xs
xsm
sm
md
lg

2554 ปีแห่ง “อำมาตย์แอ๊บไพร่”

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

ภาพวาดพญากือนาที่ดูจงใจจะให้ละม้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ปี 2554 กำลังจะผ่านพ้นไป เป็นปกติที่สื่อจะจัดลำดับยกสถิติตั้งฉายาเพื่อเป็นการสรุปเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างนิตยสารไทม์ได้ยกให้ผู้ประท้วงเป็นบุคคลแห่งปีสะท้อนความสำคัญของเหตุการณ์การเมืองโลก ผู้สื่อข่าวประจำวงการต่างๆ ตั้งฉายาบุคคลในข่าวแบบเจ็บๆ คันๆ และตลอดสัปดาห์นี้หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ก็จะมีสรุปข่าวเด่นคนดังคนดับกันตามปกติ คอลัมน์นี้ก็จะขอโหนกระแสจัด(กะเขา)มั่ง

แวดวงการเมืองไทย, ปีพ.ศ.2554 คือปีแห่งชัยชนะของพรรคเพื่อไทยที่กวาดคะแนนเสียงเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลแน่นอนปีนี้เป็นปีที่ถดถอยของประชาธิปัตย์ตลอดถึงกลุ่มที่คนเสื้อแดงเรียกว่าเครือข่าย“อำมาตย์”หรืออำนาจเก่า

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาลึกลงไปถึง “เป้าหมาย” “จุดประสงค์” และผลตอบรับกลับมาในรูปต่าง ๆ แล้วตระกูลชินวัตรที่แม้จะส่งปู ยิ่งลักษณ์ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศได้แต่กลับยังไม่ “สมประสงค์”ต่อเป้าหมายการเมืองที่หวังไว้อย่างน้อยนายใหญ่ชินวัตรยังคงมีสถานะนักโทษหนีคดียังกลับมาเมืองไทยโดยไม่ต้องรับโทษไม่ได้ เงิน 7.8 หมื่นล้านยังไม่ได้คืน(ไม่นับรวมที่อังกฤษอายัดไว้ตามข่าวสารที่ออกมา) ไม่เพียงแค่นั้นภาพพจน์และต้นทุนการเมืองของ “ปู ยิ่งลักษณ์” ก็ดันหมดลงอย่างรวดเร็ว

ปู เป็นโมเดลผู้นำประเภท “ขึ้นเร็ว-หมดเร็ว” ที่ไม่ต้องผ่านการพิสูจน์นานช่วงที่กระแสปูแรงขึ้นแบบฉุดไม่อยู่เพราะมีปัจจัยทุกด้านรองรับแต่เมื่อมารับหน้าที่จริงก็พิสูจน์ได้ตัวเองว่าเธอเป็นแค่นักการเมืองหญิงมือสมัครเล่นกลวงๆ ธรรมดา ไม่มีใครหวังอะไรกับเธออีกแล้วกับความเป็นผู้นำที่จะสามารถ “นำ” ได้จริง ปัญหาที่ปูหมดต้นทุนเร็วกว่าที่คาดจะเป็นปัจจัยมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงปีหน้าอย่างแน่นอน

กลุ่มคนที่เก็บเกี่ยวผลพวงชัยชนะเลือกตั้งเสพน้ำผึ้งหอมหวานทางการเมืองได้เต็มปากเต็มคำเหนือกว่าใครอื่นกลับเป็นกลุ่ม “นักการเมืองอาชีพอำมาตย์และนายทุนสีแดง” ซึ่งมีทั้งนายทหาร นายตำรวจ อดีตข้าราชการ และนายทุนใหญ่ที่เข้ามาร่วมในขบวนการทักษิณ เมื่อเทียบผลที่ได้เก็บกอบเป็นกำ เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์คนกลุ่มนี้ได้กำไรมากกว่าแกนนำคนเสื้อแดงสายม็อบมากมายนัก

แกนนำม็อบแดงตู่-จตุพรเคยเป็นส.ส.อยู่แล้วตอนนี้ก็เป็นส.ส.ดีไม่ดีอาจต้องถูกปลดอีกต่างหากเรียกว่าทุนหายกำไรหด ส่วนแกนนำคนอื่นๆ เหวง เต้น ก่อแก้ว วิภูแถลง ได้เป็นส.ส.ครั้งแรกแต่ไม่ได้ตำแหน่งบริหารทางการเมืองอื่น แกนนำระดับรองลงมาก็ได้เศษเนื้อข้างเขียงเป็นข้าราชการเมืองผู้ช่วย-ที่ปรึกษารัฐมนตรีกันตามประสาเอาล่ะ ! ก็สมน้ำสมเนื้อไปทุกคนมีเงินเดือนระดับ 3 หมื่นถึงแสนกว่าดูเหมือนว่ามากแต่แท้จริงไม่มากหรอกเพราะเทียบกันไม่ได้เลยกับ “แดงอำมาตย์” หรือสายทุนที่อยู่เบื้องหลังที่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญรวมไปถึงตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจ

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ปลอดประสพ สุรัสวดี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก นี่อำมาตย์ระดับพระยาพานทองกันทั้งนั้น ยังไม่รวมเศรษฐีคหบดีอย่างธีรชัย ภูนารถนรานุบาล กิติรัตน์ ณ ระนอง สันติ พร้อมพัฒน์ พิชัย นริพทะพันธุ์ ตลอดถึงนักการเมืองอาชีพสายต่างๆ และที่สำคัญคือนายทหารตำรวจที่เป็นทีมงานเบื้องหลังการเคลื่อนไหวของขบวนการม็อบแดงเมษา-พฤษภา 2553 คนเหล่านี้มองจากมุมใดก็ไม่ควรจัดให้เป็นชนชั้นไพร่ในสังคมไม่ว่าจะจัดจากนิยามความหมายแบบใดแต่ก็โหนกระแสไพร่แต่งกายชุดไพร่ขึ้นถึงดวงดาวกันถ้วนหน้า

ที่ไม่พูดถึงไม่ได้อีกคนที่ “ได้” เต็มๆ ทั้งอำนาจวาสนาคว้าพุงปลาเพียวๆ ก็คือ “อำมาตย์แอ๊บแดง”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง โดยไม่ต้องบรรยายอะไรมาก เอาเป็นว่าอำมาตย์เป็ดเหลิมอิ่มที่สุดในบรรดาอำมาตย์แดงด้วยกัน ทั้งอิ่มอกอิ่มใจอิ่มอำนาจวาสนาและอิ่มอย่างอื่นๆ เท่าที่จะหาอิ่มได้

ตอนที่ม็อบแดงฮึ่มๆ แกนนำซ้ายได้สร้างวาทกรรม “อำมาตย์-ไพร่” ขึ้นมาจนติดปากขนาดลงไปถึงตลาดสดคิวรถมอเตอร์ไซด์ยังจำได้ว่าใครที่ไม่ใช่เสื้อแดงตอนนั้นถูกผลักให้เป็นเครือข่ายอำมาตย์กันเสียหมด ผมยังเคยประชดเลยว่าแปลกดียุคนี้มีแม่ค้าอำมาตย์ นักข่าวอำมาตย์ คนขายก๋วยเตี๋ยวอำมาตย์ ฯลฯ ความแรงของกระแสไพร่ไล่อำมาตย์แรงขนาดที่ไฮซ้อดารณี ปลัดกระทรวง นายพันนายพลและลูกขุนนางทั้งหลายฝ่ายแดงแสดงตนเป็นไพร่กันยกใหญ่

ซึ่งที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการแสดงตนเป็นไพร่ประกาศอุดมการณ์ไพร่อะไรทั้งหลายมันไม่ใช่ “เจตนารมณ์ของขบวนการ” จริงๆ มันเป็นแค่วาทกรรมเชิงยุทธวิธีเพราะไอ้คนที่แสดงตนเป็นไพร่ทั้งหลายในขณะนั้นที่สุดก็ยังคงเป็นอำมาตย์เหมือนเดิมวันยังค่ำ ยิ่งแกนนำไพร่พอได้ดีขึ้นเป็นอำมาตย์ก็หลงอำมาตย์กันทั้งนั้น ฯพณฯเจ๋ง ดอกจิกนั่นยังไงใหญ่จริงๆ ขนาดอธิบดีซี 10 ยังเป็นลูกน้องของท่าน

อธิบายให้เป็นวิชาการขึ้นมาหน่อย - เหตุการณ์ที่เชียงใหม่อย่างน้อย 2 เหตุการณ์คือการวาดรูปพญากือนาให้ละม้ายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและการอ้างว่าอดีตชาติของทักษิณเคยเป็นกษัตริย์เชียงใหม่ชื่อพระเจ้ามูลเมือง เป็นเครื่องสะท้อนอย่างชัดเจนว่าในสังคมคนเสื้อแดงที่ร่วมต่อสู้หาได้ดื่มด่ำกับอุดมการณ์ไพร่-อำมาตย์แบบที่แดงซ้ายอยากให้เป็น โลกทัศน์ของคนเสื้อแดงก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ในระบบวัฒนธรรมไทยซึ่งต่างไปจากลักษณะอารมณ์ความรู้สึกหรือเจตจำนงค์แบบปี 1789 ที่ฝรั่งเศสหรือแบบบอลเชวิค การชูวาทกรรมไพร่จึงเป็นธงนำสัญลักษณ์ของความจนความรวยที่ไม่ได้ลึกลงไปความขัดแย้งของชนชั้นเชิงโครงสร้างจริงดังนั้นแกนนำแกนตามทั้งหลายส่วนใหญ่จึงต้อง “แอ๊บ” ให้สมกับบทบาทเวลาเข้าฉากสงครามไพร่สู้กับศักดินาตามท้องเรื่อง

หนทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์อำมาตย์แอ๊บไพร่ !

และ หนทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์ไพร่ตะกายหลงวิถีอำมาตย์ !!!

นึกถึงความส่วนหนึ่งในหนังสือ “ฝรั่งศักดินา” ของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เขียนอธิบายเครื่องเคราประกอบความเป็นศักดินาฝรั่งเช่นตราอาร์มต่างๆ แล้ววกมาประชดผู้นำของไทยตอนนั้น (แม้จะไม่ระบุชื่อแต่ก็รู้กันว่าคือจอมพล ป.พิบูลสงคราม) ทำนองว่าคณะราษฎรซึ่งหมายถึงจอมพล ป.มักจะกล่าวว่าศักดินาคือพวกเจ้าไม่ดีอย่างโน้นนี้จึงต้องโค่นล้มแต่ที่สุดพฤติกรรมตัวเองกลับแสดงความเป็นศักดินาเสียเอง เช่นการออกแบบตราประจำตัวเป็นตราไก่ การสร้างธรรมเนียมให้แหวนอัศวิน (เหมือนกษัตริย์ใช้ดาบแตะบ่าตั้งอัศวินในยุโรป) ฯลฯ

ไม่ต้องอะไรมากเลยครับผมเคยเขียนถึงส.ส.อดีตสหายเข้าป่าเมืองลำพูนที่ประกาศไพร่ปาวๆ นั่นล่ะ พวกที่เข้าป่าด้วยกันเล่าว่าเคยเห็นส.ส.คนนี้นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ต่อหน้าเจ๊แดงเยาวภาเจ้าแม่เมืองเหนือ

เหอๆ การที่ผู้ชายวัยขนาดนั้นนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าน้องเจ้านายนี่โคตรอุดมการณ์ไพร่เลยเนาะ !

การโหมวาทกรรมไพร่-อำมาตย์ในช่วงปี 2553 ดูน่ากลัวในระหว่างนั้นเพราะชาวบ้านรากหญ้าจริงๆ รู้สึกได้ว่าเป็นวาทกรรมที่โดนใจคนจน และเหมารวมว่าแกนนำทั้งผองตลอดถึงคนในขบวนการล้วนแต่มีหัวใจไพร่เหมือนกันหมด แต่ก็นั่นเองที่สิ่งดังกล่าวเป็นเพียงวาทกรรมเชิงยุทธวิธีไม่ได้เป็นเจตนารมณ์เชิงอุดมการณ์เหมือนปฏิวัติฝรั่งเศสหรือบอลเชวิค ไฮซ้อดารณีต่อให้แอ๊บไพร่ยังไงแต่ที่สุดวิถีของเธอก็ยังตะกายดาราอยู่บนสวรรค์ชั้นอำมาตย์อยู่ดี ไม่ต้องพูดถึงนายทหารตำรวจที่จบอออกมาก็เป็นเจ้านายสัญญาบัตรเป็นอำมาตย์มาทั้งชีวิต

กลุ่มแดงที่ไม่ได้อะไรเลยที่สุดในปี 2554 กลับเป็นแดงที่เอางานเอาการมากก็คือกลุ่มแดงซ้ายจัดที่แกนนำหลายคนระเห็จนอนคุกในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เครือข่ายคนหนุ่มสาวฟันน้ำนมหลายคนยังไม่รู้ตัวเลยว่าถูกแดงอำมาตย์ถีบกระเด็นออกจากวงจรมาตั้งแต่ต้น หลายคนยังพร่ำเพ้อปกป้องรัฐบาลยิ่งลักษณ์อันเป็นที่รักก็เป็นลางเนื้อชอบลางยา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอุทธาหรณ์ปีใหม่บอกว่าพวกที่ชอบประกาศตัวเองเป็นพวก “ตาสว่าง” แท้จริงกลับมืดบอดยิ่งกว่าใครก็เป็นได้ เหอๆ!

ปี 2554 จึงเป็น :-

- ปีการได้อำนาจกลับคืนของตระกูลชินวัตรแต่ยังไม่ได้กินดอกผลของชัยชนะนั้นเพราะนายใหญ่ยังไม่หลุดบ่วงขณะที่ยิ่งลักษณ์ยิ่งเหมือนเครื่องจักรใกล้หมดอายุ (ระดับคะแนน-เสมอตัวยังปวดหัวอยู่บ้าง)

-เป็นปีที่แกนนำระดับบนของม็อบแดงได้ตำแหน่งการเมืองแต่ไม่ได้อำนาจบริหาร (ระดับคะแนน-ทุ่มเทให้ก็ควรได้รับผลตอบแทน)

- เป็นปีนอนคุกของแดงซ้าย แดงสยามโดนเฉดหัวทิ้ง (ระดับคะแนน-เจ็บปวดที่สุด)

- เป็นปีที่แดงซ้ายฟันน้ำนมเริ่มรู้ว่าการถูกหลอกใช้คืออะไร แต่ก็ยังร่วมขบวนชะตากรรมกับแดงอกหักซ้ำซากตั้งแต่ 2519 (ระดับคะแนน-ยังไม่รู้ตัวเองเลยไม่เจ็บปวดมาก ยังหน้าซื่อตาใสสู้เพื่อแม้วต่อ)

-เป็นปีที่ชาวเสื้อแดงผู้ภักดีพรรคเพื่อไทยรอคอยคำสัญญาหาเสียงที่ไม่เป็นจริงเพราะคำหาเสียงแบบเพื่อไทยไม่ใช่ Manifesto แบบโลกประชาธิปไตยเจริญแล้ว และเป็นปีที่คำว่า “ประชาหน้าใสร่ำรวยถ้วนหน้าประชาสุดนิยม” ยังเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ (ระดับคะแนน-แอ๊บหน้าชื่นแต่อกตรม)

- และเป็นปีแห่งการอิ่มหนำสำราญของเหล่าอำมาตย์แอ๊บไพร่ที่ไม่ต้องออกหน้า แค่โหนกระแสไพร่อำมาตย์รักคนจนเกลียดชนชั้น อยู่เบื้องหลังไม่ต้องเสี่ยงมาก (ระดับคะแนน-แฮปปี้ที่สุด)

2554...ปีนี้เป็นปีแห่งอำมาตย์นายทุนขุนศึกแอ๊บไพร่..(ใช่ปีแห่งไพร่ซะที่ไหน !)

ไชโย้ ฮิ้วววว !!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น