xs
xsm
sm
md
lg

นกหวีดครั้งสุดท้าย ณ คืนลอยกระทง

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

ดูบรรยากาศสังเกตการณ์นัดหมายของเพื่อนฝูงต่างจังหวัดแล้ว 24 พ.ย.นี้คนคงจะมากจริงๆ ส่วนหนึ่งเพราะได้พิสูจน์กันไปแล้วว่าแม้เวทีราชดำเนินจะส่งสัญญาณมุกแป้กมาแล้ว แต่ทว่าคืนจากนั้นก็ยังมีจำนวนคนที่หนาตาอยู่ ลองคิดดูปริมาณคนเก่าที่เต็มราชดำเนินมารอบแล้วบวกกับคนกลุ่มใหม่ต่างจังหวัดจะมากมายมหาศาลขนาดไหน

มันไม่ใช่แค่อารมณ์ที่เวทีปลุกแล้วฟู หรือ แฟบ เพราะคนนะไม่ใช่ลูกโป่ง..นั่นมันแค่ปัจจัยรอง ม็อบที่มีพลังต้องไม่ใช่ม็อบที่เรียกเกณฑ์มาขึ้นรถบัสพร้อมกันแจกเสื้อแจกเงินเพราะมันได้แต่ปริมาณจอมปลอม ม็อบที่มีพลังคือม็อบที่ปัจเจกแต่ละคนรู้หน้าที่ว่าตัวเองทำอะไร เพื่ออะไร คิดเองเป็น

ปริมาณคนจึงไม่ลดแม้จะผ่านครึ่งเดือนมาแล้ว เพราะทุกคนรู้ว่าตนเป็นหนึ่งหยดน้ำที่ต้องเอาตัวเองมาเติมซึ่งกันและกันให้กลายเป็นมหาสาครใหญ่

ทักษิณมีอำนาจทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังในวงการเมืองนานเกินไปแล้วนับจากที่เขาเถลิงอำนาจเมื่อปี 2544 บัดนี้ก็เป็นเวลา 12 ปี เฉพาะที่หล่นจากอำนาจเมื่อพฤศจิกายน 2549 นี่ก็ครบ 7 ปีพอดี ต่อให้คนเสื้อแดงที่จงรักภักดีเพียงใดย่อมคลายความรักผูกพันลงมาบ้าง ปั้ดโธ่ ! ขนาดผัวหรือเมียตายไปนานขนาดนี้ส่วนใหญ่เขาก็แต่งงานใหม่กันแล้ว ไม่มานั่งร่ำไรคร่ำครวญถึงหรอก ทักษิณเองก็อย่าฝันไปที่เขาเฮๆกันเพราะเงินจ้างมาหรอก จุดพีคที่สุดของทักษิณที่ยังหลอกให้คนมานั่งนอนกินบนถนนได้แบบเต็มใจน่ะผ่านไปแล้ว ที่เหลือตอนนี้ถ้าไม่จัดรถบัสมาให้ ไม่มีค่าน้ำมันให้ ไม่มีข้าวกล่องให้กิน ใครที่ไหนจะออกมาประท้วงให้นานเป็นเดือนๆ อย่างเก่งก็สองสามวันและต้องแถมค่าเสียเวลาให้นะ

คนที่ออกมาจากบ้านมาเป่านกหวีดมากมายมหาศาลเมื่อวันที่ 11 พ.ย. เป็นเพราะเขาอึดอัดกับรัฐบาลมานาน การออกกฎหมายนิรโทษระยำนั้นเป็นแค่ฟางเส้นสุดท้ายที่เขาเห็นว่ามันทำกันเกินไป เหิม-ห่าม-ย่ามใจ เขาจึงออกมาจากบ้าน ดังนั้นต่อให้รัฐบาลถอนกฎหมายออกไปสัตยาบันยังไงก็ยังไม่ได้บรรเทาเบาบางอารมณ์ของคน เพราะเขารู้ว่าอาการเหิมอำนาจยังอยู่แถมยังท้าทายจุดม็อบต้านเอยทำป้ายปูพรมทั่วประเทศอีกต่างหาก ที่สำคัญเจ้าส.ส. 310 คนนั่นยังไม่ได้ขอโทษประชาชนสักคำ ประชาชนคนไทยที่เขาพอมีสามัญสำนึกเข้าใจเรื่องการเมืองอยู่บ้างไม่มีใครยอมระบบสภาทาสผูกขาดประเทศหรอกครับเขาจึงทนเหนื่อยออกมา

ไม่รู้ว่าประชาธิปัตย์จะมีกลเม็ดอะไรซ่อนในกระเป๋าอยู่อีกแต่การนัดระดมใหญ่ 24 พ.ย.น่ะถูกต้องถามยุทธวิธีแล้วเพราะตีเหล็กต้องกำลังร้อน การยื่นถอดถอนมีผลในทางกฎหมายจริงแต่มันช้าแถมต้องใช้กำลังภายในอีกยกใหญ่ เพราะต่อให้ปปช.ชี้มูลว่าผิดจริง ส.ส.ทาสเหล่านั้นหยุดการทำหน้าที่แต่หากอยู่ในสมัยปิดประชุมก็ไม่มีผลอะไรต้องรอเปิดประชุมปลายกุมภา-มีนาคมปีหน้าโน่น นอกจากนั้นการถอดถอนต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของวุฒิสภาคือประมาณ 90 คน ยากอยู่ไม่น้อยคงจะได้ประมูลซื้อกันอุตลุตเพราะวุฒิสภาจะหมดอายุในเดือนมีนาคมแต่ละคนคงต้องหาเสบียงเฮือกสุดท้ายกันคนละหนุบหนับ

เกมยาวแบบนี้มีผลดีตามแบบของเกมยาวแต่สถานการณ์ตอนนี้อารมณ์คนไม่ต้องการเกมแบบนั้น ประชาธิปัตย์คงจับกระแสภายในแล้วรู้ว่ามุกแป้กมา 2 รอบติด 11-15 พ.ย. และที่สำคัญต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินแบบไหนในวันที่ 20 พ.ย.ก็คงไม่มีคำสั่งไปถึงยุบพรรคหรอก อย่างหนักที่สุดคือเอาผิดส.ส.ที่ลงคะแนนซึ่งโอกาสที่จะออกตานี้ก็น้อยนิด...ดีแล้วล่ะที่ไม่คิดพึ่งพาศาลท่าน ให้อาศัยกำลังประชาชนเท่านั้นแหละจึงจะเจริญได้ในเส้นทางประชาธิปไตย

ผมนึกภาพไม่ออกว่า 24 พ.ย.จะออกมาแบบไหนแค่ทำผังความเป็นไปได้ในใจสองสามแนวทางแต่ที่สุดถึงเวลาก็เห็นเอง... ประชาธิปัตย์จะชนะ หรือ เก็บของกลับบ้าน รัฐบาลจะทู่ซี้อยู่ยังไงสำหรับคนที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายค้านตลอดกาลอย่างผมนี่ไม่อินมากเท่าไหร่ครับ รัฐบาลออกไปก็ดีโครงการแดกน้ำ 3.5 แสนล้านและจำนำข้าวผลาญชาติจะได้จบๆ แต่ถ้ายังอยู่ก็จะเพาะบ่มแรงต้านมหาศาลให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังไงก็จบอยู่ดีแต่คราวหน้าอาจจบแบบศพไม่สวยหรือต้องเผ่นไปต่างประเทศทั้งโขยงก็เท่านั้น

วันที่ 24 จะเป็นไงไม่รู้--แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือว่านับจากนี้การเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพราะพลังอำนาจที่ 4 คืออำนาจของประชาชนในโครงสร้างส่วนล่างถูกปลุกขึ้นมาเต็มตัว พลังส่วนนี้จะมีอำนาจอย่างแท้จริง โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เอาตัวเองไปผูกพันเป็นมวลชนที่จงรักภักดีของพรรคการเมืองประเภทซ้ายขวาหัน อาจจะมีพรรคการเมืองที่ชอบเช่นเสื้อแดงอิสระอาจจะหนุนพรรคเพื่อไทยแต่เมื่อถึงเวลาเสื้อแดงก้าวหน้ากลุ่มหนึ่งก็ประกาศไม่เห็นด้วยกับพรรค หรือมีคนที่ชอบประชาธิปัตย์แต่ก็ไม่ได้หมายว่าหากประชาธิปัตย์ทำผิดก็จะยังหนุนต่อ

เปรียบกับกองเชียร์ฟุตบอลมีทีมรักของตัวแต่หากทีมทำผิด ไปซื้อผู้เล่นผิด ผู้จัดการทีมให้ท้ายผู้เล่นที่กระโดดกัดหูชาวบ้าน หรือขี้โกงเอาสลอดใส่ให้ทีมเยือนกิน ฯลฯ แฟนบอลเหล่านี้พร้อมจะตะโกนไม่พอใจหรือบอยคอตไม่เชียร์ แบบนี้แหละคือเสรีชน ไม่เหมือนกับแฟนบอลอีกประเภทเชียร์หน้ามืดให้ทีมตัวเองเตะก้านคอคู่ต่อสู้แล้วตะโกนเราต้องการเกมฟุตบอลที่แท้ อันนั้นมันกอดคอลงนรกต่างหาก

พลังอำนาจที่ 4 ที่มีพลังที่สุดคือมวลชนที่เป็นอิสระ มีสำนึกในเรื่องส่วนรวม และมีเสรีภาพเต็มตัว หากฝ่ายการเมืองต้องการพลังส่วนนี้ไปเป็นพวกต้องมีข้อเสนอที่เป็นเหตุเป็นผลมาจูงใจ ต้องคล้อยตามกระแสมวลชนไม่ใช่มวลชนยอมให้จูงอันนั้นเรียกว่ามวลชนทาส ไม่ใช่ประชาชนเสรี พลังอำนาจที่ 4 เกิดขึ้นจริงแล้วจากปรากฏการณ์ม็อบนกหวีด เป้าหมายขณะนี้คือลงโทษพรรคเพื่อไทย ส่วนจะหนุนส่งประชาธิปัตย์นานแค่ไหนขึ้นกับการกระทำของประชาธิปัตย์เอง ผมไม่เชื่อว่ามวลชนที่เป็นเสรีชนจะหลับหูหลับตาเชียร์ประชาธิปัตย์ตลอดไปแบบไม่ดูพฤติกรรม

เวลา 7-8 ปีมานี้สังคมไทยเปลี่ยนฐานและได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ขึ้นมา วันก่อนผมค้นดูตารางสำมะโนประชากรซึ่งล่าสุดทำไว้เมื่อปี 2553 พบตัวเลขน่าสนใจมากก็คือสมมติหากมีการเลือกตั้งใหม่ต้นปีหน้า จะมีประชากรหนุ่มสาวที่เพิ่งเลือกตั้งครั้งแรกร่วม 3 ล้านคน (อายุ18-20) และหากนับคนอายุ 25 ปีลงมาประชากรกลุ่มนี้มี 7 ล้านกว่าคน เป็นกลุ่มใหญ่ที่ชี้เป็นชี้ตายพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้งได้

เด็กรุ่นนี้ไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยความอยาก ความโลภแบบนโยบายประชานิยม เด็กรุ่นนี้ไม่ได้แบกรับภาระทางเศรษฐกิจ และยังแข็งแรง จึงไม่เข้าใจและซาบซึ้งกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ไม่สนกองทุนหมู่บ้าน และโอทอป เพราะนั่นเป็นนโยบายที่ชงขึ้นมาเพื่อจูงใจฐานเสียงชนบทเป็นสำคัญ

วันก่อนเห็นในเฟซบุ้คแว้บๆ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ สื่อรุ่นอาวุโสมองว่าเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ใน 7-8 ปีมานี้ไม่ได้ผูกพันกับทักษิณ ชินวัตรแล้ว ไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของทักษิณจึงได้เห็นเด็กเยาวชนจำนวนมากในม็อบไม่เอาพรบ.นิรโทษกรรม ผมอยากจะเสริมต่อหน่อยว่าเด็กรุ่นนี้น่ะไม่ได้ลึกซึ้งกับเล่ห์เหลี่ยมกลโกงการเมืองเท่ากับผู้ใหญ่แต่ขอดีของผ้าขาวคือมองดีชั่วถูกผิดได้ชัดเจน ข่าวคราวเรื่องจำนำข้าวเอย หรือพฤติกรรมของรัฐบาลที่ผ่านมาหนุนให้เสื้อแดงเที่ยวเกะกะระรานชาวบ้านและตำรวจอำนวยความสะดวกล้วนเป็นพฤติกรรมที่เด็กเยาวชนรุ่นใหม่รับไม่ได้ทั้งนั้น

ไม่แปลกเลยที่เด็กเยาวชนหนุ่มสาวไม่มีอารมณ์ร่วมกับรัฐบาล เพราะเด็กเยาวชนมีพื้นฐานความคิดของการขบถอยู่บ้างไม่มากก็น้อย อันนี้มันเป็นมาทุกรุ่นแหละ แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับแรงดึงดูดของ “ผู้นำ” อันที่จริงพื้นฐานหน้าตา ฐานะ ตำแหน่งการงานของยิ่งลักษณ์เหมาะมากสำหรับจะเป็น “ไอดอล” ผู้นำในฝันของเด็กรุ่นใหม่ เพราะดูกระฉับกระเฉงกว่าลุงสมชาย ลุงสมัคร แม้กระทั่งลุงแม้วที่หน้าเหี่ยวหนังใต้ตาหย่อนไปแล้ว เด็กรุ่นใหม่ชอบฮีโร่เป็นพื้นฐานแต่ยิ่งลักษณ์กลับทำตัวเองให้เด็กมันดูถูก อ่านโพยวันยังค่ำ พูดผิดพูดถูก อันไหนที่เด็กมันรู้ยิ่งลักษณ์ไม่รู้ จังหวัดหาดใหญ่งี้ ประเทศซิดนีย์หยั่งงี้ หญ้าแพรกกันดินพังเงี้ยะ ! ตัวนายกรัฐมนตรีเป็นหน้าตาของรัฐบาลผู้นำเป็นแค่นางโพยไม่ได้แสดงภูมิปัญญาอะไรให้คนในชาติภูมิใจแถมข่าวคราวรัฐบาลทำแต่ละอย่างก็เห็นอยู่ ดังนั้นจึงไม่แปลกหรอกที่เด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่จะยืนข้างม็อบไม่เอาพรบ.นิรโทษกรรม และกลายเป็นพลังไม่เอารัฐบาลในที่สุด

ดุลยภาพการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว อันนี้ผมได้เขียนในบทความชื่อ พลังอำนาจที่ 4 เปลี่ยนหมากทั้งกระดาน ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน โมเมนตัมของการเมืองขณะนี้ไม่ได้เอียงไปทางทักษิณพรรคเพื่อไทยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนหลายปีที่ผ่านมาเป็นเพราะพลังของประชาชนที่เคยเป็นไทยเฉยและกลุ่มเยาวชนคนหนุ่มสาวคนที่เพิ่งเข้าทำงาน มีแต่หน้าตาใหม่ๆ สดใสที่ออกมาเป่านกหวีด พวกตำรวจนี้แหละจมูกไวจากนี้ไปจะทุ่มแทงวิ่งหานายข้างฝั่งนี้อย่างเดียวไม่ได้เพราะการเมืองพลิกกลับมาสูสีวันดีคืนดีชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์อาจต้องไปอยู่เมืองนอกก็ได้หากว่ายังมีกระแสฮึ่มๆ แบบนี้ต่อยาว เพราะคนเสื้อแดงเองก็ไม่ได้ฮ็อตเหมือนปี 52-53 อีกแล้ว ใครล่ะจะทุ่มเทให้เพราะถูกจับเข้าคุกจริงตายจริง เข้าคุกไปแล้วไม่ปล่อยออกมาทั้งๆ ที่ออกพรก.ก็ออกได้เลยแต่ดันจับมาเป็นเชลยศึกฝ่ายตัวเองไว้เป็นตัวประกันกับสังคมนิรโทษยกเข่งช่วยนายใหญ่ด้วย

หากว่านายเต้นประกาศว่าเผาไปเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเอง คงมีคนเสื้อแดงถามกลับบ้างแล้วว่าพวกมึงแกนนำน่ะรับผิดชอบตอนไหนเพราะคนที่เผาศาลากลางยังต้องสู้คดีเป็นนักโทษอยู่เลย

ภูมิทัศน์ยุทธ-รัฐศาสตร์การเมืองไทยเปลี่ยนไปจริงๆ และมีผลกับผู้เล่นทุกฝั่ง อย่างประชาธิปัตย์ที่พยายามสงวนปากไม่ยอมรับเรื่องกระแสปฏิรูปมาตั้งแต่ต้น แต่ที่สุดก็ต้องยอมรับกระแสของประชาชนคนเสรีกลางๆ ไตรรงค์ สุวรรณคีรีพูดเมื่อคืนวันเสาร์ สุเทพ เทือกสุบรรณ เอ่ยคำปฏิรูปออกมาในคืนลอยกระทง เพราะหากประชาธิปัตย์ไม่เอ่ยคำนี้ออกมาก็จะเรียกแรงสนับสนุนจากคนกลางๆ ที่มองไปถึงสถานีสามเสน-หัวลำโพงไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดประชาธิปัตย์ก็เริ่มแสดงออกว่าจะต้องไปต่อจากสถานีบางซื่อที่ตั้งธงไว้เดิม

ตั้งความหวังไว้เต็มเปี่ยมว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากนี้ไป จะเป็นการเปลี่ยนแปลงของประชาชนเพื่อประชาชนจริงๆ นับจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มา มีแต่ผู้เล่นเทวดาในโครงสร้างส่วนบน อันมีแต่อำมาตย์ราชการขุนทหารพ่อค้านายทุนนักการเมืองทั้งนั้นที่เล่นเกมอำนาจกัน คำว่าอำนาจอธิปไตยมาจากประชาชนเอย หรืออำนาจของประชาชนเอยล้วนเป็นแค่คาถาบังหน้าก็เท่านั้น

ขอให้นกหวีดครั้งสุดท้าย ณ คืนลอยกระทง ไม่ใช่แค่สัญญาณเผด็จศึกของประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่ให้หมายถึงสัญญาณเริ่มต้นยุคสมัยแห่งการเมืองของประชาชนจริงๆ เสียที !!

อำนาจของประชาชนต้องเป็นส่วนหนึ่งในเกมอำนาจ..ที่ผู้เล่นเดิมๆ ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญได้จริงๆ เสียที !
กำลังโหลดความคิดเห็น