข้ามาของฝ่ายทหารก็ไม่ได้เข้ามาแบบ “เข้าข้างใคร” เพราะเท่ากับแจกป้าย “หยุดชั่วคราว” ไปแปะให้ทุกฝั่งฝ่าย

โดยการประกาศกฎอัยการศึกนั้นควบคู่กับการจัดให้มี กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) ที่ขึ้นกับฝ่ายกองทัพโดยตรง ขึ้นมาดูแลสถานการณ์แทนที่ ศอ.รส.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นโดยรัฐบาล เท่ากับเป็นการยุติอำนาจของฝ่ายรัฐบาลในการจัดการสถานการณ์ (ซึ่งที่แท้แล้วเหมือนการสุมไฟให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ มากกว่า)

แต่ก็ไม่ให้ทางฝ่ายผู้ชุมนุมไม่ว่าจะ กปปส. หรือ นปช. เคลื่อนไหว แต่ก็ไม่ห้ามชุมนุม เพียงแต่ห้ามเคลื่อนย้ายออกจากจุดชุมนุมที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

โทรทัศน์ช่องการเมืองต่างๆ ของทุกฝั่งฝ่าย ไม่ว่าจะชัดเจนไปเลยอย่างบลูสกาย เอเชียอัพเดท หรือสายรองที่พอเห็นได้ว่าพวกไหนฝ่ายไหน ก็ถูกสั่งพักการออกอากาศไว้ชั่วคราว อย่างน้อยก็เพื่อรักษาบรรยากาศในการเจรจา ไม่ให้เกิดการสร้างอารมณ์สั่งสมให้มวลชนแต่ละฝ่าย

และ กอ.รส. ก็เข้ามาดำเนินการเป็น “คนกลาง” ในการเจรจาของฝ่ายต่างๆ ทุกตัวละครที่เกิดขึ้นในวิกฤตการเมืองรอบนี้

จึงอาจกล่าวได้ว่า การประกาศกฎอัยการศึกของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในครั้งนี้ ถือเป็นมาตรการและกลยุทธ์ที่ “ฉลาด” และเป็นทางสายกลางที่ลงตัวที่สุด

แม้เป็นการเข้าแทรกแซงโดยฝ่ายทหาร แต่ก็เป็นการแทรกแซงที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว เพราะกฎอัยการศึกเป็น “กฎหมายฉุกเฉิน” ไม้สุดท้ายที่เป็นอำนาจของฝ่ายทหารเอง ในขณะที่ประเทศตกอยู่ในภาวะไร้ซึ่งระเบียบกฎหมายโดยสิ้นเชิง จากการใช้อาวุธสงครามถล่มกันได้ใจกลางเมืองจนมีคนเจ็บคนตาย และมีการใช้อำนาจโดยอำเภอใจ เย้ยหยันไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคำพิพากษาของศาลโดยฝ่ายผู้มีอำนาจบริหารประเทศ

เมื่อประกาศกฎอัยการศึกแล้ว อำนาจฝ่ายทหารก็จะมีเหนือรัฐบาลพลเรือนเป็นการชั่วคราวชั่วขณะ แต่ก็ไม่ใช่การรัฐประหาร เพราะถือว่ารัฐบาลเดิมนั้นยังคงอยู่ เพียงแค่มีอำนาจหน้าที่จำกัดเฉพาะในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งและความมั่นคงของประเทศ

สิ่งที่บ่งชี้ความ “ได้ผล” ประการหนึ่งของมาตรการประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้ อาจพิจารณาได้จากการที่ไม่ปรากฏว่ามีการยิงถล่มโจมตี ด้วยอาวุธสงครามได้อีกเลยนับแต่มีการประกาศกฎอัยการศึก จนถึงขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทหารมีอำนาจเต็มในการวางกำลังป้องกันเมืองหลวงได้ทั่วพระนคร ซึ่งเดิมเพียงการตั้งด่านความมั่นคงในบางจุด

การประกาศกฎอัยการศึกนี้เป็นการเข้ามาแก้ปัญหาทางการเมืองโดยทหาร ที่ไม่ใช่การทำรัฐประหารจึงไม่มีปัญหาในการสื่อสารในระดับสากลระหว่างประเทศ วัดผลได้จากเสียงตอบรับในแง่ค่อนข้างไม่เป็นบวกเป็นลบจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป นอกจากข้อความแก้เกี้ยวนิดๆ หน่อย ให้เห็นว่า “ฉันดูอยู่นะ”

และไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่มีการยุบเลิกองค์กรอิสระ ไม่มีผลกระทบต่อองค์กรตุลาการศาลต่างๆ และกฎหมายทุกฉบับก็ยังใช้บังคับอยู่ตามปกติ ยกเว้นที่จำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคง และเพื่อการเจรจาที่เป็นผล ดังจะเห็นได้จากที่ กอ.รส.มีคำสั่งให้งดการบังคับดำเนินคดีทางอาญาเป็นการชั่วคราวเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเจรจา เพื่อให้แต่ละฝ่ายที่มีข้อหากันคนละแผลสองแผล สามารถ “ออกจากรัง” มานั่งคุยกันในสถานที่เป็นกลางได้อย่างสบายใจ

ไม่มีการละเมิดสิทธิของประชาชน ไม่มีประกาศเคอร์ฟิว ไม่มีคำสั่งให้ข้าราชการหยุดงานหรือดำเนินการใดเป็นพิเศษ ยกเว้นในส่วนที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงและการพูดคุย เช่น ขอความร่วมมือไม่ให้นักวิชาการแต่ละฝ่ายออกมา “จ้อ” ผ่านสื่อ

ซึ่งในขณะที่ทุกฝ่ายจะหาทางออกร่วมกันในขณะนี้ คงเป็นความจำเป็นที่จะต้องหยุด “สุมไฟ” กันก่อนทั้งสองฝ่าย

ในขณะนี้ คู่ขัดแย้ง และองค์กรที่เกี่ยวข้องได้มาพูดคุยกันแล้ว บนเวทีของฝ่ายที่เป็นกลางและไม่แสดงท่าทีใดๆ มาตลอดระยะเวลาแห่งความขัดแย้งรุนแรงนี้คือฝ่ายทหาร

ส่วนผลของการเจรจาจะเป็นเช่นไร คงต้องติดตามกันต่อไป แต่ก็น่าจะเห็นสัญญาณที่ดีได้จากแต่ละฝ่ายที่แย้มออกมาบ้าง

อย่างไรก็ตาม คงต้องทำใจว่า ไม่มีใคร “ได้” สมใจทั้งหมดแน่ หากประสงค์ให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้.
กำลังโหลดความคิดเห็น