การปิดกรุงเทพฯ หรือชัตดาวน์บางกอกเพื่อต่อสู้กับระบอบทักษิณในสัปดาห์แรกนั้นดำเนินไปโดยเรียบร้อย จนกระทั่งถึงช่วงศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ที่ผ่านมา
ในช่วงต้นสัปดาห์ ประชาชนชาวกรุงเทพฯ ที่ส่วนใหญ่เป็นแนวร่วม หรือเห็นด้วยกับแนวทางของ กปปส.พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทาง วางแผนการไปทำงาน หรือใช้รถไฟฟ้าหรือรถสาธารณะจนกระทบกระเทือนชีวิตประจำวันไม่มากนัก
อาจกล่าวได้ว่า ประชาชนชาวกรุงเทพฯ ที่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิรูปประเทศของ กปปส. ล้วนแต่ยินยอมใช้ความอดทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันทั้งสิ้น
ท่ามกลางการทำตัวไม่รู้ไม่เห็นของฝ่ายรัฐบาล นอกจากย้ายที่ทำงานหนีไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีการออกสื่อ ไม่มีแถลงการณ์ ไม่มีแนวทางรับมืออะไร เหมือนกับจะใช้ยุทธวิธีว่า เดี๋ยวคนกรุงเทพฯ เดือดร้อนมากๆ อดไม่ไหว ก็จะเป็นแรงกดดันกลับไปหา กปปส.เอง หรือรอให้มวลชนฝ่อกลับไปเอง
แต่อาจจะเป็นเพราะการที่ในที่สุด การปิดกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ยุ่งยากรุนแรง หรือเกิดผลสะท้อนกลับที่บางฝ่ายอาจจะคาดหมาย และการปิดกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะจบง่ายๆความรุนแรงที่จับมือใครดมไม่ได้จึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันศุกร์ เมื่อมีการลอบยิง ลอบขว้างประทัดยักษ์ใส่บังเกอร์และการ์ดบางจุด
จนกระทั่งเหตุสะเทือนขวัญที่รุนแรงที่สุดเมื่อช่วงสายวันศุกร์ คือการโยนระเบิดสังหารใส่ขบวนของมวลมหาประชาชนที่ถนนบรรทัดทอง
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหนึ่งคน คือ คุณประคอง ชูจันทร์ และบาดเจ็บอีกหลายสิบคน
ซ้ำด้วยเหตุการณ์ขว้างระเบิดใส่เวทีที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายสิบคน และเชื่อว่าเป็นการมุ่งสังหารนายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.
และรวมทั้งการลอบยิงการ์ดอาสา ตามด่านและเวทีต่างๆ อีกมากมายรายคืน
แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าความรุนแรงทั้งหลายที่กล่าวมานั้น เป็นฝีมือของฝ่ายใด จะมือที่สาม หรือมือที่สองจุดห้า หรืออาจจะเกิดจากการ “หรี่ตา” ของใครบ้าง ก็ว่ากันไป
แต่ในฐานะที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาความสงบสุขของประเทศ ซึ่งหมายถึง “ประชาชน” ทั้งประเทศ แม้แต่กลุ่มที่ไม่ใช่ฐานเสียง หรือกลุ่มที่ไม่ได้เลือกรัฐบาลด้วย เพราะถ้ายืนยันว่าเป็นรัฐบาลของประเทศไทย ก็ต้องคุ้มครองคนไทยทุกคนเสมอหน้ากัน
ดังนั้น เหตุยิงและเหตุระเบิดที่เกิดกับมวลชน กปปส.นี้ จึงถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่รัฐบาล หรือคนที่ยังอ้างว่าเป็นรัฐบาล และอยากเป็นรัฐบาลต่อไป ปฏิเสธไม่ได้ หาไม่แล้ว เท่ากับการทิ้งปล่อยให้ประเทศอยู่ในภาวะแบบรัฐล้มเหลว (Fail state) ที่มีกลุ่มกองกำลังติดอาวุธไล่ยิงไล่ฆ่าประชาชนกลางถนนได้อย่างเสรี เหมือนกับประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม
ในอีกทางหนึ่ง กลุ่มมวลชนที่พยายามต่อต้านการปฏิรูปประเทศตามแนวทางของ กปปส. ก็พยายามสร้างความเคลื่อนไหวเพื่อให้ปรากฏทั้งในสื่อจริง และสื่อโซเชียล นั่นคือกลุ่ม “เสื้อขาว” จุดเทียนเรียกร้องสันติภาพ หรือกลุ่มที่สนับสนุนให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดของรัฐบาล คือวันที่ 2 กุมภาพันธ์
แม้จะถูกจับได้ว่า ส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้ หรือพวกที่เป็นแกนนำเป็น “แดงถอดเสื้อ” ออกมา เช่น กลุ่ม บก. ลายจุด หรือบรรดาเสื้อแดงนักกิจกรรมทั้งหลาย
แต่ก็ต้องยอมรับว่าในกลุ่มเสื้อขาวจุดเทียนนี้ ก็ยังมีคนที่เป็นกลางๆ จริงๆ หรือคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงอยู่บ้างบางส่วน
เหตุผลของคนที่ไม่ใช่แดงถอดเสื้อ แต่ไปจุดเทียนผูกผ้าขาว บางส่วนอาจจะแค่คิดว่าการแสดงออกแบบ “สวนกระแสหลัก” เป็นความเท่ หรืออินดี้ นั่นคือ คนส่วนใหญ่ผูกริบบิ้นธงชาติไปเป่านกหวีดกันเยอะเป็นกระแสหลัก ไม่คูลแล้ว เลยขอสวนกระแสด้วยการใส่เสื้อขาวจุดเทียน คนกลุ่มขวางโลกเอาเก๋แนวนี้ก็มีจริงเหมือนกัน
กับอีกกลุ่มที่อาจจะเป็นผู้ที่เคร่งครัดแต่หลักการท่องคาถาอยู่บทเดียว คือ “การเลือกตั้งคือทั้งหมดของประชาธิปไตย” และ “การเลือกตั้ง ต้องเลือกตามวันที่รัฐบาลกำหนด ไม่งั้นก็ไม่ใช่การเลือกตั้ง”
คนเสื้อขาวกลุ่มนี้ อาจจะเลือกจุดเทียนเพื่อแสดงออกว่าอยากได้สันติภาพ แต่การยืนกรานหัวเด็ดตีนขาด ว่าจะต้องมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์เท่านั้น มันจะนำมาซึ่งสันติภาพได้อย่างไร
ในสภาวะที่คนไม่ยอมรับรัฐบาลรักษาการนี้ทั้งบ้านทั้งเมือง การเลือกตั้งที่เห็นอยู่ว่า ล็อกตัวผู้ได้รับเลือกไว้ก่อนแล้วว่าหน้าเดิมๆ มาแน่ จะนำมาซึ่งสันติภาพได้อย่างไร
การเลือกตั้งที่ใช้กติกาเดิม โครงสร้างทางการเมือง โครงสร้างทางอำนาจเดิม การเลือกตั้งนี้จะแสดงเสียงแสดงสิทธิและความเห็นของคนในประเทศได้อย่างไร นอกเสียจากเป็นการใช้การเลือกตั้งนี้เพื่อ “ฟอกตัว” ให้รัฐบาลที่เคยทำเรื่องผิดพลาด ล้มเหลว ส่อทุจริต ทั้งการใช้กระบวนการพวกมาลากแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและความได้เปรียบทางการเมืองฝ่ายตัวเอง ทั้งการจำนำข้าว การกู้เงินสองล้านล้าน ที่ชี้ให้เห็นว่าไม่โปร่งใส ถูกสอบสวนอยู่เช่นนี้
การเลือกตั้งจะกลับทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลที่ว่านี้ อ้างความชอบธรรมได้ทันที ว่า ประชาชนทั้งประเทศตัดสินอีกครั้งแล้วว่า รัฐบาลนี้ชอบธรรมผ่านการเลือกตั้ง
ก็คิดดูเถิดว่า การเลือกตั้งท่ามกลางความขัดแย้ง ในภาวะของรัฐล้มเหลว การเลือกตั้งที่มีผู้รอรับสมอ้างความชอบธรรมอยู่เช่นนี้จะนำมาสู่ “สันติภาพ” หรือ “สันติสุข” ที่พวกท่านเรียกร้องได้อย่างไร
ข้อเขียนข้างต้นนี้คงไม่ได้มุ่งสื่อสารให้พวกแดงถอดเสื้อมาใส่ขาว นั่นเพราะสำหรับพวกเขา การสนับสนุนการเลือกตั้งให้ลากถูกันไปให้ได้ในกำหนดการเดิม คือผลประโยชน์ตามยุทธวิธีของพวกเขา
แต่อยากให้คนที่เป็นกลางๆ ผู้แต่งขาวออกมาจุดเทียน เพียงอยากได้สันติภาพ คนที่ยึดที่กอดตำราว่า “ไม่มีเลือกตั้งไม่มีประชาธิปไตย” นั้นระลึกทบทวนดูหน่อย ว่าสิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณต้องการ มันเป็นไปได้จริงไหม คือพลังของพวกคุณ ถูกนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อพวกไหน
และสำหรับที่อยากเลือกตั้งมากๆ ก็ต้องไม่ลืมว่า แม้ไม่เลือกตั้งในกำหนดเวลาของรัฐบาล คือ 2 กุมภาพันธ์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าประเทศนี้จะไม่มีการเลือกตั้งอีกเลย ตราบใดที่เรายังจะปกครองกันด้วยระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แสดงออกซึ่งเสียงของประชาชนเจ้าของประเทศโดยแท้จริง การเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องยืนกระต่ายขาเดียวจะต้องเลือกตั้งในครั้งนี้ให้ได้
ก็ลองคิดดูว่า การยืนกรานให้ลากถูเลือกตั้งไปให้ได้ ทั้งๆ ที่เป็นการผลักประเทศเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง กับการเลือกตั้งเมื่อทุกฝ่ายยินยอมพร้อมใจร่วมกันแล้ว อย่างใดกัน คือการเลือกตั้งที่นำมาซึ่งสันติภาพอย่างที่พวกท่านเรียกร้อง
ในช่วงต้นสัปดาห์ ประชาชนชาวกรุงเทพฯ ที่ส่วนใหญ่เป็นแนวร่วม หรือเห็นด้วยกับแนวทางของ กปปส.พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทาง วางแผนการไปทำงาน หรือใช้รถไฟฟ้าหรือรถสาธารณะจนกระทบกระเทือนชีวิตประจำวันไม่มากนัก
อาจกล่าวได้ว่า ประชาชนชาวกรุงเทพฯ ที่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิรูปประเทศของ กปปส. ล้วนแต่ยินยอมใช้ความอดทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันทั้งสิ้น
ท่ามกลางการทำตัวไม่รู้ไม่เห็นของฝ่ายรัฐบาล นอกจากย้ายที่ทำงานหนีไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีการออกสื่อ ไม่มีแถลงการณ์ ไม่มีแนวทางรับมืออะไร เหมือนกับจะใช้ยุทธวิธีว่า เดี๋ยวคนกรุงเทพฯ เดือดร้อนมากๆ อดไม่ไหว ก็จะเป็นแรงกดดันกลับไปหา กปปส.เอง หรือรอให้มวลชนฝ่อกลับไปเอง
แต่อาจจะเป็นเพราะการที่ในที่สุด การปิดกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ยุ่งยากรุนแรง หรือเกิดผลสะท้อนกลับที่บางฝ่ายอาจจะคาดหมาย และการปิดกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะจบง่ายๆความรุนแรงที่จับมือใครดมไม่ได้จึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันศุกร์ เมื่อมีการลอบยิง ลอบขว้างประทัดยักษ์ใส่บังเกอร์และการ์ดบางจุด
จนกระทั่งเหตุสะเทือนขวัญที่รุนแรงที่สุดเมื่อช่วงสายวันศุกร์ คือการโยนระเบิดสังหารใส่ขบวนของมวลมหาประชาชนที่ถนนบรรทัดทอง
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหนึ่งคน คือ คุณประคอง ชูจันทร์ และบาดเจ็บอีกหลายสิบคน
ซ้ำด้วยเหตุการณ์ขว้างระเบิดใส่เวทีที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายสิบคน และเชื่อว่าเป็นการมุ่งสังหารนายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.
และรวมทั้งการลอบยิงการ์ดอาสา ตามด่านและเวทีต่างๆ อีกมากมายรายคืน
แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าความรุนแรงทั้งหลายที่กล่าวมานั้น เป็นฝีมือของฝ่ายใด จะมือที่สาม หรือมือที่สองจุดห้า หรืออาจจะเกิดจากการ “หรี่ตา” ของใครบ้าง ก็ว่ากันไป
แต่ในฐานะที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาความสงบสุขของประเทศ ซึ่งหมายถึง “ประชาชน” ทั้งประเทศ แม้แต่กลุ่มที่ไม่ใช่ฐานเสียง หรือกลุ่มที่ไม่ได้เลือกรัฐบาลด้วย เพราะถ้ายืนยันว่าเป็นรัฐบาลของประเทศไทย ก็ต้องคุ้มครองคนไทยทุกคนเสมอหน้ากัน
ดังนั้น เหตุยิงและเหตุระเบิดที่เกิดกับมวลชน กปปส.นี้ จึงถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่รัฐบาล หรือคนที่ยังอ้างว่าเป็นรัฐบาล และอยากเป็นรัฐบาลต่อไป ปฏิเสธไม่ได้ หาไม่แล้ว เท่ากับการทิ้งปล่อยให้ประเทศอยู่ในภาวะแบบรัฐล้มเหลว (Fail state) ที่มีกลุ่มกองกำลังติดอาวุธไล่ยิงไล่ฆ่าประชาชนกลางถนนได้อย่างเสรี เหมือนกับประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม
ในอีกทางหนึ่ง กลุ่มมวลชนที่พยายามต่อต้านการปฏิรูปประเทศตามแนวทางของ กปปส. ก็พยายามสร้างความเคลื่อนไหวเพื่อให้ปรากฏทั้งในสื่อจริง และสื่อโซเชียล นั่นคือกลุ่ม “เสื้อขาว” จุดเทียนเรียกร้องสันติภาพ หรือกลุ่มที่สนับสนุนให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดของรัฐบาล คือวันที่ 2 กุมภาพันธ์
แม้จะถูกจับได้ว่า ส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้ หรือพวกที่เป็นแกนนำเป็น “แดงถอดเสื้อ” ออกมา เช่น กลุ่ม บก. ลายจุด หรือบรรดาเสื้อแดงนักกิจกรรมทั้งหลาย
แต่ก็ต้องยอมรับว่าในกลุ่มเสื้อขาวจุดเทียนนี้ ก็ยังมีคนที่เป็นกลางๆ จริงๆ หรือคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงอยู่บ้างบางส่วน
เหตุผลของคนที่ไม่ใช่แดงถอดเสื้อ แต่ไปจุดเทียนผูกผ้าขาว บางส่วนอาจจะแค่คิดว่าการแสดงออกแบบ “สวนกระแสหลัก” เป็นความเท่ หรืออินดี้ นั่นคือ คนส่วนใหญ่ผูกริบบิ้นธงชาติไปเป่านกหวีดกันเยอะเป็นกระแสหลัก ไม่คูลแล้ว เลยขอสวนกระแสด้วยการใส่เสื้อขาวจุดเทียน คนกลุ่มขวางโลกเอาเก๋แนวนี้ก็มีจริงเหมือนกัน
กับอีกกลุ่มที่อาจจะเป็นผู้ที่เคร่งครัดแต่หลักการท่องคาถาอยู่บทเดียว คือ “การเลือกตั้งคือทั้งหมดของประชาธิปไตย” และ “การเลือกตั้ง ต้องเลือกตามวันที่รัฐบาลกำหนด ไม่งั้นก็ไม่ใช่การเลือกตั้ง”
คนเสื้อขาวกลุ่มนี้ อาจจะเลือกจุดเทียนเพื่อแสดงออกว่าอยากได้สันติภาพ แต่การยืนกรานหัวเด็ดตีนขาด ว่าจะต้องมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์เท่านั้น มันจะนำมาซึ่งสันติภาพได้อย่างไร
ในสภาวะที่คนไม่ยอมรับรัฐบาลรักษาการนี้ทั้งบ้านทั้งเมือง การเลือกตั้งที่เห็นอยู่ว่า ล็อกตัวผู้ได้รับเลือกไว้ก่อนแล้วว่าหน้าเดิมๆ มาแน่ จะนำมาซึ่งสันติภาพได้อย่างไร
การเลือกตั้งที่ใช้กติกาเดิม โครงสร้างทางการเมือง โครงสร้างทางอำนาจเดิม การเลือกตั้งนี้จะแสดงเสียงแสดงสิทธิและความเห็นของคนในประเทศได้อย่างไร นอกเสียจากเป็นการใช้การเลือกตั้งนี้เพื่อ “ฟอกตัว” ให้รัฐบาลที่เคยทำเรื่องผิดพลาด ล้มเหลว ส่อทุจริต ทั้งการใช้กระบวนการพวกมาลากแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและความได้เปรียบทางการเมืองฝ่ายตัวเอง ทั้งการจำนำข้าว การกู้เงินสองล้านล้าน ที่ชี้ให้เห็นว่าไม่โปร่งใส ถูกสอบสวนอยู่เช่นนี้
การเลือกตั้งจะกลับทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลที่ว่านี้ อ้างความชอบธรรมได้ทันที ว่า ประชาชนทั้งประเทศตัดสินอีกครั้งแล้วว่า รัฐบาลนี้ชอบธรรมผ่านการเลือกตั้ง
ก็คิดดูเถิดว่า การเลือกตั้งท่ามกลางความขัดแย้ง ในภาวะของรัฐล้มเหลว การเลือกตั้งที่มีผู้รอรับสมอ้างความชอบธรรมอยู่เช่นนี้จะนำมาสู่ “สันติภาพ” หรือ “สันติสุข” ที่พวกท่านเรียกร้องได้อย่างไร
ข้อเขียนข้างต้นนี้คงไม่ได้มุ่งสื่อสารให้พวกแดงถอดเสื้อมาใส่ขาว นั่นเพราะสำหรับพวกเขา การสนับสนุนการเลือกตั้งให้ลากถูกันไปให้ได้ในกำหนดการเดิม คือผลประโยชน์ตามยุทธวิธีของพวกเขา
แต่อยากให้คนที่เป็นกลางๆ ผู้แต่งขาวออกมาจุดเทียน เพียงอยากได้สันติภาพ คนที่ยึดที่กอดตำราว่า “ไม่มีเลือกตั้งไม่มีประชาธิปไตย” นั้นระลึกทบทวนดูหน่อย ว่าสิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณต้องการ มันเป็นไปได้จริงไหม คือพลังของพวกคุณ ถูกนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อพวกไหน
และสำหรับที่อยากเลือกตั้งมากๆ ก็ต้องไม่ลืมว่า แม้ไม่เลือกตั้งในกำหนดเวลาของรัฐบาล คือ 2 กุมภาพันธ์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าประเทศนี้จะไม่มีการเลือกตั้งอีกเลย ตราบใดที่เรายังจะปกครองกันด้วยระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แสดงออกซึ่งเสียงของประชาชนเจ้าของประเทศโดยแท้จริง การเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องยืนกระต่ายขาเดียวจะต้องเลือกตั้งในครั้งนี้ให้ได้
ก็ลองคิดดูว่า การยืนกรานให้ลากถูเลือกตั้งไปให้ได้ ทั้งๆ ที่เป็นการผลักประเทศเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง กับการเลือกตั้งเมื่อทุกฝ่ายยินยอมพร้อมใจร่วมกันแล้ว อย่างใดกัน คือการเลือกตั้งที่นำมาซึ่งสันติภาพอย่างที่พวกท่านเรียกร้อง