ก่อนการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การจัดทำงบประมาณครั้งนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส เพราะได้ทำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาเป็นหลัก อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการพัฒนาประเทศเพื่ออนาคต ดังนั้นเราจะใช้งบประมาณด้วยความระมัดระวังและคำนึงถึงเรื่องวินัยทางการเงินการคลังด้วย สำหรับกรอบขาดดุลงบประมาณมีการขาดดุลลดลงตามแนวทางของรัฐบาลที่แล้ว และจัดสรรงบประมาณให้เต็มที่ตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ตรงนี้ถือเป็นหลักใหญ่ ส่วนที่เหลือคือเรื่องของการลงทุน ซึ่งวันนี้เราต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในฐานะประเทศที่จะก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ถ้ายังไม่มีการปรับปรุงหรือพัฒนาในโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศก็จะอยู่ในอันดับท้ายๆ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นเรามีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณส่วนหนึ่งลงทุนเพื่ออนาคตและสามารถแข่งขันได้ ซึ่งการลงทุนต้องรักษาวินัยการเงินการคลังด้วย
สำหรับระยะเวลาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯ นั้นเบื้องต้นวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาลหารือกันว่า จะใช้เวลาในการประชุมเป็นเวลา ๓ วัน ซึ่งเชื่อว่าถ้ามีการอภิปรายอยู่ในประเด็นก็น่าจะเพียงพอ
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ กล่าวว่า การควบคุมการประชุมหากมีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้น ตนก็จะยึดข้อบังคับเป็นหลักและฝ่ายค้านก็ได้ให้สัมภาษณ์แล้วว่า จะมีการอภิปรายอย่างสร้างสรรค์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายฯ ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเน้น ๒ เรื่อง คือ ๑.การกู้เงินมากมายมหาศาลเพื่อให้ดูว่างบประมาณขาดดุลไม่มาก สะท้อนให้เห็นความไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารงานแก้ปัญหาทำให้ภาระหนี้สินของประเทศสูงขึ้น สุดท้ายอาจมีปัญหาวินัยการเงินการคลังเหมือนหลายประเทศและยังไม่มีความชัดเจนในการหารายได้เข้าประเทศ ๒.ความไม่โปร่งใสในการจัดสรรงบประมาณที่ไม่มีความรัดกุมพอ จนอาจกระทบวินัยการเงินการคลังของประเทศ โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่เป็นภาระหนี้สินมากมายมหาศาล ใช้เงินมากกว่า ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท แต่ถึงมือเกษตรกรแค่ ๑ ใน ๓ เท่านั้น ไม่รู้ว่าคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากโครงการนี้คือใคร ถ้าทำโครงการนี้ไปเรื่อยๆ จะเกิดการขาดทุนสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ อยากให้รัฐบาลได้ทบทวนโครงการนี้ นอกจากนี้โครงการจำนำมันสำปะหลัง หอมแดงก็มีแนวโน้มนำไปสู่การทุจริต
ต่อมาที่รัฐสภาก็มีการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ๒๕๕๖ โดย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวสรุปรายงานผลการพิจารณาว่าคณะกรรมาธิการมีมติปรับลดงบฯ รวม ๒๒,๐๐๓ ล้านบาท โดยการพิจารณายึดตามเป้าหมายดำเนินการและประเมินผลการดำเนินงานจริงจากงบฯ ปี๒๕๕๕โดยดำเนินการภายใต้กรอบวงเงิน ๒.๔ ล้านล้านบาท หากมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะอย่างไรก็พร้อมรับฟัง
นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า รัฐบาลตั้งงบฯ ปี ๒๕๕๖ ไว้สูงถึง ๒.๔ ล้านล้านบาท ถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยประมาณการณ์รายรับไว้ที่ ๒.๑ ล้านล้านบาท หมายความว่าตั้งงบขาดดุลถึง ๓ แสนล้านบาท ที่สุดก็จะกลายเป็นภาระประชาชน ไม่เคยมีรัฐบาลไหนตั้งจัดเก็บภาษีมากเท่ารัฐบาลนี้ ก็หวังว่าจะมีความยุติธรรมทั้งการจัดเก็บและการนำไปใช้ แต่ดูแล้วรัฐบาลนี้มีความยุติธรรมน้อย จากนโยบายปรับลดภาษีนิติบุคคลเดิมอยู่ที่ ๓๐% ปรับลดเหลือ ๒๓% ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ ๑.๕ แสนล้านบาท และอนาคตตั้งเป้าจะลดลงมาอยู่ที่ ๒๐% ซึ่งคนกลุ่มนี้ที่ได้ประโยชน์เป็นคนกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศ เมื่อนายทุนไม่ต้องเสียภาษี ใครจะรับภาระก็ต้องเป็นประชาชน เมื่อรัฐบาลยังคง
เพิ่มค่าใช้จ่ายก็ต้องกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น จัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น
นายกิติรัตน์ ชี้แจงว่ายอมรับการตั้งงบปี ๕๖ มียอดสูงเป็นประวัติการณ์แต่สูงจากปี ๕๕ เพียง ๒หมื่นล้านบาทเท่านั้น เป็นการเพิ่มตามรายจ่ายที่จำเป็น เชื่อมั่นว่าจะดำเนินนโยบายการคลังอย่างมีวินัยและมีรายได้อยู่ที่ ๒.๑ ล้านล้านบาท โดยไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน อาทิ การขยายฐานภาษีซึ่งตามกรอบสามารถทำให้ส่วนการลดภาษีนิติบุคคล ความจริงแล้วอัตราภาษีที่ไทยเก็บถือเป็นอัตราภาษีที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับต่างประเทศ การลดภาษีให้เอกชนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แข่งขันได้ ไม่ได้มองว่าเป็นการช่วยนายทุนและเห็นว่าไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร การเก็บภาษีแม้จะเก็บมากขึ้น แต่รัฐบาลได้ขยายฐานภาษีซึ่งที่สุดแล้วจะนำไปสู่การลดภาษีของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในอนาคต
ขณะที่นายสมเกียรติ สิทธิอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่ารัฐบาลล้มเหลวในโครงการช่วยเหลือเกษตรกรทั้งโครงการรับจำนำข้าวที่ชาวนาไม่ได้รับอานิสงส์เลย นโยบายนี้มีการสวมสิทธิ์ ไม่น้อยกว่า ๓ ล้านตัน ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังตรวจสอบอยู่ โครงการนี้ถูกประจานไปทั่วโลก รัฐบาลจะปัดความรับผิดชอบไปไม่ได้
สำหรับระยะเวลาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯ นั้นเบื้องต้นวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาลหารือกันว่า จะใช้เวลาในการประชุมเป็นเวลา ๓ วัน ซึ่งเชื่อว่าถ้ามีการอภิปรายอยู่ในประเด็นก็น่าจะเพียงพอ
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ กล่าวว่า การควบคุมการประชุมหากมีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้น ตนก็จะยึดข้อบังคับเป็นหลักและฝ่ายค้านก็ได้ให้สัมภาษณ์แล้วว่า จะมีการอภิปรายอย่างสร้างสรรค์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายฯ ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเน้น ๒ เรื่อง คือ ๑.การกู้เงินมากมายมหาศาลเพื่อให้ดูว่างบประมาณขาดดุลไม่มาก สะท้อนให้เห็นความไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารงานแก้ปัญหาทำให้ภาระหนี้สินของประเทศสูงขึ้น สุดท้ายอาจมีปัญหาวินัยการเงินการคลังเหมือนหลายประเทศและยังไม่มีความชัดเจนในการหารายได้เข้าประเทศ ๒.ความไม่โปร่งใสในการจัดสรรงบประมาณที่ไม่มีความรัดกุมพอ จนอาจกระทบวินัยการเงินการคลังของประเทศ โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่เป็นภาระหนี้สินมากมายมหาศาล ใช้เงินมากกว่า ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท แต่ถึงมือเกษตรกรแค่ ๑ ใน ๓ เท่านั้น ไม่รู้ว่าคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากโครงการนี้คือใคร ถ้าทำโครงการนี้ไปเรื่อยๆ จะเกิดการขาดทุนสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ อยากให้รัฐบาลได้ทบทวนโครงการนี้ นอกจากนี้โครงการจำนำมันสำปะหลัง หอมแดงก็มีแนวโน้มนำไปสู่การทุจริต
ต่อมาที่รัฐสภาก็มีการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ๒๕๕๖ โดย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวสรุปรายงานผลการพิจารณาว่าคณะกรรมาธิการมีมติปรับลดงบฯ รวม ๒๒,๐๐๓ ล้านบาท โดยการพิจารณายึดตามเป้าหมายดำเนินการและประเมินผลการดำเนินงานจริงจากงบฯ ปี๒๕๕๕โดยดำเนินการภายใต้กรอบวงเงิน ๒.๔ ล้านล้านบาท หากมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะอย่างไรก็พร้อมรับฟัง
นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า รัฐบาลตั้งงบฯ ปี ๒๕๕๖ ไว้สูงถึง ๒.๔ ล้านล้านบาท ถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยประมาณการณ์รายรับไว้ที่ ๒.๑ ล้านล้านบาท หมายความว่าตั้งงบขาดดุลถึง ๓ แสนล้านบาท ที่สุดก็จะกลายเป็นภาระประชาชน ไม่เคยมีรัฐบาลไหนตั้งจัดเก็บภาษีมากเท่ารัฐบาลนี้ ก็หวังว่าจะมีความยุติธรรมทั้งการจัดเก็บและการนำไปใช้ แต่ดูแล้วรัฐบาลนี้มีความยุติธรรมน้อย จากนโยบายปรับลดภาษีนิติบุคคลเดิมอยู่ที่ ๓๐% ปรับลดเหลือ ๒๓% ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ ๑.๕ แสนล้านบาท และอนาคตตั้งเป้าจะลดลงมาอยู่ที่ ๒๐% ซึ่งคนกลุ่มนี้ที่ได้ประโยชน์เป็นคนกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศ เมื่อนายทุนไม่ต้องเสียภาษี ใครจะรับภาระก็ต้องเป็นประชาชน เมื่อรัฐบาลยังคง
เพิ่มค่าใช้จ่ายก็ต้องกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น จัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น
นายกิติรัตน์ ชี้แจงว่ายอมรับการตั้งงบปี ๕๖ มียอดสูงเป็นประวัติการณ์แต่สูงจากปี ๕๕ เพียง ๒หมื่นล้านบาทเท่านั้น เป็นการเพิ่มตามรายจ่ายที่จำเป็น เชื่อมั่นว่าจะดำเนินนโยบายการคลังอย่างมีวินัยและมีรายได้อยู่ที่ ๒.๑ ล้านล้านบาท โดยไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน อาทิ การขยายฐานภาษีซึ่งตามกรอบสามารถทำให้ส่วนการลดภาษีนิติบุคคล ความจริงแล้วอัตราภาษีที่ไทยเก็บถือเป็นอัตราภาษีที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับต่างประเทศ การลดภาษีให้เอกชนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แข่งขันได้ ไม่ได้มองว่าเป็นการช่วยนายทุนและเห็นว่าไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร การเก็บภาษีแม้จะเก็บมากขึ้น แต่รัฐบาลได้ขยายฐานภาษีซึ่งที่สุดแล้วจะนำไปสู่การลดภาษีของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในอนาคต
ขณะที่นายสมเกียรติ สิทธิอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่ารัฐบาลล้มเหลวในโครงการช่วยเหลือเกษตรกรทั้งโครงการรับจำนำข้าวที่ชาวนาไม่ได้รับอานิสงส์เลย นโยบายนี้มีการสวมสิทธิ์ ไม่น้อยกว่า ๓ ล้านตัน ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังตรวจสอบอยู่ โครงการนี้ถูกประจานไปทั่วโลก รัฐบาลจะปัดความรับผิดชอบไปไม่ได้