xs
xsm
sm
md
lg

ปึ้ง : The Untold Story

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

ผมเป็นคนชอบอ่านประวัติชีวิตคนอีกทั้งอาชีพการทำงานก็จำเป็นต้องรู้เรื่องราวความเป็นมาของคน แต่เมื่อลองเสิร์ชข้อมูลของรัฐมนตรีสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุลที่กำลังอยู่ในความสนใจมีความรู้สึกแปลกๆ เพราะข้อมูลของรัฐมนตรีปึ้งที่เผยแพร่ในปัจจุบันทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการมีน้อยมาก แถมยังแหว่งๆ ให้หงุดหงิดใจประหนึ่งปอยขยุกขยุยผมกลางหัวล้าน

หลักๆ ก็แค่บอกว่าเป็นคนเชียงใหม่ จบวิศวะฯขอนแก่น ไปต่อโทเอกอเมริกา กลับมาทำงานเอกชนแล้วตั้งบริษัทเองจนเป็นส.ส.ปชป.แล้วก็แปรพักตร์ไปอยู่กับทักษิณ

ที่วิจิตรพิสดารไปมากกว่านั้นก็คือประวัติตามที่เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์แท็บลอยด์ไทยโพสต์อย่างภาคภูมิใจว่าเป็นญาติห่างๆ กับทักษิณ เพราะอาสาวน้องของพ่อได้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของพ่อทักษิณ ... จนประวัติส่วนนี้ถูกผนวกในวิกิพีเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติชีวิตรัฐมนตรีปึ้งไปแล้ว

สื่อมวลชนรุ่นพี่ที่นับถืออย่างคุณพิภพ พานิชย์ภักดิ์ บอกว่าภารกิจหนึ่งของสื่อคือการทำที่มาที่ไปให้ประจักษ์อย่างที่เรียกว่า วงศาวิทยาทางการเมือง (Political Genealogy) จึงขอเล่าเรื่องราวที่ไม่ได้เผยแพร่เป็นเวอร์ชั่น Untold Story ของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศของไทยเป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่งนอกเหนือประวัติชีวิตดาดๆที่แพร่อยู่ตอนนี้ - ดังนี้

รัฐมนตรีปึ้งเป็นเด็กเชียงใหม่ พ่อชื่อสุทัศน์ แม่ชื่อซุ้ยหยิ่น ชื่อซุ้ยหยิ่นน่าจะเป็นชื่อทางการเพราะคนตรอกเหล่าโจ๊วใกล้กาดหลวงเชียงใหม่รู้จักห้องแถวที่เดิมของรัฐมนตรีว่า “ร้านแม่บ๊วย” รับตัดเย็บเสื้อผ้าคนกาดหลวงตรอกเหล่าโจ๊วอายุเกิน 50 ยังจำเรื่องราวของบ้านเดิมส.ส.ปึ้งได้ดีรวมทั้งนิสัยใจคอของแม่บ๊วยด้วย โดยรวมคือพ่อตายไปนานแล้วเหลือแต่แม่บ๊วยรับจ้างตัดเย็บเสื้อส่งลูก 2 คนเรียน ปัจจุบันแม่บ๊วย-ซุ้ยเหยี่ยนเสียชีวิตแล้ว ก็แปลกดีๆ เพราะทั่นปึ้งเคยกรอกข้อมูลตอนรับตำแหน่งส.ส.พลังประชาชน พ.ศ.2551 ว่าพ่อใช้นามสกุลโตวานิช แม่นามสกุลโตวิจักษณ์ชัยกุล แต่ต่อมาในปี 2555 ที่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ได้เปลี่ยนมากรอกเป็นโตวิจักษณ์ชัยกุลทั้งคู่

ชาติตระกูลของบิดาจาก โตวานิช มาเป็น โตวิจักษ์ชัยกุล เป็นปริศนาแรกเพราะตระกูลโตวิจักษณ์ชัยกุลเป็นครอบครัวชาวจีนรุ่นเก่าแก่ของเชียงใหม่ ชาวจีนรุ่นบุกเบิกจะรู้จักเจ๊กเปงล้งเจ้าของร้านโต๋วย่งเซ้งเป็นอย่างดี

และจะว่าไปความผูกพันระหว่างตระกูลโต๋ว (โตวิจักษณ์ชัยกุล) กับตระกูล คู (ชินวัตร) น่ะเริ่มมีปะทะสังสรรค์กันมาแต่ยุคโน้นผ่านกิจการโรงหนังชื่อว่าศรีวิศาล ลูกหลานโตวิจักษณ์ชัยกุลที่มาทำโรงหนังตามการค้นคว้าของการค้นคว้าของ พ.ต.อ.อนุ เนินหาด นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นระบุชื่อ วิบูลย์ และ สุบิน โตวิจักษณ์ชัยกุล เหตุการณ์ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับนายสุทัศน์ หรือแม่บ๊วยพ่อแม่ของรัฐมนตรีปึ้งที่ห่างออกไปแต่ก็สามารถบอกว่าโตวิจักษณ์ชัยกุลสายหนึ่งเคยเกี่ยวข้องกับโรงหนังศรีวิศาลที่ต่อมาเป็นกิจการของชินวัตร

เราท่านมักจะได้ยินมาว่านายเลิศ ชินวัตรทำธุรกิจโรงภาพยนตร์ตอนทักษิณเด็กๆ ยังเคยขายตั๋วผีหน้าโรงหนัง อันที่จริงโรงหนังศรีวิศาลไม่ได้เป็นของชินวัตรมาแต่แรกเดิมชื่อโรงหนังตงก๊ก เป็นกิจการที่คนจีนรุ่นเก่าในตลาดหุ้นกันทำโดยเจ๊กเปงล้ง โตวิจักษณ์ชัยกุลก็เป็นหุ้นส่วนหนึ่ง ก็ประสาคนรุ่นเก่าที่มีอยู่แค่ไม่กี่กลุ่มตระกูลแหละครับ ย้อนกลับไปนับนิ้วนับญาติก็ผูกพันกันหมด ถ้าจะนับญาติแบบนายปึ้งเค้านับ ชินวัตร ณ เชียงใหม่ นิมมานเหมินท์ ชุติมา โอสถานุเคราะห์ ฯลฯ ตระกูลเก่าๆ ทั้งหลายก็คงต้องนับญาติหรือมีประวัติร่วมกันหมดแหละครับเพราะคนยุคนั้นแต่ละรุ่นมีพี่น้องมาก แต่ละคนก็แต่งงานโยงใยกันทั่วขนาดที่คนเสื้อแดงยังยกทักษิณ ชินวัตรให้เป็นเชื้อสายเจ้าเชียงใหม่เลยทั้งๆ ที่มีเชื้อผ่านสายแม่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

กิจการโรงหนังศรีวิศาลคงไม่ดีเท่าไหร่เพราะต่อมาก็ขายให้ร.อ.ทองแขม สิทธิพงศ์ นี่ก็ลากความสัมพันธ์ได้อีกเพราะร.อ.ทองแขม ต่อมาตั้งโรงเรียนสิริมังคลานุสรณ์ลูกชายของ ร.อ.ทองแขมชื่อ ณอคุณ เรียนปรินส์รอยฯ ตอนม.ศ.2-3 แล้วก็ไปเรียนเตรียมอุดมฯ จบวิศวะต่อมาเป็นอาจารย์ม.ช.แล้วก็ใช้ความสัมพันธ์กับการเมืองไทยรักไทยข้ามห้วยมากระทรวงพลังงานจนได้เป็นปลัดกระทรวงนั่นไง

แล้วก็มายุคศรีวิศาลที่นายเลิศ ชินวัตรพ่อของทักษิณ ชินวัตรมาซื้อไว้ กล่าวโดยสรุปนายเลิศบริหารกิจการโรงหนังแห่งนี้ต่อแล้วก็ลุ่มๆ ดอนๆ ประวัติตาดูดาวของทักษิณเองก็ว่าไว้ว่ากิจการแย่ แต่ก็โทษลูกน้องหุ้นส่วนไปซะ ประวัติบางเวอร์ชั่นโดยเฉพาะเวอร์ชั่นกระซิบบอกว่านายเลิศค้างเงินชาวบ้านมากมายจากการนี้ เฉพาะโรงหนังนี้แห่งเดียวตระกูลชินก็ไปมีสัมพันธ์ทั้งแบบบวกและลบกับตระกูลอื่นมากมาย และก็แปลกดีนะที่ต่อมาลูกหลานผู้เคยมีส่วนเป็นเจ้าของโรงหนังก็มาร่วมหอลงโรงรับใช้ลูกชายนายเลิศกันหมด

โรงเรียนมงฟอร์ตเป็นโรงเรียนที่พ่อค้าในตลาดเชียงใหม่นิยมส่งลูกหลานไปเรียนไม่เหมือนปรินส์รอยแยลวิทยาลัยที่เปิดหลากหลายส่วนยุพราชเหมือนจะเน้นไปทางข้าราชการหรือคนพื้นเมืองเสียล่ะมากกว่า นายเลิศส่งทักษิณไปเรียนเมื่อปี 2501 ตอนแรกจะเข้าป.4 แต่อธิการไม่ให้บอกว่าไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษมาให้อยู่ป. 3 ก่อนจนปลายเทอมจึงได้เลื่อนป.4 นับรุ่นเป็นมงฟอร์ต 08 อันเป็นการนับรุ่นม.ศ.3

ส่วนทั่นรองนายกฯ ปึ้ง สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ก็เข้ามงฟอร์ตหลังทักษิณ 3 ปี เรียกชื่อรุ่นเป็น MC-11 เขามีญาติคืออาเป็นบราเดอร์อยู่ที่นั่นด้วย สายสัมพันธ์ของปึ้งกับมงฟอร์ตจึงมีทั้งระดับที่ตัวเองเป็นศิษย์เก่าและมีญาติเป็นอาจารย์เก่าแก่อยู่ที่นั่น มงฟอร์ตกับปรินส์รอยฯ นี่ถือเป็นตักสิลาของภาคเหนือมีการรวมกลุ่มเหนียวแน่นที่สุดผูกพันช่วยเหลือกันและก็มีงานประจำปีที่ศิษย์เก่าต้องกลับไปโรงเรียน ของมงฟอร์ตคืองานปิ๊กมงฟอร์ตบ้านเฮา และปึ้งก็ใช้งานปิ๊กมงฟอร์ตนี่แหละที่พาตัวเองผละจากประชาธิปัตย์เข้าสู่ชายคาไทยรักไทยตั้งใจรับใช้กลายเป็นคนที่ทักษิณไว้ใจจนได้เป็นรัฐมนตรี

ซึ่งจะว่าไปบรรยากาศของมงฟอร์ตในช่วงปี 2548-2549 อันเป็นปีที่ทั่นปึ้งแปรพักตร์จากปชป.หันมาซบกับไทยรักไทยนั้นก็เป็นบรรยากาศของทักษิณฟีเวอร์ เพราะเป็นศิษย์เก่าคนแรกที่เป็นนายกรัฐมนตรี สังคมมงฟอร์ตเคยตื่นเต้นยินดีกับศิษย์เก่ารุ่น 2494 สุบิน ปิ่นขยัน (กิจสังคม) และต่อมาก็มีศิษย์เก่าที่เล่นการเมืองเป็นใหญ่เป็นโตทั้งในท้องถิ่นและระดับประเทศอีกหลายคนเช่น อนุสรณ์ วงศ์วรรณ (MC-09) ทายาทของพ่อเลี้ยงณรงค์ วงศ์วรรณแต่ก็ไม่มีใครน่าตื่นตาตื่นใจเท่าทักษิณ และทักษิณก็เพิ่งตัดถนนโลคัลโร้ดเลียบทางรถไฟเชียงใหม่-ลำพูนตัดผ่านด้านหลังมงฟอร์ตมัธยมเปิดทางเข้าออกที่สะดวกเป็นการแสดงความขอบคุณโรงเรียนเก่าทางอ้อมอีกสายหนึ่งด้วย

สายสัมพันธ์มงฟอร์ตทำให้ปึ้ง-สุรพงษ์ออกมาหน้าเวทีหอบช่อดอกไม้ยื่นคารวะให้กับทักษิณ ชินวัตรในงานปิ๊กมงฟอร์ตบ้านเฮาปีที่ทักษิณถูกพันธมิตรประท้วงขับไล่ก่อนหน้าที่จะถูกรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 เหตุการณ์นั้นเกิดหลังจากที่ปึ้ง-สุรพงษ์ ได้เป็นปาร์ตี้ลิสต์ลำดับ 41 ของปชป.ลงเลือกตั้งปี 2548 ซึ่งปีนั้นไทยรักไทยผงาดสูงสุดจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ปึ้งจึงกลายเป็นอดีตส.ส.ยาวนานมาตั้งแต่ 2544 เห็นทีจะอยู่ชายคาประชาธิปัตย์ไม่ได้แล้วและต่อมาเขาก็ทำงานการเมืองให้กับทักษิณแบบถวายหัว หลังรัฐประหารใหม่ๆ มีปึ้งนี่แหละที่วิ่งหัวซุกหัวซุนไปยื่นร้องโน่นแถลงนี่สู้ให้กับทักษิณในยุคที่คนเสื้อแดง นปก.นปช.ยังไม่เกิด

ถามว่าความสนใจหรืออุดมการณ์ทางการเมืองของปึ้ง-สุรพงษ์เป็นแบบไหนทำไมแปรพักตร์แถมฟ้องร้องให้ยุบพรรคเก่าที่ตนเคยสังกัดด้วยซ้ำ อธิบายว่าเขาสนใจการเมืองอยากได้ตำแหน่งส.ส.มานานแล้วไม่ใช่แค่ปี 2535 ที่ลงสมัครเขต 1 เชียงใหม่ประชาธิปัตย์ หากแต่ย้อนกลับไปถึงการเลือกตั้งปี 2529 เขาเคยลงสมัครส.ส.เชียงใหม่พรรคกิจสังคมในสังกัดทีมรุ่นพี่มงฟอร์ตสุบิน ปิ่นขยัน แต่ไม่ได้รับเลือก ถ้าจะถามอุดมการณ์ทางการเมืองก็คงตอบได้เพียงว่าอยากมีตำแหน่งการเมืองเป็นสำคัญ

มีคนวงในการเมืองเคยบอกเล่ากันทำนองกระซิบให้ตรวจสอบกันว่า เหตุที่ปึ้งผละจากประชาธิปัตย์แล้วก็สู้ถวายหัวให้ทักษิณขนาดที่ยอมแทงใส่พรรคที่คนเคยสังกัดกลายเป็นคนเนรคุณยื่นยุบพรรคเก่าตัวเองเพราะถูกฝ่ายตรงข้ามจับจุดสำคัญที่ชะงัดที่สุดแผลหนึ่ง ประมาณว่าเป็นเรื่องของที่ดินแปลงงามไปคร่อมทับทางน้ำอะไรทำนองนี้ เรื่องเล่ากระซิบแบบนี้ชี้ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายแบล็กเมล์ได้ผล แต่เรื่องกระซิบดังกล่าวเป็นไปในวงแคบๆและไม่มีใครตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม

บทความนี้ก็จะข้ามกอซซิปเรื่องที่ดินแปลงงามมูลค่าสูงมีปัญหาคร่อมทางน้ำไปไม่ขอกล่าวถึงอีกเพราะยังไม่ได้ตรวจสอบว่าที่ไหนแปลงใด จะขอยกประเด็นเรื่องที่มีหลักฐานชัดเจนอื่นที่ชี้ว่า ปึ้ง-สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและรองนายกรัฐมนตรีคนนี้มีเรื่องราวที่คลุมเครืออยู่หลายช่วงตอน

นักการเมืองที่ชื่อว่าปึ้ง-สุรพงษ์ เคยแสดงบัญชีทรัพย์สินเมื่อปี 2540 ครั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ แจ้งว่าเขามีทรัพย์สินรวม 64,198,029.17 บาท ฐานะไม่น้อยแต่เมื่อลงรายละเอียดพบว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นที่ดิน 40 ล้านบาท บ้านและสิ่งปลูกสร้างอื่น 18.2 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่น (พระเครื่อง เหรียญ ปืน อัญมณีฯลฯ) 6 ล้านบาท เงินสดและเงินในบัญชีนิดหน่อย 4 แสนกว่าบาท ส่วนนางอัญชลีภรรยามีประมาณ 40 ล้านบาท(ต่อมาหย่า)

เมื่อเอาเรื่องที่ว่าส.ส.ประชาธิปัตย์ชื่อปึ้ง สุรพงษ์ โชว์บัญชีทรัพย์สินเมื่อปี 2540 ว่ามีที่ดินถึง 40 ล้าน บ้าน 15 ล้านร่ำรวยกว่า 60 ล้านบาทคนเชียงใหม่ดั้งเดิมที่เห็นปึ้งตั้งแต่นุ่งขาสั้นอยู่ที่ตรอกเหล่าโจ๊วทำตาโตส่ายหน้ากันเป็นแถวเพราะรู้ว่าฐานะในยุคนั้นของแม่บ๊วยคงไม่ร่ำรวยถึงขนาดนั้น ต่างก็แปลกใจว่าส.ส.ปึ้งคนนี้เก่งกาจทำมาหากินร่ำรวยได้เร็ว

แต่ความน่าประหลาดฉงนใจเริ่มจากตอนที่เขาเข้าสู่ชายคาพรรคทักษิณเป็นส.ส.อีกครั้งในนามพลังประชาชนในปี 2551 แต่รอบนี้การแจ้งบัญชีทรัพย์สินกลับแตกต่างจากเดิมมากมาย ไอ้ที่เคยมีมากก็ลดฮวบ ไอ้ที่เคยไม่มีก็เพิ่มพรวด โดยแจ้งว่ามีทรัพย์สินรวม 53,187,447.70 บาทดูเผินๆ ก็ลดลงเล็กน้อยจากที่เคยแจ้งครั้งแรกเมื่อปี 2540 แต่เมื่อลงรายละเอียดกลับแปลกพิกล อย่างมูลค่าที่ดินที่เคยมีมากถึง 40 ล้านบาท กลับเหลือแค่ 2.26 ล้านบาทเท่านั้น บ้านและสิ่งปลูกสร้างอื่น 18.2 ล้านบาทเหลือแค่ 3.5 ล้านบาท ที่เพิ่มขึ้นมากมายคือทรัพย์สินอื่นๆประเภทพระเครื่องเหรียญปืนจากเดิม 6 ล้านกลายเป็น 16 ล้าน

บ้านที่เคยแจ้งปปช.เมื่อปี 2540 ราคา 15 ล้านรวมสิ่งปลูกสร้างอื่นอีก 3 ล้านกว่าหายไป ลดขนาดลงฉับพลันเหลือแค่บ้านราคา 3.5 ล้านบาท – ความร่ำรวยของทั่นปึ้งไฉนยืดหดได้อะไรปานนั้น !

ที่น่าสนใจที่สุดคือคือเขาแจ้งว่ามีที่ดินเป็นของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมูลค่า 26 ล้านกว่าบาท ซึ่งต่อมาภายหลังในการแจ้งรายการทรัพย์สินต่อๆ มาเขาลงรายละเอียดว่าเป็นที่ดินโฉนดจำนวน 2 แปลงขนาด 1 ไร่ 2 งานกว่าๆ รวมแล้วเป็น 3 ไร่กว่าๆ เป็นชื่อของลูกชายแปลงหนึ่ง และลูกสาวอีกแปลงหนึ่ง

ที่ดินแปลงงาม 3 ไร่กว่านี้อยู่ที่ ต.ช้างเผือก อ.เมือง เชียงใหม่ ซึ่งเป็นแปลงเดียวกับที่ตั้งของคฤหาสน์หลังใหญ่ของนายสุรพงษ์นั่นเอง โดยได้ระบุไว้ในรายการว่า ได้มาเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2548

ย้อนทบทวนห้วงเวลาที่ปึ้ง-สุรพงษ์ได้ที่ดินแปลงงาม 2 โฉนดต่อกันเนื้อที่ 3 ไร่กว่ามูลค่า 26 ล้านกว่าบาทโดยใส่เป็นชื่อเป็นของบุตร 2 คนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะที่ว่า เขาได้มาเมื่อ 21 ก.พ.2548 นั้นเป็นช่วงเดียวกับการเลือกตั้งใหญ่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งครั้งนั้นเขาเป็นปาร์ตี้ลิสต์ลำดับ 41 ประชาธิปัตย์ไม่ได้รับเลือก

6 กุมภาพันธ์ 2548 เลือกตั้งใหญ่ à 21 กุมภาพันธ์ 2548 ซื้อที่ดิน 26 ล้านบาทกลางเมืองสร้างคฤหาสน์ในชื่อลูก

น่าสนใจเพิ่มไปอีกว่าซื้อด้วยเงินสด !

ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจยิ่งกว่าตรงที่เอาเงินสดๆ จากไหนมาซื้อ ?

จะว่าไปแล้วที่ดินโฉนด 2 แปลงติดกันในเขต ต.ช้างเผือกที่ได้มาหลังเลือกตั้งสดๆร้อนๆในปี 2548 ต่อมามีการล้อมรั้วเป็นผืนเดียวกันกลายเป็นคฤหาสน์งามของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในปัจจุบันซึ่งได้แจ้งเป็นชื่อครอบครองของลูก จะว่าไปที่ดินและบ้านดังกล่าวเปรียบเสมือน “ไข่จงอาง” หัวใจของทรัพย์สมบัติของอาเสี่ยปึ้งเลยก็ว่าได้

วงการเมืองมีเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายมากมาย การดึงศัตรูมาเป็นมิตร หรือให้มารับใช้มีหลายวิธี หนึ่งคือกล่อมด้วยเหตุผลดีชั่ว หนึ่งคือเอาเงินฟาดหัว อีกหนึ่งคือข่มขู่ให้กลัว มีตำนานการเมืองเล่าขานการที่นักการเมืองแบล็กเมล์ข้าราชการที่มีรอยด่างเพื่อให้มารับใช้ หรือแม้แต่ไปขุดหารอยแผลของฝ่ายตรงข้าม ข้อมูลอันเป็นรอยแผลดังกล่าวสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งรอเล่นงานในจังหวะเหมาะสม หรือการแบล็กเมล์ข่มขู่เพื่อใช้เป็นพวก

การเมืองน่ะเล่นกันทุกวิธี คนในไทยรักไทยเคยเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ส.ส.สอบตกปึ้งแปรพักตร์เข้ามาสังกัดไทยรักไทย-พลังประชาชน แล้วก็สนิทสนมพูดคุยกับปกรณ์ บูรณุปกรณ์ ซึ่งเป็นอดีตคู่แข่งเก่าครั้งที่ปึ้งเคยลงสมัครเชียงใหม่เขต 1 ปี 2544 พ่ายแพ้ต่อปกรณ์ ไทยรักไทยขาดลอย

ปกรณ์ มงฟอร์ตรุ่นน้อง MC-16 คงเห็นว่าไหนๆ มาเป็นพวกเดียวกันแล้วเลยโม้ให้รุ่นพี่ปึ้ง MC-11 ฟังว่า ตอนเลือกตั้งน่ะ พี่ทำอะไรหรือจะไปไหนตนรู้หมด เพราะตนได้วางสายไว้ข้างกายของปึ้ง-สุรพงษ์ จะขยับยังไงรู้หมด เรื่องราวดังกล่าวเป็นแก๊กกระบวนท่าการเมืองเล็กๆ น้อยๆ ที่รับรู้ในสำนักงานไทยรักไทยสาขาลอยเคราะห์กันอยู่ช่วงหนึ่งก่อนที่ไทยรักไทยจะถูกยุบ

ส่วนที่ดินโฉนด 2 แปลงต่อกัน 26 ล้านบาทจะได้มายังไงตอนไหนหรือจะเกี่ยวจะหรือไม่เกี่ยวกับความกระซิบว่าด้วยปัญหาที่ดินคร่อมทางน้ำหรือไม่ ?เกี่ยวกับรอยแผลที่มีผู้ล่วงรู้หรือไม่ ? บทความนี้จะไม่ขอตอบเพราะไม่ทราบ คนตอบได้คงจะมีไม่กี่คนปัญหาคือจะตอบหรือเปล่าเท่านั้นเอง

เรื่องราวที่เล่ามาเหล่านี้แม้จะไม่สมบูรณ์แบบไร้รอยต่อ แต่ก็คงเติมเต็มปริศนาความเป็นมาของนักการเมืองเชียงใหม่รองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พอสมควร อย่างน้อยก็เป็น The Untold Story ที่เล่าเรื่องละเอียดกว่าประวัติที่แสดงอยู่ที่พรรคเพื่อไทย กระทรวงการต่างประเทศ หรือแม้แต่วิกิพีเดียนำเสนออยู่ตอนนี้.



กำลังโหลดความคิดเห็น