ถ้าให้ยกตัวอย่างโครงการที่จัดขึ้นแล้วนักการเมืองอิ่มหมีพีมันถ้วนหน้าซ้ำรอบเดียวไม่พอยังมีอิ่มเด้งสองเด้งสาม ทำผิดกฎหมายเย้ยฟ้าท้าดินก็ไม่เป็นไรจะต้องมีชื่อโครงการพืชสวนโลกรวมอยู่ด้วยแน่นอน
พืชสวนโลกครั้งแรกเมื่อปลายปี 2549 ใช้เงินลงทุนไปกว่า 3,500 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างตกแต่งสถานที่ เฉพาะงบจัดการก็เป็นพันล้านมีเงื่อนงำมากมายแต่มีรายได้ตอบกลับ 174 ล้านบาท มารอบนี้ลงไปอีก 1,000 ล้านกลมๆ ได้เม็ดเงินจริงกลับมาหลักแสนละมั้ง ??
พวกนักการเมืองมักอ้างเสมอว่าผลกำไรที่แท้จริงมีมากกว่า 174 ล้านที่เป็นตัวเงินเพราะมีนักท่องเที่ยวมาพักมาจับจ่าย พูดเหมือนกับคนอื่นโง่งมหนักหนา วิธีการทำมาหากินที่ง่ายที่สุดของนักการเมืองไทยคือจัดอีเวนท์มีงานใหญ่ๆ มาลงประเภทแข่งขันกีฬา งานแสดงสินค้า งานประชุม ฯลฯ เพราะจัดแล้วไม่เหลือหลักฐานอะไรให้เอาผิดแต่เจ้างานพืชสวนโลกมันไม่เหมือนงานอื่นๆ เพราะเมื่องานเสร็จสิ้นไปแล้วยังเหลือแต่พื้นที่งานยังตั้งโด่เด่อยู่
ใครว่าทักษิณเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล เพราะตอนที่อนุมัติให้จัดพืชสวนโลกกลับไม่ได้คิดรองรับว่าจัดเสร็จแล้วจะเอายังไงต่อ จะบริหารจัดการยังไงพอรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์เข้ามาจึงต้องมีมติครม.โอนให้สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน)รับไปจัดการ แล้วก็ทิ้งร้างๆ เอาไว้นานเพราะต้องรอถ่ายโอนมอบงาน ฯลฯ
ไม่เหมือนประเทศจีน มณฑลยูนนานเคยเป็นเจ้าภาพจัดพืชสวนโลกเมื่อปี 1999 ก่อนหน้านั้นเขามีแผนพัฒนาอุตสาหกรรมไม้ตัดดอกจนสามารถถีบตัวเองเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งแทนเนเธอร์แลนด์แล้วเขาก็จัดงานเพื่อประกาศศักยภาพให้โลกรับรู้
จัดงานพืชสวนโลกแล้วเสร็จเขาก็เอาพื้นที่มาแสดงโชว์ต่อขายบัตรให้นักท่องเที่ยวกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่เก็บค่าชมเข้ากระเป๋า สะท้อนว่าเวลาเขาลงทุนทำงานใหญ่เขามองไปถึงเบื้องหลังคือให้งานช่วยฉุดดึงอุตสาหกรรมภาคเกษตรของเขาขึ้นมา เสร็จงานแล้วยังใช้เป็นตัวดึงดูดทางด้านท่องเที่ยว...วางแผนล่วงหน้าเสร็จสรรพ
แต่พืชสวนโลกของทักษิณ เนวิน สุดารัตน์ หาได้เป็นแบบจีนไม่ ... จนงานจะเริ่มอยู่รอมร่อก็ไม่มีใครรู้ว่าเสร็จงานแล้วจะเอาไงต่อ ใครจะบริหารเอาเงินจากไหนบ้างก็บอกว่าโอนให้ท้องถิ่นดูแล ท้องถิ่นร้องเจี๊ยกบอกว่าต้องให้เงินค่าดูแลเดือนละ 2 ล้านมาด้วย
เอาเป็นว่าพื้นที่ดังกล่าวตกทอดมาถึงรัฐบาลต่อๆ มาซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาของเสี่ยบรรหารได้เข้าร่วมรัฐบาลทุกขั้วมาโดยตลอดรับมาดูแลจึงเกิดไอเดียจัดงานพืชสวนโลกอีกครั้งจัดซ้ำตรงพื้นที่เดิม เนื้อหางานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิม เกษตรกรก็ไม่เคยได้ประโยชน์อะไรเหมือนเดิม และจัดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอาพื้นที่ไปทำอะไรต่อเหมือนเดิม
มีข่าวออกมาว่ารัฐมนตรีธีระ วงศ์สมุทรของพรรคปลาไหล โต้เถียงกับรัฐมนตรีเพื่อไทยเช่นปลอดประสพ บุญทรง ฯลฯ เรื่องของบประมาณทำพืชสวนโลกเพิ่มเติม แล้วก็โม้ว่าจะได้เงินกำไรมากกว่าจัดรอบที่แล้ว (174ล้าน) เอาเข้าจริงได้กำไรทางบัญชี 50 กว่าล้านแบบน่าเกลียด เพราะเป็นกำไรจากสปอนเซอร์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน
ส่วนงบประมาณจัดงานไม่นับงบทางอ้อมผ่านกระทรวงเกษตรฯ ใช้ไปร่วม 1,000 ล้านหายวับไปกับงานอีเวนท์ (อีกแล้วครับท่าน)
นักการเมืองนับจากไทยรักไทย เป็นต้นมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันนั่งทับขี้พืชสวนโลกทำผิดกฏหมายมาทุกรัฐบาล เพราะยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนเขตอุทยานแห่งชาติบนพื้นที่พืชสวนโลกออกมาอย่างเป็นทางการ เพราะเพิ่งมีมติครม.เมื่อ 27 ธ.ค.2554 ในรัฐบาลเห็นชอบร่างพรฎ.ดังกล่าว ก็ในเมื่อที่ตรงนั้นยังเป็นอุทยานแห่งชาติเอาพืชพรรณต่างถิ่นอะไรเข้าไป ไปขุดบ่อ ไปปลูกสร้างย่อมผิดทั้งหมด
อธิบดีที่ชอบไล่จับชาวบ้านรุกอุทยานหนักหนา ไม่รู้เลยเรอะว่าที่เชิงดอยสุเทพมีการบุกรุกเขตอุทยานเป็นพันไร่ทั้งไนท์ซาฟารีและพืชสวนโลก หลักฐานเห็นอยู่โทนโท่คือมติครม.ให้เร่งดำเนินการเพิกถอน
ความผิดสำเร็จไปแล้ว ! แต่ทำไงได้..การทำผิดกฏหมายดังกล่าวเกิดในยุคที่นักการเมืองเหิมเกริม เหิมอำนาจคิดจะทำอะไรก็ได้กฏหมายไม่เกี่ยว แล้วเป็นยังไง ผลของมันทำให้รัฐบาลต่อๆ มาต้องมานั่งไล่เช็ด ตั้งแต่ยุคสุรยุทธ์ อภิสิทธิ์ มาจนถึงยิ่งลักษณ์ ต้องมาสาละวนกับพรฎ.เพิกถอนเขตอุทยานฯ
หลักฐานมัดขนาดนี้ปลอดประสพคนปากดี จะยอมรับหรือยังว่าไนท์ซาฟารีรุกเขตอุทยานแห่งชาติในยุคที่ตนเองเป็นปลัดกระทรวงทรัพย์ฯ และทำผิดกฏหมายเสียเอง !
ตำนานเรื่องพืชสวนโลกจึงเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับการทำผิดกฏหมายและการทำมาหากินกับอีเวนท์ตามสไตล์นักการเมืองไทยมาตั้งแต่ต้น
แนวคิด F1-พรรคปลาไหล
ข่าวคราวเรื่องพรรคบรรหารจะจัดแข่งรถสูตร 1 หรือฟอร์มูล่าวันมีมาตั้งแต่ปลายปี ตอนแรกจะสร้างสนามเองต่อมาจะจัดที่ถนนราชดำเนินก็ว่ากันไปเพราะยุคนี้เขาเปิดกว้างให้ใช้ Street Circuit มากขึ้นๆ สิงคโปร์เอาถนนรอบมาริน่าเบย์มาจัดแข่ง F1 กลางคืนเพื่อให้เหมาะกับเวลาถ่ายทอดสดประสบความสำเร็จ มาเลเซียก็ปรับเวลาสนามเซปังของเขาตาม ขณะนี้ประเทศเอเชียเป็นเจ้าภาพแข่ง F1 กันจนเกร่อทั้งการ์ต้า เอมิเรต บาห์เรน ญี่ปุ่น เป็นยุคของการขยาย F1 สู่เอเชีย
ในทางเศรษฐศาสตร์การเป็นเจ้าภาพอีเวนท์แข่งรถก็คึกคักดีเพราะ F1 เป็น “ธุรกิจกีฬา” ที่มีคนดูมากเป็นอันดับสามของโลกรองจากโอลิมปิคและฟุตบอลโลก แล้วมันก็แข่งกันแค่อาทิตย์เดียว (รอบจริง 3 วัน) ถ้ามีที่ทางเหมาะสมเช่นผ่ากลางเมืองสุพรรณบุรี หรือแถวจรัลสนิทวงศ์ก็เหมาะที่จะไปจัด
พรรคปลาไหลคิดง่ายๆ แบบเข้าข้างตัวเองพอเกิดเหตุบาห์เรนมีปัญหาประท้วงอาหรับสปริงจนต้องเลื่อนแข่ง F1 รอบที่ผ่านมา มีภาพข่าวเบอร์นี่ เอคโคสโตน เจ้าของลิขสิทธิ์ F1 ไปทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่นั่นจึงเข้าใจว่าน่าจะมีการนำเสนอปัญหาผลกระทบจากการเมืองมาถึงผู้ที่พยายามไปติดต่อขอสิทธิ์
ชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีท่องเที่ยวกีฬาก็เลยกล้าประกาศผ่านสื่อว่าอยากจัดที่พืชสวนโลกเชียงใหม่แทนที่ถนนราชดำเนินเพราะเกรงปัญหาประท้วงทางการเมือง .. เล่นกันง่ายๆ แบบนี้เลย
ไอ้พวกนักการเมืองคิดเป็นแต่อีเวนท์กับเงินทองคิดเรื่องผลกระทบกับชาวบ้าน กับสิ่งแวดล้อมพืชสัตว์ไม่เป็น เพราะที่ตรงนั้นติดกับไนท์ซาฟารีเสียงขนาดเฉลี่ย 105-110 เดซิเบล แล่นกันตลอดสัปดาห์ย่อมกระทบถึงสัตว์ที่อยู่ที่นั่น (ซึ่งเป็นเงินภาษีของเราอีกนั่นแหละที่ไปซื้อมา)
ถ้าชุมพลและบรรหาร ตลอดถึงคนชาติไทยแน่จริง เอามั้ยละ ให้เปิดลำโพง 110 เดซิเบลละแวกบ้านเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ฉันใดก็ฉันนั้น นี่ไม่นับรวมคาร์บอนไดออกไซด์ เขม่าควันทั้งหลายจากการแข่งขันซึ่งเกิดในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
นักการเมืองไทยทำผิดกฏหมายเองไม่เป็นไร เพราะจนบัดนี้พรฎ.เพิกถอนเขตอุทยานฯ ก็ยังเป็นแค่ “ร่าง” (ตามมติ 27/12/54) เอาล่ะ ในรายละเอียดอาจมีคนบอกว่าเป็นพื้นที่ไนท์ซาฟารีลักไก่มาสวมในมติครม.แล้วใช้คำให้กำกวมว่าเป็นพืชสวนโลก แต่ที่สุดแล้วที่ตรงนั้นเป็นเขตต่อเนื่องกับเขตอนุรักษ์ ที่ควรจะคิดพิจารณาผลกระทบให้รอบคอบกว่าปกติ
ในทางการทำมาหากินกับอีเวนท์ การเป็นเจ้าภาพจัด F1 ย่อมต้องลงทุนปรับปรุงถนน อัฒจันทร์ จุดพักรถอีกหลายสตังค์ ถือเป็นการใช้เงินต่อเนื่องไม่ขาดสายลงในพื้นที่พืชสวนโลก
ยุคทักษิณ 3,500 ล้านได้มา 174 ล้าน ยุคสุรยุทธ์จ่ายเงินเดือนฟรีๆ ให้ข้าราชการดูแลและปิดเอาไว้ มายุคสมัคร-สมชาย-อภิสิทธิ์ก็จ่ายไปฟรีๆ มายุคยิ่งลักษณ์จ่ายไป 838+300 ล้านได้กลับมาเป็นกระดาษเปล่าๆเขียนว่า53 ล้านบาท ไม่มีเม็ดเงินกลับมา
สรุปว่าตั้งแต่ปี 49 มานี้เราจ่ายไปกับพื้นที่พืชสวนโลกร่วม 5,000 ล้านบาทประเทศนี้ยังไม่ได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอันอย่างยั่งยืนเลย
แล้วนี่บรรหาร-ชุมพล ก็คิดจะเอาพื้นที่นี้ไปหาเงินหลวงมาลงต่ออีกแล้ว !!
ถ้าอยากจะจัด F1 จริงๆ ช่วยไปจัดที่อื่นได้ไหมครับ แล้วช่วยคิดหาอะไรที่มันยั่งยืนคุ้มค่าภาษีประชาชนที่ลงไปแล้ว 5 พันล้านบาทให้ได้ประโยชน์กลับคืนมาเหมือนที่ประเทศจีนเขาทำได้ไหม
จะบ้าเหรอ เอา F1 มาจัดในเขตอนุรักษ์ติดอุทยานแห่งชาติ !
จะโลภกันไปถึงไหนหา ..นักการเมือง !!!
พืชสวนโลกครั้งแรกเมื่อปลายปี 2549 ใช้เงินลงทุนไปกว่า 3,500 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างตกแต่งสถานที่ เฉพาะงบจัดการก็เป็นพันล้านมีเงื่อนงำมากมายแต่มีรายได้ตอบกลับ 174 ล้านบาท มารอบนี้ลงไปอีก 1,000 ล้านกลมๆ ได้เม็ดเงินจริงกลับมาหลักแสนละมั้ง ??
พวกนักการเมืองมักอ้างเสมอว่าผลกำไรที่แท้จริงมีมากกว่า 174 ล้านที่เป็นตัวเงินเพราะมีนักท่องเที่ยวมาพักมาจับจ่าย พูดเหมือนกับคนอื่นโง่งมหนักหนา วิธีการทำมาหากินที่ง่ายที่สุดของนักการเมืองไทยคือจัดอีเวนท์มีงานใหญ่ๆ มาลงประเภทแข่งขันกีฬา งานแสดงสินค้า งานประชุม ฯลฯ เพราะจัดแล้วไม่เหลือหลักฐานอะไรให้เอาผิดแต่เจ้างานพืชสวนโลกมันไม่เหมือนงานอื่นๆ เพราะเมื่องานเสร็จสิ้นไปแล้วยังเหลือแต่พื้นที่งานยังตั้งโด่เด่อยู่
ใครว่าทักษิณเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล เพราะตอนที่อนุมัติให้จัดพืชสวนโลกกลับไม่ได้คิดรองรับว่าจัดเสร็จแล้วจะเอายังไงต่อ จะบริหารจัดการยังไงพอรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์เข้ามาจึงต้องมีมติครม.โอนให้สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน)รับไปจัดการ แล้วก็ทิ้งร้างๆ เอาไว้นานเพราะต้องรอถ่ายโอนมอบงาน ฯลฯ
ไม่เหมือนประเทศจีน มณฑลยูนนานเคยเป็นเจ้าภาพจัดพืชสวนโลกเมื่อปี 1999 ก่อนหน้านั้นเขามีแผนพัฒนาอุตสาหกรรมไม้ตัดดอกจนสามารถถีบตัวเองเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งแทนเนเธอร์แลนด์แล้วเขาก็จัดงานเพื่อประกาศศักยภาพให้โลกรับรู้
จัดงานพืชสวนโลกแล้วเสร็จเขาก็เอาพื้นที่มาแสดงโชว์ต่อขายบัตรให้นักท่องเที่ยวกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่เก็บค่าชมเข้ากระเป๋า สะท้อนว่าเวลาเขาลงทุนทำงานใหญ่เขามองไปถึงเบื้องหลังคือให้งานช่วยฉุดดึงอุตสาหกรรมภาคเกษตรของเขาขึ้นมา เสร็จงานแล้วยังใช้เป็นตัวดึงดูดทางด้านท่องเที่ยว...วางแผนล่วงหน้าเสร็จสรรพ
แต่พืชสวนโลกของทักษิณ เนวิน สุดารัตน์ หาได้เป็นแบบจีนไม่ ... จนงานจะเริ่มอยู่รอมร่อก็ไม่มีใครรู้ว่าเสร็จงานแล้วจะเอาไงต่อ ใครจะบริหารเอาเงินจากไหนบ้างก็บอกว่าโอนให้ท้องถิ่นดูแล ท้องถิ่นร้องเจี๊ยกบอกว่าต้องให้เงินค่าดูแลเดือนละ 2 ล้านมาด้วย
เอาเป็นว่าพื้นที่ดังกล่าวตกทอดมาถึงรัฐบาลต่อๆ มาซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาของเสี่ยบรรหารได้เข้าร่วมรัฐบาลทุกขั้วมาโดยตลอดรับมาดูแลจึงเกิดไอเดียจัดงานพืชสวนโลกอีกครั้งจัดซ้ำตรงพื้นที่เดิม เนื้อหางานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิม เกษตรกรก็ไม่เคยได้ประโยชน์อะไรเหมือนเดิม และจัดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอาพื้นที่ไปทำอะไรต่อเหมือนเดิม
มีข่าวออกมาว่ารัฐมนตรีธีระ วงศ์สมุทรของพรรคปลาไหล โต้เถียงกับรัฐมนตรีเพื่อไทยเช่นปลอดประสพ บุญทรง ฯลฯ เรื่องของบประมาณทำพืชสวนโลกเพิ่มเติม แล้วก็โม้ว่าจะได้เงินกำไรมากกว่าจัดรอบที่แล้ว (174ล้าน) เอาเข้าจริงได้กำไรทางบัญชี 50 กว่าล้านแบบน่าเกลียด เพราะเป็นกำไรจากสปอนเซอร์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน
ส่วนงบประมาณจัดงานไม่นับงบทางอ้อมผ่านกระทรวงเกษตรฯ ใช้ไปร่วม 1,000 ล้านหายวับไปกับงานอีเวนท์ (อีกแล้วครับท่าน)
นักการเมืองนับจากไทยรักไทย เป็นต้นมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันนั่งทับขี้พืชสวนโลกทำผิดกฏหมายมาทุกรัฐบาล เพราะยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนเขตอุทยานแห่งชาติบนพื้นที่พืชสวนโลกออกมาอย่างเป็นทางการ เพราะเพิ่งมีมติครม.เมื่อ 27 ธ.ค.2554 ในรัฐบาลเห็นชอบร่างพรฎ.ดังกล่าว ก็ในเมื่อที่ตรงนั้นยังเป็นอุทยานแห่งชาติเอาพืชพรรณต่างถิ่นอะไรเข้าไป ไปขุดบ่อ ไปปลูกสร้างย่อมผิดทั้งหมด
อธิบดีที่ชอบไล่จับชาวบ้านรุกอุทยานหนักหนา ไม่รู้เลยเรอะว่าที่เชิงดอยสุเทพมีการบุกรุกเขตอุทยานเป็นพันไร่ทั้งไนท์ซาฟารีและพืชสวนโลก หลักฐานเห็นอยู่โทนโท่คือมติครม.ให้เร่งดำเนินการเพิกถอน
ความผิดสำเร็จไปแล้ว ! แต่ทำไงได้..การทำผิดกฏหมายดังกล่าวเกิดในยุคที่นักการเมืองเหิมเกริม เหิมอำนาจคิดจะทำอะไรก็ได้กฏหมายไม่เกี่ยว แล้วเป็นยังไง ผลของมันทำให้รัฐบาลต่อๆ มาต้องมานั่งไล่เช็ด ตั้งแต่ยุคสุรยุทธ์ อภิสิทธิ์ มาจนถึงยิ่งลักษณ์ ต้องมาสาละวนกับพรฎ.เพิกถอนเขตอุทยานฯ
หลักฐานมัดขนาดนี้ปลอดประสพคนปากดี จะยอมรับหรือยังว่าไนท์ซาฟารีรุกเขตอุทยานแห่งชาติในยุคที่ตนเองเป็นปลัดกระทรวงทรัพย์ฯ และทำผิดกฏหมายเสียเอง !
ตำนานเรื่องพืชสวนโลกจึงเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับการทำผิดกฏหมายและการทำมาหากินกับอีเวนท์ตามสไตล์นักการเมืองไทยมาตั้งแต่ต้น
แนวคิด F1-พรรคปลาไหล
ข่าวคราวเรื่องพรรคบรรหารจะจัดแข่งรถสูตร 1 หรือฟอร์มูล่าวันมีมาตั้งแต่ปลายปี ตอนแรกจะสร้างสนามเองต่อมาจะจัดที่ถนนราชดำเนินก็ว่ากันไปเพราะยุคนี้เขาเปิดกว้างให้ใช้ Street Circuit มากขึ้นๆ สิงคโปร์เอาถนนรอบมาริน่าเบย์มาจัดแข่ง F1 กลางคืนเพื่อให้เหมาะกับเวลาถ่ายทอดสดประสบความสำเร็จ มาเลเซียก็ปรับเวลาสนามเซปังของเขาตาม ขณะนี้ประเทศเอเชียเป็นเจ้าภาพแข่ง F1 กันจนเกร่อทั้งการ์ต้า เอมิเรต บาห์เรน ญี่ปุ่น เป็นยุคของการขยาย F1 สู่เอเชีย
ในทางเศรษฐศาสตร์การเป็นเจ้าภาพอีเวนท์แข่งรถก็คึกคักดีเพราะ F1 เป็น “ธุรกิจกีฬา” ที่มีคนดูมากเป็นอันดับสามของโลกรองจากโอลิมปิคและฟุตบอลโลก แล้วมันก็แข่งกันแค่อาทิตย์เดียว (รอบจริง 3 วัน) ถ้ามีที่ทางเหมาะสมเช่นผ่ากลางเมืองสุพรรณบุรี หรือแถวจรัลสนิทวงศ์ก็เหมาะที่จะไปจัด
พรรคปลาไหลคิดง่ายๆ แบบเข้าข้างตัวเองพอเกิดเหตุบาห์เรนมีปัญหาประท้วงอาหรับสปริงจนต้องเลื่อนแข่ง F1 รอบที่ผ่านมา มีภาพข่าวเบอร์นี่ เอคโคสโตน เจ้าของลิขสิทธิ์ F1 ไปทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่นั่นจึงเข้าใจว่าน่าจะมีการนำเสนอปัญหาผลกระทบจากการเมืองมาถึงผู้ที่พยายามไปติดต่อขอสิทธิ์
ชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีท่องเที่ยวกีฬาก็เลยกล้าประกาศผ่านสื่อว่าอยากจัดที่พืชสวนโลกเชียงใหม่แทนที่ถนนราชดำเนินเพราะเกรงปัญหาประท้วงทางการเมือง .. เล่นกันง่ายๆ แบบนี้เลย
ไอ้พวกนักการเมืองคิดเป็นแต่อีเวนท์กับเงินทองคิดเรื่องผลกระทบกับชาวบ้าน กับสิ่งแวดล้อมพืชสัตว์ไม่เป็น เพราะที่ตรงนั้นติดกับไนท์ซาฟารีเสียงขนาดเฉลี่ย 105-110 เดซิเบล แล่นกันตลอดสัปดาห์ย่อมกระทบถึงสัตว์ที่อยู่ที่นั่น (ซึ่งเป็นเงินภาษีของเราอีกนั่นแหละที่ไปซื้อมา)
ถ้าชุมพลและบรรหาร ตลอดถึงคนชาติไทยแน่จริง เอามั้ยละ ให้เปิดลำโพง 110 เดซิเบลละแวกบ้านเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ฉันใดก็ฉันนั้น นี่ไม่นับรวมคาร์บอนไดออกไซด์ เขม่าควันทั้งหลายจากการแข่งขันซึ่งเกิดในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
นักการเมืองไทยทำผิดกฏหมายเองไม่เป็นไร เพราะจนบัดนี้พรฎ.เพิกถอนเขตอุทยานฯ ก็ยังเป็นแค่ “ร่าง” (ตามมติ 27/12/54) เอาล่ะ ในรายละเอียดอาจมีคนบอกว่าเป็นพื้นที่ไนท์ซาฟารีลักไก่มาสวมในมติครม.แล้วใช้คำให้กำกวมว่าเป็นพืชสวนโลก แต่ที่สุดแล้วที่ตรงนั้นเป็นเขตต่อเนื่องกับเขตอนุรักษ์ ที่ควรจะคิดพิจารณาผลกระทบให้รอบคอบกว่าปกติ
ในทางการทำมาหากินกับอีเวนท์ การเป็นเจ้าภาพจัด F1 ย่อมต้องลงทุนปรับปรุงถนน อัฒจันทร์ จุดพักรถอีกหลายสตังค์ ถือเป็นการใช้เงินต่อเนื่องไม่ขาดสายลงในพื้นที่พืชสวนโลก
ยุคทักษิณ 3,500 ล้านได้มา 174 ล้าน ยุคสุรยุทธ์จ่ายเงินเดือนฟรีๆ ให้ข้าราชการดูแลและปิดเอาไว้ มายุคสมัคร-สมชาย-อภิสิทธิ์ก็จ่ายไปฟรีๆ มายุคยิ่งลักษณ์จ่ายไป 838+300 ล้านได้กลับมาเป็นกระดาษเปล่าๆเขียนว่า53 ล้านบาท ไม่มีเม็ดเงินกลับมา
สรุปว่าตั้งแต่ปี 49 มานี้เราจ่ายไปกับพื้นที่พืชสวนโลกร่วม 5,000 ล้านบาทประเทศนี้ยังไม่ได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอันอย่างยั่งยืนเลย
แล้วนี่บรรหาร-ชุมพล ก็คิดจะเอาพื้นที่นี้ไปหาเงินหลวงมาลงต่ออีกแล้ว !!
ถ้าอยากจะจัด F1 จริงๆ ช่วยไปจัดที่อื่นได้ไหมครับ แล้วช่วยคิดหาอะไรที่มันยั่งยืนคุ้มค่าภาษีประชาชนที่ลงไปแล้ว 5 พันล้านบาทให้ได้ประโยชน์กลับคืนมาเหมือนที่ประเทศจีนเขาทำได้ไหม
จะบ้าเหรอ เอา F1 มาจัดในเขตอนุรักษ์ติดอุทยานแห่งชาติ !
จะโลภกันไปถึงไหนหา ..นักการเมือง !!!