ผมเห็นและเชื่อตามที่กำนันสุเทพพูดว่า
“ฝ่ายมวลชนนกหวีดน่ะยังไงก็ไม่แพ้แน่ แต่จะชนะเมื่อไหร่ก็เท่านั้น”
นั่นเพราะว่าต่อให้ทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในสภาวะแบบนี้มีอำนาจก็ปกครองไม่ได้ อย่าว่าแต่ลงภาคใต้เลยเอาแค่เดินถนนในกรุงเทพก็เดินไม่ได้ ประชาชนไม่เชื่อไม่ยอมรับผู้ปกครอง ไม่ศรัทธาในระบบการเมืองที่เป็นอยู่ไปเสียแล้ว
คำว่าไม่แพ้แน่ๆ ชัดเจนอยู่ในตัว แต่คำว่าชนะเมื่อไหร่นั้นเหมือนจะยังกำหนดไม่ได้
เก็บคะแนนขาดลอยยังเหลือแต่น็อคไม่ได้ !!!
กำนันสุเทพประกาศทุบหม้อข้าวขีดเส้นเอาชัยชนะมาให้ได้หลายครั้งแล้ว แรกก็ภายในวันที่ 9 ธันวาคม จากนั้นก็เลื่อนเรื่อยมาจนกระทั่งวันดีเดย์ปิดกรุงและล่าสุดก็เลื่อนมาก่อน 2 กุมภาพันธ์ซึ่งแนวโน้มก็ยังไม่ได้
ชนะเมื่อไหร่ และชนะยังไงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ฝ่ายกำนันสุเทพเป็นผู้กำหนดฝ่ายเดียวหากแต่ต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ ร่วมด้วยทั้งฝ่ายทักษิณและฝ่ายองค์กรที่สามและก็ไม่แน่ว่าจากนี้ไปเสียงของคนกลางๆ ที่แท้จริงจะเริ่มมีน้ำหนักมาร่วมกำหนดด้วยหนักขึ้นๆ
เพราะลำพังมวลมหาพี่น้องประชาชนเป่านกหวีดนั้นทำได้แค่โยกคลอนไม่สามารถเผด็จศึก ต้องยอมรับความจริงกันนะเรื่องนี้
บางคนยังคิดหวังว่าทนอึดอีกหน่อยรัฐบาลปูก็จะเหมือนคนเป็นโรคขาดสารอาหารถูกปิดล้อมทุกทางถูกทำให้ง่อยเปลี้ยหมดสภาพลงไปเรื่อยๆ ไปเองจนยกมือขอยอมจำนนในที่สุด
แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่เชื่อในแนวทางเช่นนี้ทั้งทักษิณ ชินวัตร ทั้งทุนและผลประโยชน์ของเครือข่ายทุน-นักการเมืองมหาศาล ที่ผ่านมาก็ชัดเจนกันอยู่ว่ารัฐบาลสู้ยิบตาจะให้ยอมลาออกง่ายๆ ฝันไปเถิด
คนที่อยากให้รัฐบาลพ้นอำนาจออกไปจำนวนหนึ่งเริ่มมองหาตัวช่วย บ้างเรียกร้องให้ศาลทำงาน ให้ป.ป.ช.ชี้มูลยิ่งลักษณ์เร็วๆ ไปจนถึงเรียกร้องให้ทหารยึดอำนาจไปเลยก็มี ซึ่งหากเป็นไปในรูปนี้โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับทหารมีความเสี่ยงสูงที่เรื่องอาจจะยังไม่จบ เป็นไปได้ที่จะย้อนกลับไปยังวงจรเดิมที่เคยเกิดขึ้น การปฏิรูปอะไรที่ว่าจะได้เป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ คงยากเพราะต่อให้ทำดีให้ตายออกแบบเพื่อประโยชน์ของชาติจริงๆ แต่ก็จะมีประชาชนจำนวนหนึ่งไม่เอาผลผลิตของขั้วอำนาจอีกฝ่าย เช่น การกระจายอำนาจต่อให้ดีให้ตายก็จะถูกปฏิเสธจากพื้นที่สีแดง
ไม่แพ้น่ะแน่นอน...แล้วจะชนะยังไง
ชนะแบบแรกคือทนอึดให้ปูเหี่ยวไปเอง
ชนะแบบสองคือรอศาลหรือป.ป.ช.ชี้
ชนะแบบสามมวลมหาทหารและข้าราชการประกาศมาอยู่ทางฝ่ายนี้ รัฐบาลมีแต่หัวไม่มีมือไม้
หรือชนะแบบอื่นๆ แบบที่สี่ ...แบบที่ห้า...
หรือสงครามกลางเมือง...แบ่งประเทศกันไปเลยว่ะ!!
ดังนั้นคำว่า ชนะเมื่อไหร่ กับ ชนะยังไง ? จึงเป็นคำถามสำคัญที่สุดในนาทีนี้ เพราะอย่าลืมว่าฝ่ายรัฐบาลเองก็อยากให้ตัวนั้นชนะเหมือนกัน แผนการเสื้อขาวจุดเทียนก็คือคามพยายามดึงคนกลางๆ มาเป็นพวกแต่ก็ยังไม่สำเร็จนัก
ไม่ใช่แค่การจุดเทียน ยังมีการลุกฮือเล็กๆ ในวันเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นสัญญาณว่าวันเลือกตั้งจริงก็จะมีแบบนี้ ภาวนาอย่าให้บรรยากาศและสภาพของบังคลาเทศมาเยือนประเทศไทย
ชอบใจโพสต์หนึ่งของส.ว.รสนา ในเฟซบุ้คของเธอเมื่อ 10 ธันวาคมเขียนว่า...
“มีนิทานเรื่องนางยักษ์แปลงตัวเป็นแม่เด็กหมายจะกินเด็ก แม่จริงกับแม่ปลอมทะเลาะกัน ต่างอ้างตัวเป็นแม่ ทั้งสองพากันไปให้พระมโหสถตัดสิน พระมโหสถบอกว่าถ้าให้ตัดสินก็จะช่วย แต่ตัดสินอย่างไรทั้งสองต้องยอมรับนะ
เมื่อแม่ทั้งจริงและปลอมยอมรับ พระมโหสถจึงขีดเส้นกลางขึ้นมา และเอาเด็กวางตรงกลาง แล้วให้แม่ทั้งสองยืนคนละข้าง และบอกให้ทั้งสองดึงเด็ก ใครชนะก็ได้เด็กไป
นางยักษ์แปลงดีใจมากลงมือดึงแขนเด็กข้างหนึ่ง คิดว่าอย่างน้อยได้มาครึ่งตัวก็ยังดีแม่จริงก็จับแขนลูกอีกข้างดึง แต่พอเด็กร้องไห้ แม่จริงปล่อยแขนลูกทันที ด้วยหัวใจแตกสลาย ร้องไห้สงสารลูก แต่นางยักษ์ยิ้มดีใจจะได้เด็กมากิน พระมโหสถจึงถามประชาชนที่มุงดูอยู่ คิดว่าใครคือแม่ที่แท้จริง ประชาชนก็เข้าใจได้ทันทีว่า แม่ที่แท้จริงย่อมไม่อาจทนเห็นความเจ็บปวดของลูกได้ ส่วนนางยักษ์ที่แปลงกายมาคิดแต่อยากได้เด็ก ไม่สนใจความเจ็บปวดของเด็ก ไม่สนใจแม้แต่ชีวิตเด็ก ประชาชนก็ขับไล่นางยักษ์ไป และแม่ที่แท้จริงก็ได้ลูกคืนมา
ขณะนี้ประเทศไทยเป็นเหมือนหญิงท้องแก่ การคลอดเป็นวิกฤติใหญ่ของผู้หญิงแต่วิกฤติคือต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ เราต้องประคับประคองให้ประเทศคลอดสิ่งใหม่เหมือนได้ลูกที่สมประกอบ โดยทั้งแม่และลูกปลอดภัย”
………
ในท่ามกลางการต่อสู้ที่หนักขึ้นทุกขณะ ขนาดยิงกันกลางวันแสกๆ มีการทำร้ายร่างกายระหว่างประชาชน มีการลอบสังหารโดยฝีมือของกองกำลังกำลังลากสถานการณ์ให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนี้คงจะมีเหตุการณ์ที่ไม่เคยเจออีกหลายๆ อย่าง
รุนแรงขึ้นแน่ๆ !
ไม่ได้เรียกร้องสวมเสื้อขาวจุดเทียนเขียนสันติภาพ หยุดเถอะทุกฝ่ายเรามาเกี่ยวก้อยกันไปเลือกตั้ง 2 กุมภา หรือเรียกร้องให้ทักษิณยอมนอนหงายยกมือยอมแพ้เอาไปเถอะบัลลังก์อำนาจหรอกนะครับ...เพราะมันเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติจริง
แค่อยากให้แต่ละฝ่ายทั้งแกนนำและมวลชนเบิ่งตาดูข้อเท็จจริงกันให้มากๆ อะไรที่เป็นไปได้จริง อะไรที่แค่ความฝัน อะไรที่หวังพึ่งจมูกเขาหายใจ อะไรที่ทำเองได้
คนที่เป็นวิญญูชนมันลำบากตรงที่ต้องเหนื่อยกว่าชาวบ้าน ไหนจะต้องสู้กับอันธพาลและไหนต้องรักษาบ้านเมืองไม่ให้บุบช้ำสลาย ขว้างมุสิกทีก็เกรงภาชนะขยับลำบากกว่าอันธพาลโจรร้ายแน่นอน
วิญญูชนย่อมต้องมีความคิดและวิถีทางแบบวิญญูชน เพราะถ้าเผลอสติแตกไม่เอาแล้วนั่งสวดมนต์มาคิดแบบโจรร้ายช่วยกันดึงแขนดึงขาเด็กประมาณว่ากูไม่สนแล้วนาทีนี้ มึงได้ไปข้างกูเอามาข้างก็ไม่แน่นะ ถึงเวลาจะมีคนกลางๆ ใจอ่อนทนเห็นเด็กถูกแบ่งแขนขาไม่ไหวออกโรงมาอีกฝ่าย
กลุ่มคนกลางๆ ที่แท้จริงออกมาเพราะทนเห็นเด็กถูกแบ่งแขนขาไม่ไหวก็เป็นอีกแบบจำลองสถานการณ์แบบหนึ่งที่มีความเป็นไปได้สูงขึ้นเรื่อยๆ นะครับ กลุ่มนี้มีน้ำหนักแน่ๆ ฝ่ายรัฐบาลก็เห็นพลังของคนกลุ่มนี้พยายามเอามาเป็นพวกแต่ยังไม่สำเร็จ
กำนันจะชนะยังไง-ชนะแบบไหน มีหลายปัจจัยที่จะมาร่วมกำหนด.
“ฝ่ายมวลชนนกหวีดน่ะยังไงก็ไม่แพ้แน่ แต่จะชนะเมื่อไหร่ก็เท่านั้น”
นั่นเพราะว่าต่อให้ทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในสภาวะแบบนี้มีอำนาจก็ปกครองไม่ได้ อย่าว่าแต่ลงภาคใต้เลยเอาแค่เดินถนนในกรุงเทพก็เดินไม่ได้ ประชาชนไม่เชื่อไม่ยอมรับผู้ปกครอง ไม่ศรัทธาในระบบการเมืองที่เป็นอยู่ไปเสียแล้ว
คำว่าไม่แพ้แน่ๆ ชัดเจนอยู่ในตัว แต่คำว่าชนะเมื่อไหร่นั้นเหมือนจะยังกำหนดไม่ได้
เก็บคะแนนขาดลอยยังเหลือแต่น็อคไม่ได้ !!!
กำนันสุเทพประกาศทุบหม้อข้าวขีดเส้นเอาชัยชนะมาให้ได้หลายครั้งแล้ว แรกก็ภายในวันที่ 9 ธันวาคม จากนั้นก็เลื่อนเรื่อยมาจนกระทั่งวันดีเดย์ปิดกรุงและล่าสุดก็เลื่อนมาก่อน 2 กุมภาพันธ์ซึ่งแนวโน้มก็ยังไม่ได้
ชนะเมื่อไหร่ และชนะยังไงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ฝ่ายกำนันสุเทพเป็นผู้กำหนดฝ่ายเดียวหากแต่ต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ ร่วมด้วยทั้งฝ่ายทักษิณและฝ่ายองค์กรที่สามและก็ไม่แน่ว่าจากนี้ไปเสียงของคนกลางๆ ที่แท้จริงจะเริ่มมีน้ำหนักมาร่วมกำหนดด้วยหนักขึ้นๆ
เพราะลำพังมวลมหาพี่น้องประชาชนเป่านกหวีดนั้นทำได้แค่โยกคลอนไม่สามารถเผด็จศึก ต้องยอมรับความจริงกันนะเรื่องนี้
บางคนยังคิดหวังว่าทนอึดอีกหน่อยรัฐบาลปูก็จะเหมือนคนเป็นโรคขาดสารอาหารถูกปิดล้อมทุกทางถูกทำให้ง่อยเปลี้ยหมดสภาพลงไปเรื่อยๆ ไปเองจนยกมือขอยอมจำนนในที่สุด
แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่เชื่อในแนวทางเช่นนี้ทั้งทักษิณ ชินวัตร ทั้งทุนและผลประโยชน์ของเครือข่ายทุน-นักการเมืองมหาศาล ที่ผ่านมาก็ชัดเจนกันอยู่ว่ารัฐบาลสู้ยิบตาจะให้ยอมลาออกง่ายๆ ฝันไปเถิด
คนที่อยากให้รัฐบาลพ้นอำนาจออกไปจำนวนหนึ่งเริ่มมองหาตัวช่วย บ้างเรียกร้องให้ศาลทำงาน ให้ป.ป.ช.ชี้มูลยิ่งลักษณ์เร็วๆ ไปจนถึงเรียกร้องให้ทหารยึดอำนาจไปเลยก็มี ซึ่งหากเป็นไปในรูปนี้โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับทหารมีความเสี่ยงสูงที่เรื่องอาจจะยังไม่จบ เป็นไปได้ที่จะย้อนกลับไปยังวงจรเดิมที่เคยเกิดขึ้น การปฏิรูปอะไรที่ว่าจะได้เป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ คงยากเพราะต่อให้ทำดีให้ตายออกแบบเพื่อประโยชน์ของชาติจริงๆ แต่ก็จะมีประชาชนจำนวนหนึ่งไม่เอาผลผลิตของขั้วอำนาจอีกฝ่าย เช่น การกระจายอำนาจต่อให้ดีให้ตายก็จะถูกปฏิเสธจากพื้นที่สีแดง
ไม่แพ้น่ะแน่นอน...แล้วจะชนะยังไง
ชนะแบบแรกคือทนอึดให้ปูเหี่ยวไปเอง
ชนะแบบสองคือรอศาลหรือป.ป.ช.ชี้
ชนะแบบสามมวลมหาทหารและข้าราชการประกาศมาอยู่ทางฝ่ายนี้ รัฐบาลมีแต่หัวไม่มีมือไม้
หรือชนะแบบอื่นๆ แบบที่สี่ ...แบบที่ห้า...
หรือสงครามกลางเมือง...แบ่งประเทศกันไปเลยว่ะ!!
ดังนั้นคำว่า ชนะเมื่อไหร่ กับ ชนะยังไง ? จึงเป็นคำถามสำคัญที่สุดในนาทีนี้ เพราะอย่าลืมว่าฝ่ายรัฐบาลเองก็อยากให้ตัวนั้นชนะเหมือนกัน แผนการเสื้อขาวจุดเทียนก็คือคามพยายามดึงคนกลางๆ มาเป็นพวกแต่ก็ยังไม่สำเร็จนัก
ไม่ใช่แค่การจุดเทียน ยังมีการลุกฮือเล็กๆ ในวันเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นสัญญาณว่าวันเลือกตั้งจริงก็จะมีแบบนี้ ภาวนาอย่าให้บรรยากาศและสภาพของบังคลาเทศมาเยือนประเทศไทย
ชอบใจโพสต์หนึ่งของส.ว.รสนา ในเฟซบุ้คของเธอเมื่อ 10 ธันวาคมเขียนว่า...
“มีนิทานเรื่องนางยักษ์แปลงตัวเป็นแม่เด็กหมายจะกินเด็ก แม่จริงกับแม่ปลอมทะเลาะกัน ต่างอ้างตัวเป็นแม่ ทั้งสองพากันไปให้พระมโหสถตัดสิน พระมโหสถบอกว่าถ้าให้ตัดสินก็จะช่วย แต่ตัดสินอย่างไรทั้งสองต้องยอมรับนะ
เมื่อแม่ทั้งจริงและปลอมยอมรับ พระมโหสถจึงขีดเส้นกลางขึ้นมา และเอาเด็กวางตรงกลาง แล้วให้แม่ทั้งสองยืนคนละข้าง และบอกให้ทั้งสองดึงเด็ก ใครชนะก็ได้เด็กไป
นางยักษ์แปลงดีใจมากลงมือดึงแขนเด็กข้างหนึ่ง คิดว่าอย่างน้อยได้มาครึ่งตัวก็ยังดีแม่จริงก็จับแขนลูกอีกข้างดึง แต่พอเด็กร้องไห้ แม่จริงปล่อยแขนลูกทันที ด้วยหัวใจแตกสลาย ร้องไห้สงสารลูก แต่นางยักษ์ยิ้มดีใจจะได้เด็กมากิน พระมโหสถจึงถามประชาชนที่มุงดูอยู่ คิดว่าใครคือแม่ที่แท้จริง ประชาชนก็เข้าใจได้ทันทีว่า แม่ที่แท้จริงย่อมไม่อาจทนเห็นความเจ็บปวดของลูกได้ ส่วนนางยักษ์ที่แปลงกายมาคิดแต่อยากได้เด็ก ไม่สนใจความเจ็บปวดของเด็ก ไม่สนใจแม้แต่ชีวิตเด็ก ประชาชนก็ขับไล่นางยักษ์ไป และแม่ที่แท้จริงก็ได้ลูกคืนมา
ขณะนี้ประเทศไทยเป็นเหมือนหญิงท้องแก่ การคลอดเป็นวิกฤติใหญ่ของผู้หญิงแต่วิกฤติคือต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ เราต้องประคับประคองให้ประเทศคลอดสิ่งใหม่เหมือนได้ลูกที่สมประกอบ โดยทั้งแม่และลูกปลอดภัย”
………
ในท่ามกลางการต่อสู้ที่หนักขึ้นทุกขณะ ขนาดยิงกันกลางวันแสกๆ มีการทำร้ายร่างกายระหว่างประชาชน มีการลอบสังหารโดยฝีมือของกองกำลังกำลังลากสถานการณ์ให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนี้คงจะมีเหตุการณ์ที่ไม่เคยเจออีกหลายๆ อย่าง
รุนแรงขึ้นแน่ๆ !
ไม่ได้เรียกร้องสวมเสื้อขาวจุดเทียนเขียนสันติภาพ หยุดเถอะทุกฝ่ายเรามาเกี่ยวก้อยกันไปเลือกตั้ง 2 กุมภา หรือเรียกร้องให้ทักษิณยอมนอนหงายยกมือยอมแพ้เอาไปเถอะบัลลังก์อำนาจหรอกนะครับ...เพราะมันเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติจริง
แค่อยากให้แต่ละฝ่ายทั้งแกนนำและมวลชนเบิ่งตาดูข้อเท็จจริงกันให้มากๆ อะไรที่เป็นไปได้จริง อะไรที่แค่ความฝัน อะไรที่หวังพึ่งจมูกเขาหายใจ อะไรที่ทำเองได้
คนที่เป็นวิญญูชนมันลำบากตรงที่ต้องเหนื่อยกว่าชาวบ้าน ไหนจะต้องสู้กับอันธพาลและไหนต้องรักษาบ้านเมืองไม่ให้บุบช้ำสลาย ขว้างมุสิกทีก็เกรงภาชนะขยับลำบากกว่าอันธพาลโจรร้ายแน่นอน
วิญญูชนย่อมต้องมีความคิดและวิถีทางแบบวิญญูชน เพราะถ้าเผลอสติแตกไม่เอาแล้วนั่งสวดมนต์มาคิดแบบโจรร้ายช่วยกันดึงแขนดึงขาเด็กประมาณว่ากูไม่สนแล้วนาทีนี้ มึงได้ไปข้างกูเอามาข้างก็ไม่แน่นะ ถึงเวลาจะมีคนกลางๆ ใจอ่อนทนเห็นเด็กถูกแบ่งแขนขาไม่ไหวออกโรงมาอีกฝ่าย
กลุ่มคนกลางๆ ที่แท้จริงออกมาเพราะทนเห็นเด็กถูกแบ่งแขนขาไม่ไหวก็เป็นอีกแบบจำลองสถานการณ์แบบหนึ่งที่มีความเป็นไปได้สูงขึ้นเรื่อยๆ นะครับ กลุ่มนี้มีน้ำหนักแน่ๆ ฝ่ายรัฐบาลก็เห็นพลังของคนกลุ่มนี้พยายามเอามาเป็นพวกแต่ยังไม่สำเร็จ
กำนันจะชนะยังไง-ชนะแบบไหน มีหลายปัจจัยที่จะมาร่วมกำหนด.