xs
xsm
sm
md
lg

เราจะอยู่ยากขึ้นไปทุกวัน

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

ตั้งแต่เริ่มต้นเดือนนี้ เงินในกระเป๋าของพวกเราทุกคนจะลดลงโดยยังไม่ต้องเอาไปใช้ทำอะไรทันที จากการขึ้นราคาสินค้าและบริการสำคัญพร้อมกันในวันเดียว คือ ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าทางด่วน และค่าไฟฟ้า

เราจะเริ่มรู้เห็นผลชัดเจนกันตั้งแต่เช้าวันจันทร์นี้เป็นต้นไป เริ่มตั้งแต่ขับรถออกจากบ้านมาทำงาน ใครที่ขึ้นทางด่วน ก็ต้องเตรียมเงินไว้กลมๆ เลย 50 บาท สำหรับรถเก๋ง และเพิ่มขึ้นไปอีก 5 บาท 10 บาท สำหรับรถขนาดใหญ่ขึ้น คือ รถหกถึงสิบล้อจาก 70 เป็น 75 บาท และรถยนต์เกินกว่า 10 ล้อ จาก 100 บาท เป็น 110 บาท ส่วนพวกทางด่วนที่คิดเงินตามระยะทางก็แพงขึ้นไปรายกิโลเมตร

ส่วนใครจะสั่งแก๊สใหม่ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ควักเพิ่มถังละ 7 บาท 50 สตางค์ เพราะรัฐบาลให้ปรับราคาค่าก๊าซหุงต้มขึ้นอีก 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม และขึ้นอีกเดือนละ 50 สตางค์ขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นคือ เดือนตุลา ก็จ่ายเพิ่มขึ้นอีก 15 บาท

บ้านใครแก๊สยังไม่หมด หรือไม่ได้ทำครัวเองก็รอดไปในช่วงนี้ แต่ถ้าไปฝากท้องกับอาหารถุง โรงอาหาร เต็นท์ หรือแผงลอย ก็เตรียมตัวรับราคาอาหารปรับใหม่ หรือราคาเดิมได้ของน้อยลงกันได้ตั้งแต่เช้าวันนี้ เพราะค่าก๊าซหุงต้มนี้เป็นต้นทุนสำคัญสำหรับกิจการขายอาหารแน่นอน

และจากนั้นก็รอสิ้นเดือนดูว่า ค่า FT ที่ขึ้นใหม่ จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยา ถึงธันวา ที่จะขึ้นไป 7.08 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ไฟฟ้าตามบ้านแพงขึ้นเท่าไร ก็รอลุ้นกันได้ในบิลค่าไฟฟ้าที่จะส่งมาที่บ้านท่าน

เรียกว่าเป็นสามประสานในการขึ้นค่าครองชีพ อย่างที่พวกพรรคประชาธิปปัตย์ขนานนามให้เรียกว่า “วันกระซวกค่าครองชีพแห่งชาติ”

ส่วนคำตอบเบ็ดเสร็จของรัฐบาล ก็คงเดากันไม่ยาก คือ ปรับราคาตามต้นทุนจริงบ้าง สำหรับค่าแก๊สและค่าไฟ ส่วนค่าทางด่วนนั้น ช่วยไม่ได้ เป็นสัญญาที่ให้ผู้รับสัมปทานขึ้นราคาได้ทุกห้าปีแล้ว รัฐบาลเข้าไปทำอะไรไม่ได้

เรื่อง “ต้นทุนจริง” นี้ก็น่าสงสัย ว่าต้นทุนที่ว่าจริงนั้นมัน “จริงของใคร” ก็มีตัวแทนผู้บริโภคบางกลุ่มยื่นฟ้องศาลปกครองไปแล้ว ก็อาจจะได้ไปพิสูจน์ในศาล

ส่วนเรื่องค่าทางด่วนที่ว่าสัญญามันกำหนดไว้อย่างนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ ก็สงสัยว่าเราจะมีรัฐบาลไปทำไม และในเมื่อทางด่วนมันเป็นกิจการที่ทำมาหาได้กับบริการสาธารณะที่รัฐต้องบริการประชาชน ที่ดินก่อสร้างทางด่วนนี้ก็รัฐเวนคืนมาให้ แต่ถึงเวลาก็บอกว่า เป็นกิจการของเอกชน เรื่องนี้รัฐไม่ยุ่ง!

การขึ้นราคาสินค้าและบริการปัจจัยสำคัญแบบสามประสานนี้ ก็เป็นการเพิ่มภาระให้คนชั้นกลางอย่างช่วยไม่ได้ มาตรการช่วยเหลือที่รัฐบาลมีออกมานั้นก็มุ่งช่วยคนมีรายได้น้อย ซึ่งวัดจากเกณฑ์กลุ่มคนที่ได้รับสิทธิใช้ไฟฟ้าฟรีที่จะได้รับสิทธิได้รับเงินชดเชยราคาก๊าสหุงต้ม

ส่วนค่าทางด่วนนั้นก็ คงรับไปพอๆ กัน จะไม่ใช้ก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้ใครก็รู้ว่า รถติดจริงๆ อันเนื่องมาจากนโยบายรถคันแรก ที่เพิ่มจำนวนรถยนต์บนท้องถนนมากขึ้น จนในที่สุด ทางด่วนก็เป็นทางจำเป็นไป หาไม่แล้วก็ต้องปรับตารางชีวิตให้ตื่นเช้าออกดึกให้เหน็ดเหนื่อยขึ้นกว่าเก่า

แม้จะมีรายได้เพิ่ม เป็นวันละ 300 บาทบ้าง หรือปริญญาตรีเดือนละ 15,000 บาทบ้าง แต่กับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะได้เหลือเก็บไหม เคยเห็นเด็กจบปริญญาตรีใหม่ๆ มาบ่นแถมปรึกษาในพันทิปหรือเว็บบอร์ดต่างๆ ว่า เงินเดือน 15,000 บาทแต่ค่าเช่าที่พักก็ร่วม 3,000 กว่าบาท ค่าอาหารอย่างเขียมๆ วันละ 150 บาท เดือนหนึ่งก็ 1,00-1,4000 บาทค่ารถค่าเดินทางถ้าขึ้นรถไฟฟ้าต่อรถเมล์มอเตอร์ไซค์ก็อาจจะถึงวันละร่วม 200 ไม่นับค่าใช้จ่ายอื่นๆ หรือที่ต้องจุนเจือทางบ้าน เรียกว่าโอกาสออมเงินสำหรับคนเริ่มทำงานนี่จะมีเท่าไร และจะทันกับค่าครองชีพและภาวะเงินเฟ้อหรือไม่ วันนี้ออมได้เดือนละ 2,000 บาทครบปีจะได้ 24,000 บาท แต่ในวันนั้น เงิน 24,000 บาทจะซื้ออะไรได้บ้าง หรือใช้ชีวิตไปได้กี่วัน

และแน่นอนว่า นับจากวันนี้ไป ค่าอาหารและค่าเดินทางก็จะต้องเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้าใครทำบัญชีรายจ่ายประจำวันอาจจะได้เห็นชัดเจนว่า เงินหายไปเฉยๆ สิ้นเดือนนี้ ราวๆ 500-1,000 บาท แล้วแต่ภาระของแต่ละคน

เข้าไปฟังๆ ความเห็นของพวกเสื้อแดงที่เป็นทนายหน้าหอแก้ต่างให้รัฐบาลก็ขำกร่อยๆ สรุปความมาได้สั้นๆ ว่า “เป็นกลไกราคา เป็นสัญญา เป็นระบบของมัน ที่ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ต้องขึ้นราคาแบบนี้ เป็นไปแบบนี้”

ถ้าอย่างนั้นมันต่างกับรัฐบาลราชการประจำ หรือรัฐบาลกลไกตลาด แบบที่เสื้อแดงชอบกัดแขวะพรรคประชาธิปัตย์ตรงไหนกัน

เหมือนฝ่ายเสื้อแดงไม่ว่าปัญญาชนหรือเสื้อแดงคนชั้นกลาง จะไม่ได้อยู่ในประเทศเดียวกันหรืออย่างไรไม่ทราบ ดูไม่มีใครเดือดร้อนกับการขึ้นราคาสามประสานนี้ ควักเงินจ่ายค่าทางด่วนเพิ่ม 5 บาท ค่าข้าวเพิ่ม 10 บาท แล้วไปติดตามข่าวเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ว่า ส.ว. ควรจะมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด จะได้ครองประเทศให้เรียบด้วยเผด็จการเสียงข้างมากเบ็ดเสร็จทั้งสองสภากันต่อไป

นึกถึงที่ คุณชวินทร์ ลีนะบรรจงกับอาจารย์สุวินัย ภรณวลัย ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้ามาเป็นปีๆ แล้วว่า “นรกของคนชั้นกลางกำลังจะมาเยือน” เพียงแต่อาจจะเป็นนรกที่ร้อนช้าไปหน่อย และเหมือนจะมีที่คอยให้หลบหลีกกำบังอยู่เรื่อยๆ จนหลายคนอาจจะรู้สึกว่า น้ำมันเริ่มร้อน แต่นึกไม่ออกว่ากำลังจะโดนต้มพาให้นึกถึงการทำอาหารพิสดารตำรับหนึ่งที่เรียกว่า แกงส้มลูกครอก ที่เอาลูกปลาช่อนเป็นๆ ใส่น้ำกับเครื่องแกง และผักบุ้งแล้วค่อยๆ ตั้งไฟอ่อนๆ พอน้ำเริ่มอุ่นหรือร้อน ลูกปลาก็จะว่ายเข้าไปซ่อนตัวกันในหลอดผักบุ้งหนีร้อนเพราะไม่คิดว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว กว่าลูกปลาพวกนั้นจะรู้ว่ากำลังจะโดนต้มให้สุก ก็เมื่อไปแออัดกันอยู่ในหลอดผักบุ้งจนขยับไปไหนไม่ได้อีกแล้ว

นรกของคนไทยทั้งประเทศก็อาจจะเป็นเช่นนั้น!
กำลังโหลดความคิดเห็น