รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา จะมีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 1 ว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
ในทางวิชาการถือว่า มาตรานี้เป็นมาตราสำคัญที่ประกาศเจตนารมณ์ของการก่อตั้งรัฐ ว่าให้รัฐนี้เป็นรัฐที่มี “รูปของรัฐ” อย่างไร มีความหมายสองประการคือ
ประการที่หนึ่ง ประเทศนี้เป็นราชอาณาจักร ประมุขรัฐแห่งประเทศไทยจะต้องเป็นพระมหากษัตริย์เท่านั้น จะอยู่ในรูปแบบอื่น ไม่ว่าจะบุคคล หรือคณะบุคคล โดยวิธีการอื่นใดนอกเหนือจากการสืบราชสันตติวงศ์ตามโบราณราชประเพณีและกฎมณเฑียรบาลไม่ได้
ประการที่สอง ประเทศนี้เป็นประเทศที่เป็น “รัฐเดี่ยว” คือมีอำนาจอธิปไตยรวมศูนย์อยู่ที่เดียว มีรัฐบาลเดียว มีรัฐสภาเดียว ใช้กฎหมายเดียวกันหมดทั้งประเทศเช่นการฆ่าคนตาย ไปฆ่าที่ไหน ก็โทษเท่ากัน ภาษีเก็บอัตราเดียวกัน
สองสิ่งที่บัญญัติไว้ในมาตราหนึ่ง คือหลักเกณฑ์สำคัญของรัฐที่ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามจะละเมิดมิได้
โทษของการละเมิดหลักการใหญ่ของประเทศรัฐชาติไทยในข้อหลังนี้ ก็มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ว่า “ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ ... (3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต”
คนเสื้อแดงถูกตั้งข้อสงสัยอยู่เสมอมา ว่ามีกิจกรรมทางการเมืองหมิ่นเหม่ต่อการพยายามโจมตีหลักใหญ่ใจความของรัฐ ตามมาตรา 1 แห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอมา
เช่นเมื่อมีการประกาศว่าตนเองต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ก็พยายามใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” เฉยๆ บ้าง หรือบางกลุ่มบางคนนั้นประกาศชัดไปเลย ว่าจะเอา “ประชาธิปไตยที่ไม่มีอะไรต่อท้าย” โดยที่ก็รู้อยู่ว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 2 บัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
และล่าสุด ก็เกิดกระแส “อยู่ร่วมประเทศกันไม่ได้ แยกดินแดนกันดีกว่า” ขึ้นมาจากทางภาคและจังหวัดที่เป็นฐานเสียง ฐานคะแนนของพรรคเพื่อไทย ผู้เป็นรัฐบาลในปัจจุบันแม้จะยังจับมือใครดมไม่ได้ หรือยังไม่มีหลักฐานเรื่องความเกี่ยวข้อง แต่ในวิจารณญาณของคนปกติก็คงเดาได้ไม่ยาก ว่าเกี่ยวข้องกับใคร ผู้ใด ฝ่ายไหน
ฝ่ายที่อยากแยกดินแดน ติดป้ายว่า “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกประเทศ” ความไม่ยุติธรรมที่ว่านั้นเป็นอย่างไร วาทกรรมที่ว่า “ฝ่ายเราทำอะไรก็ทำเหมือนๆ กัน ทำไมพวกเราทำผิดตลอด ศาลมันไม่ยุติธรรม อยู่ไม่ได้ ต้องแยกประเทศ” นั้น ก็เป็นการพูดจริงเพียงครึ่งเดียว
นี่คือข้อต่อสู้ของฝ่ายเสื้อแดงเสมอ เมื่อมีคำตัดสินของศาล หรือได้รับการปฏิบัติในกระบวนยุติธรรมที่ตัวเองไม่พอใจ คืออ้างเรื่องสองมาตรฐานแบบข้างๆ คูๆ
เพราะไอ้เรื่องที่ว่า “ทำเหมือนๆ กัน” นั้นมันทำเหมือนกันจริงหรือเปล่า หรือเหมือนกันเพียงรูปแบบ แต่มีสาระสำคัญแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการกระทำของฝ่ายตนเองนั้น มีเจตนาไม่สุจริต ทำอย่างฉ้อฉล ผิดกฎหมาย แล้วจะให้ศาลตัดสิน หรือกระบวนยุติธรรมปฏิบัติด้วยมาตรฐานเดียวกันได้อย่างไร
เหมือนคนขายยาปลอม เครื่องสำอางเถื่อน ถูกจับได้ศาลลงโทษ แล้วมาโวยวายว่าตัวเองก็ค้าขายเหมือนกัน ร้านโน้นก็มียามีเครื่องสำอางแบบเดียวกัน ทำไมขายของแล้วต้องติดคุกด้วย โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม ข้ออ้างแบบนี้ฟังขึ้นหรือไม่
หรือบางคนออกมาโจมตีทหารว่า พอคนกรุงเทพฯ ชุมนุม ทหารออกมาแจกยา แต่เสื้อแดงออกมาดันแจกกระสุน โดยเปรียบเทียบการที่ทหารออกมาตั้งป้อมป้องกันเหตุร้าย และวางหน่วยเสนารักษ์ไว้ในจุดที่ล่อแหลมว่าจะมีการก่อเหตุก่อการร้าย กับการใช้กำลังขอคืนพื้นที่ในปี 53 ว่ามีความแตกต่างกัน
ก็เลยสงสัยว่า ตกลงเสื้อแดงเห็นว่า การใช้อาวุธเข้าขอคืนพื้นที่ สลายการชุมนุม ที่ตัวเองเอาไว้โจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์เสมอมาว่าเป็นรัฐบาลมือเปื้อนเลือดนั้น มันถูกต้องหรือไม่? หรือว่าถ้าแจกกระสุนฝ่ายตรงข้าม ไม่เป็นไร ไม่ว่ากันอย่างนั้นหรือ?
บทเรียนของประเทศอื่น การแบ่งแยกดินแดนของเขานั้นเกิดเพราะสงครามบ้าง หรือเพราะกลเกมการเมือง ที่มีชาติอื่นหนุนหลังกันคนละฝ่ายจนแยกประเทศเพื่อประกาศเขตอิทธิพลของมหาอำนาจที่ครอบงำดินแดนนั้นบ้าง
แต่วันนี้ จะปลุกกระแสแบ่งแยกดินแดนไทย โดยคนไทยกันเองไม่ต้องมีชาติไหนมาแทรกแซง เพื่อใครกันก็ไม่ทราบ
แนะนำว่าในตอนนี้ ใครนึกสนุกอยากแบ่งแยกประเทศกันอยู่ เพียงเพราะรู้สึกขัดใจที่ฝ่ายการเมืองที่ตัวเองกำลังถือหางอยู่นั้นเพลี่ยงพล้ำ ทำอะไรผิดกฎหมายก็ถูกจับได้ไล่ทันไปเสียหมด ให้ลองไปหาภาพของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้สองภาพมาดู
ภาพแรก คือ ภาพของญาติพี่น้องสองเกาหลี ที่รวมตัวกันไม่ทันในช่วงวันเวลาที่เขาแบ่งแยกประเทศ เลยกลายเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ญาติโกโหติกากัน แต่ต้องไปอยู่กันคนละประเทศ นานปีทีหน เขาจะจัดให้นั่งรถบัสมาเจอกันสักครั้งหนึ่ง ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของทหารทั้งสองฝ่าย พอหมดเวลาที่เขาจัดให้พบญาติ เขาก็ต้อนขึ้นรถบัสกลับ ญาติพี่น้องก็ต้องตามจับมือกันผ่านหน้าต่าง ร้องห่มร้องไห้ก่อนที่รถบัสจะเคลื่อนตัวออกไป
ถ้ายังอยากแยกประเทศอยู่ ลองนึกดูว่าถ้าครอบครัวของคุณบางคนอยู่บนรถบัส บางคนอยู่บนพื้นดิน ต้องล่ำลากัน แบบไม่รู้เมื่อไรจะได้พบกันอีก คุณจะเอาอย่างนั้นหรือ
กับอีกภาพที่หมู่บ้าน ปัน มุน จอม ที่เป็นหมู่บ้านพรมแดนจุดแบ่งเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ที่เป็นหมู่บ้านเดียวกัน แต่อยู่คนละประเทศ กั้นด้วยเส้นขนาน 38
หมู่บ้านฝั่งเกาหลีใต้ มีความเจริญ มีตึกรามบ้านช่องทันสมัย ส่วนหมู่บ้านฝั่งเกาหลีเหนือนั้นสภาพดีกว่าตอนแบ่งแยกดินแดนกันเมื่อ 60 ปีที่แล้วนิดหน่อย
ทหารฝ่ายเกาหลีเหนือ ที่ยากจนกว่า เห็นโลกทางฝั่งเกาหลีใต้ ด้วยสายตาที่ทำได้แต่มอง เพราะถ้ากระโดดข้ามเส้นไปแม้แต่นิดเดียว ถ้าไม่ถูกทหารอีกฝ่ายยิงทิ้ง ก็เป็นเพื่อนทหารฝ่ายเดียวกันอีกคนนั่นแหละที่จะจัดการ
ท่านอยากเป็นทหารคนนั้น หรือเป็นผู้คนที่ต้องล่ำลากับญาติที่อยู่บนรถบัสที่ว่าหรือไม่? อย่าหลงเชื่อกลเกมการเมืองเพื่ออำนาจ จนไปยอมรับอนาคตอันโหดร้ายเช่นนั้นเลย.
ในทางวิชาการถือว่า มาตรานี้เป็นมาตราสำคัญที่ประกาศเจตนารมณ์ของการก่อตั้งรัฐ ว่าให้รัฐนี้เป็นรัฐที่มี “รูปของรัฐ” อย่างไร มีความหมายสองประการคือ
ประการที่หนึ่ง ประเทศนี้เป็นราชอาณาจักร ประมุขรัฐแห่งประเทศไทยจะต้องเป็นพระมหากษัตริย์เท่านั้น จะอยู่ในรูปแบบอื่น ไม่ว่าจะบุคคล หรือคณะบุคคล โดยวิธีการอื่นใดนอกเหนือจากการสืบราชสันตติวงศ์ตามโบราณราชประเพณีและกฎมณเฑียรบาลไม่ได้
ประการที่สอง ประเทศนี้เป็นประเทศที่เป็น “รัฐเดี่ยว” คือมีอำนาจอธิปไตยรวมศูนย์อยู่ที่เดียว มีรัฐบาลเดียว มีรัฐสภาเดียว ใช้กฎหมายเดียวกันหมดทั้งประเทศเช่นการฆ่าคนตาย ไปฆ่าที่ไหน ก็โทษเท่ากัน ภาษีเก็บอัตราเดียวกัน
สองสิ่งที่บัญญัติไว้ในมาตราหนึ่ง คือหลักเกณฑ์สำคัญของรัฐที่ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามจะละเมิดมิได้
โทษของการละเมิดหลักการใหญ่ของประเทศรัฐชาติไทยในข้อหลังนี้ ก็มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ว่า “ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ ... (3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต”
คนเสื้อแดงถูกตั้งข้อสงสัยอยู่เสมอมา ว่ามีกิจกรรมทางการเมืองหมิ่นเหม่ต่อการพยายามโจมตีหลักใหญ่ใจความของรัฐ ตามมาตรา 1 แห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอมา
เช่นเมื่อมีการประกาศว่าตนเองต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ก็พยายามใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” เฉยๆ บ้าง หรือบางกลุ่มบางคนนั้นประกาศชัดไปเลย ว่าจะเอา “ประชาธิปไตยที่ไม่มีอะไรต่อท้าย” โดยที่ก็รู้อยู่ว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 2 บัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
และล่าสุด ก็เกิดกระแส “อยู่ร่วมประเทศกันไม่ได้ แยกดินแดนกันดีกว่า” ขึ้นมาจากทางภาคและจังหวัดที่เป็นฐานเสียง ฐานคะแนนของพรรคเพื่อไทย ผู้เป็นรัฐบาลในปัจจุบันแม้จะยังจับมือใครดมไม่ได้ หรือยังไม่มีหลักฐานเรื่องความเกี่ยวข้อง แต่ในวิจารณญาณของคนปกติก็คงเดาได้ไม่ยาก ว่าเกี่ยวข้องกับใคร ผู้ใด ฝ่ายไหน
ฝ่ายที่อยากแยกดินแดน ติดป้ายว่า “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกประเทศ” ความไม่ยุติธรรมที่ว่านั้นเป็นอย่างไร วาทกรรมที่ว่า “ฝ่ายเราทำอะไรก็ทำเหมือนๆ กัน ทำไมพวกเราทำผิดตลอด ศาลมันไม่ยุติธรรม อยู่ไม่ได้ ต้องแยกประเทศ” นั้น ก็เป็นการพูดจริงเพียงครึ่งเดียว
นี่คือข้อต่อสู้ของฝ่ายเสื้อแดงเสมอ เมื่อมีคำตัดสินของศาล หรือได้รับการปฏิบัติในกระบวนยุติธรรมที่ตัวเองไม่พอใจ คืออ้างเรื่องสองมาตรฐานแบบข้างๆ คูๆ
เพราะไอ้เรื่องที่ว่า “ทำเหมือนๆ กัน” นั้นมันทำเหมือนกันจริงหรือเปล่า หรือเหมือนกันเพียงรูปแบบ แต่มีสาระสำคัญแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการกระทำของฝ่ายตนเองนั้น มีเจตนาไม่สุจริต ทำอย่างฉ้อฉล ผิดกฎหมาย แล้วจะให้ศาลตัดสิน หรือกระบวนยุติธรรมปฏิบัติด้วยมาตรฐานเดียวกันได้อย่างไร
เหมือนคนขายยาปลอม เครื่องสำอางเถื่อน ถูกจับได้ศาลลงโทษ แล้วมาโวยวายว่าตัวเองก็ค้าขายเหมือนกัน ร้านโน้นก็มียามีเครื่องสำอางแบบเดียวกัน ทำไมขายของแล้วต้องติดคุกด้วย โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม ข้ออ้างแบบนี้ฟังขึ้นหรือไม่
หรือบางคนออกมาโจมตีทหารว่า พอคนกรุงเทพฯ ชุมนุม ทหารออกมาแจกยา แต่เสื้อแดงออกมาดันแจกกระสุน โดยเปรียบเทียบการที่ทหารออกมาตั้งป้อมป้องกันเหตุร้าย และวางหน่วยเสนารักษ์ไว้ในจุดที่ล่อแหลมว่าจะมีการก่อเหตุก่อการร้าย กับการใช้กำลังขอคืนพื้นที่ในปี 53 ว่ามีความแตกต่างกัน
ก็เลยสงสัยว่า ตกลงเสื้อแดงเห็นว่า การใช้อาวุธเข้าขอคืนพื้นที่ สลายการชุมนุม ที่ตัวเองเอาไว้โจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์เสมอมาว่าเป็นรัฐบาลมือเปื้อนเลือดนั้น มันถูกต้องหรือไม่? หรือว่าถ้าแจกกระสุนฝ่ายตรงข้าม ไม่เป็นไร ไม่ว่ากันอย่างนั้นหรือ?
บทเรียนของประเทศอื่น การแบ่งแยกดินแดนของเขานั้นเกิดเพราะสงครามบ้าง หรือเพราะกลเกมการเมือง ที่มีชาติอื่นหนุนหลังกันคนละฝ่ายจนแยกประเทศเพื่อประกาศเขตอิทธิพลของมหาอำนาจที่ครอบงำดินแดนนั้นบ้าง
แต่วันนี้ จะปลุกกระแสแบ่งแยกดินแดนไทย โดยคนไทยกันเองไม่ต้องมีชาติไหนมาแทรกแซง เพื่อใครกันก็ไม่ทราบ
แนะนำว่าในตอนนี้ ใครนึกสนุกอยากแบ่งแยกประเทศกันอยู่ เพียงเพราะรู้สึกขัดใจที่ฝ่ายการเมืองที่ตัวเองกำลังถือหางอยู่นั้นเพลี่ยงพล้ำ ทำอะไรผิดกฎหมายก็ถูกจับได้ไล่ทันไปเสียหมด ให้ลองไปหาภาพของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้สองภาพมาดู
ภาพแรก คือ ภาพของญาติพี่น้องสองเกาหลี ที่รวมตัวกันไม่ทันในช่วงวันเวลาที่เขาแบ่งแยกประเทศ เลยกลายเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ญาติโกโหติกากัน แต่ต้องไปอยู่กันคนละประเทศ นานปีทีหน เขาจะจัดให้นั่งรถบัสมาเจอกันสักครั้งหนึ่ง ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของทหารทั้งสองฝ่าย พอหมดเวลาที่เขาจัดให้พบญาติ เขาก็ต้อนขึ้นรถบัสกลับ ญาติพี่น้องก็ต้องตามจับมือกันผ่านหน้าต่าง ร้องห่มร้องไห้ก่อนที่รถบัสจะเคลื่อนตัวออกไป
ถ้ายังอยากแยกประเทศอยู่ ลองนึกดูว่าถ้าครอบครัวของคุณบางคนอยู่บนรถบัส บางคนอยู่บนพื้นดิน ต้องล่ำลากัน แบบไม่รู้เมื่อไรจะได้พบกันอีก คุณจะเอาอย่างนั้นหรือ
กับอีกภาพที่หมู่บ้าน ปัน มุน จอม ที่เป็นหมู่บ้านพรมแดนจุดแบ่งเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ที่เป็นหมู่บ้านเดียวกัน แต่อยู่คนละประเทศ กั้นด้วยเส้นขนาน 38
หมู่บ้านฝั่งเกาหลีใต้ มีความเจริญ มีตึกรามบ้านช่องทันสมัย ส่วนหมู่บ้านฝั่งเกาหลีเหนือนั้นสภาพดีกว่าตอนแบ่งแยกดินแดนกันเมื่อ 60 ปีที่แล้วนิดหน่อย
ทหารฝ่ายเกาหลีเหนือ ที่ยากจนกว่า เห็นโลกทางฝั่งเกาหลีใต้ ด้วยสายตาที่ทำได้แต่มอง เพราะถ้ากระโดดข้ามเส้นไปแม้แต่นิดเดียว ถ้าไม่ถูกทหารอีกฝ่ายยิงทิ้ง ก็เป็นเพื่อนทหารฝ่ายเดียวกันอีกคนนั่นแหละที่จะจัดการ
ท่านอยากเป็นทหารคนนั้น หรือเป็นผู้คนที่ต้องล่ำลากับญาติที่อยู่บนรถบัสที่ว่าหรือไม่? อย่าหลงเชื่อกลเกมการเมืองเพื่ออำนาจ จนไปยอมรับอนาคตอันโหดร้ายเช่นนั้นเลย.