แม้จะพ่ายแพ้เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างสิ้นรูป แต่ปชป.ก็ยังไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าตั้งขบวนรองรับการเลือกหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคคนใหม่
อีกทั้งต้องปรับยุทธศาสตร์ของพรรคเสียใหม่ ไม่ใช่ทิ้งพรรคให้เหมือนเดิม ซึ่งจะทำให้พรรคตกต่ำไปเรื่อยๆ
แต่ก็น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ตรวจสอบดูแล้ว พรรคประชาธิปัตย์เรียนรู้น้อยมากจากการพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
ดูเหมือนพรรคการเมืองนี้จะเห็นว่า การเลือกตั้งครั้งที่แล้วเป็นเหมือนการพ่ายแพ้ปกติที่การจัดการบกพร่องหรือแพ้เพราะสู้กระแสเพื่อไทยไม่ได้
ไม่ได้แพ้เพราะตัวเองมีข้อบกพร่องที่ร้ายแรง
สิบกว่าปีที่ผ่านมาพรรคการเมืองพรรคนี้ไม่เคยชนะเลือกตั้งเลย ย่อมบ่งบอกให้เห็นว่ามันเป็นสิบกว่าปีแห่งความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
สิบกว่าปีที่มีหัวหน้าพรรคสลับกันมานำพรรคการเมืองนี้ แต่ก็ล้มเหลวทุกคน ย่อมบ่งบอกให้เห็นว่าตัวพรรคการเมืองนี้เองมีปัญหาอย่างถึงราก จึงไม่อาจครองหัวใจคนทั้งประเทศได้เลย ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ หรือเปลี่ยนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีใหม่ๆ อะไรก็แพ้ทุกครั้ง
สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ประชาธิปัตย์เรียนรู้อะไรบ้างจากการพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะจากการพ่ายแพ้ครั้งล่าสุดที่แพ้อย่างสิ้นท่าถึงเพียงนี้
เราได้คำตอบมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
ทำไมพรรคการเมืองนี้จึงไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ทั้งๆ ที่แพ้มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และพรรคก็มีนักวิชาการอยู่เป็นจำนวนมาก น่าจะสัมมนาหาเหตุผลว่าทำไมจึงแพ้ได้ยาวนานถึงเพียงนี้ได้
อย่างน้อยก็น่าจะมีเหตุผลที่ดีได้บ้าง
เราอาจหาเหตุผลพอสังเขปได้ดังนี้
ประการแรก พรรคประชาธิปัตย์ ใช้วิธีการอนุรักษ์นิยมในการหาเสียง ไม่มีรูปแบบใหม่ๆ ในการรณรงค์ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของผู้สมัครอย่างแท้จริง หรือเห็นแนวทางที่แน่ชัดว่าพรรคจะทำอะไรใหม่ๆ และจะให้อะไรกับประเทศชาติและประชาชนอย่างสร้างสรรค์
ประการที่สอง พรรคขาดยุทธศาสตร์โดยรวมสำหรับประเทศชาติ ว่าพรรคจะดำเนินงานของพรรคไปในทิศทางใดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของชาติ เป้าหมายของพรรคกับเป้าหมายของชาติไปได้ด้วยกันอย่างไร และพรรคมีนโยบายอย่างไรทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่จะทำให้ประเทศชาติก้าวเดินไปตามแผนพัฒนาอย่างมั่นคง เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นตามนโยบายของพรรค
ประการที่สาม วิธีการด่าทอที่ใช้มายาวนานก็ยังใช้เป็นกมลสันดานอีกตามเคย โดยวิธีนี้ไม่เคยใช้ได้ผล การเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น เอาให้ร้ายป้ายสี ด่าทอส่อเสียดผู้อื่น ประณามหยามเหยียดคู่ต่อสู้ทางการเมืองเป็นวิธีการสกปรกที่ปชป.นิยมใช้เสมอ และปชป.ถือว่าเป็นการ “พูดเอามัน” และกลับคือว่าประชาชนชอบฟังและชอบที่จะเชื่อ และคิดว่าจะได้คะแนนจากวิธีการพูดแบบนี้ แต่หลายครั้งนอกจากจะไม่ได้คะแนนแล้ว ผลกลับกลายเป็นตรงกันข้าม
ที่ได้คือสะใจกับพวกพื้นฐาน คือแฟนประจำของพรรคในพื้นที่พื้นฐานของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น
ประการที่สี่ พรรคนี้เป็นพรรค “ดีที่พูด” ผลงานที่ทำมักเป็นผลงานแบบราชการ หรือพึ่งราชการ ขาดผลงานที่สร้างสรรค์หรือใหม่ๆ
ประการที่ห้า การบริหารภายในพรรค มักเป็นกลุ่มบุคคลเพียงกลุ่มเดียว ไม่เปิดกว้าง
ลักษณะที่ว่านี้เป็นลักษณะประจำของพรรคการเมืองพรรคนี้มายาวนาน จนกล่าวได้ว่าพรรคนี้ขาดการพัฒนามายาวนานนับสิบๆ ปีก็ว่าได้
ดังนั้น เมื่อต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งมาสิบกว่าปี
จึงไม่น่าแปลกใจที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
น่าเสียดายมากเพราะพรรคนี้มีทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเหนือพรรคการเมืองอื่นๆ อีกมาก แต่ไม่ทราบเพราะเหตุผลใดจึงประสบชะตากรรมที่ล้มเหลวซ้ำซากอยู่เสมอ
อาจจะกล่าวได้ว่า ความพ่ายแพ้เลือกตั้งครั้งล่าสุด เป็นสัญญาณบอกเหตุว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปครั้งใหญ่ แค่การเปลี่ยนระดับหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคคงไม่พอเสียแล้ว
อีกทั้งต้องปรับยุทธศาสตร์ของพรรคเสียใหม่ ไม่ใช่ทิ้งพรรคให้เหมือนเดิม ซึ่งจะทำให้พรรคตกต่ำไปเรื่อยๆ
แต่ก็น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ตรวจสอบดูแล้ว พรรคประชาธิปัตย์เรียนรู้น้อยมากจากการพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
ดูเหมือนพรรคการเมืองนี้จะเห็นว่า การเลือกตั้งครั้งที่แล้วเป็นเหมือนการพ่ายแพ้ปกติที่การจัดการบกพร่องหรือแพ้เพราะสู้กระแสเพื่อไทยไม่ได้
ไม่ได้แพ้เพราะตัวเองมีข้อบกพร่องที่ร้ายแรง
สิบกว่าปีที่ผ่านมาพรรคการเมืองพรรคนี้ไม่เคยชนะเลือกตั้งเลย ย่อมบ่งบอกให้เห็นว่ามันเป็นสิบกว่าปีแห่งความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
สิบกว่าปีที่มีหัวหน้าพรรคสลับกันมานำพรรคการเมืองนี้ แต่ก็ล้มเหลวทุกคน ย่อมบ่งบอกให้เห็นว่าตัวพรรคการเมืองนี้เองมีปัญหาอย่างถึงราก จึงไม่อาจครองหัวใจคนทั้งประเทศได้เลย ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ หรือเปลี่ยนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีใหม่ๆ อะไรก็แพ้ทุกครั้ง
สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ประชาธิปัตย์เรียนรู้อะไรบ้างจากการพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะจากการพ่ายแพ้ครั้งล่าสุดที่แพ้อย่างสิ้นท่าถึงเพียงนี้
เราได้คำตอบมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
ทำไมพรรคการเมืองนี้จึงไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ทั้งๆ ที่แพ้มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และพรรคก็มีนักวิชาการอยู่เป็นจำนวนมาก น่าจะสัมมนาหาเหตุผลว่าทำไมจึงแพ้ได้ยาวนานถึงเพียงนี้ได้
อย่างน้อยก็น่าจะมีเหตุผลที่ดีได้บ้าง
เราอาจหาเหตุผลพอสังเขปได้ดังนี้
ประการแรก พรรคประชาธิปัตย์ ใช้วิธีการอนุรักษ์นิยมในการหาเสียง ไม่มีรูปแบบใหม่ๆ ในการรณรงค์ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของผู้สมัครอย่างแท้จริง หรือเห็นแนวทางที่แน่ชัดว่าพรรคจะทำอะไรใหม่ๆ และจะให้อะไรกับประเทศชาติและประชาชนอย่างสร้างสรรค์
ประการที่สอง พรรคขาดยุทธศาสตร์โดยรวมสำหรับประเทศชาติ ว่าพรรคจะดำเนินงานของพรรคไปในทิศทางใดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของชาติ เป้าหมายของพรรคกับเป้าหมายของชาติไปได้ด้วยกันอย่างไร และพรรคมีนโยบายอย่างไรทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่จะทำให้ประเทศชาติก้าวเดินไปตามแผนพัฒนาอย่างมั่นคง เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นตามนโยบายของพรรค
ประการที่สาม วิธีการด่าทอที่ใช้มายาวนานก็ยังใช้เป็นกมลสันดานอีกตามเคย โดยวิธีนี้ไม่เคยใช้ได้ผล การเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น เอาให้ร้ายป้ายสี ด่าทอส่อเสียดผู้อื่น ประณามหยามเหยียดคู่ต่อสู้ทางการเมืองเป็นวิธีการสกปรกที่ปชป.นิยมใช้เสมอ และปชป.ถือว่าเป็นการ “พูดเอามัน” และกลับคือว่าประชาชนชอบฟังและชอบที่จะเชื่อ และคิดว่าจะได้คะแนนจากวิธีการพูดแบบนี้ แต่หลายครั้งนอกจากจะไม่ได้คะแนนแล้ว ผลกลับกลายเป็นตรงกันข้าม
ที่ได้คือสะใจกับพวกพื้นฐาน คือแฟนประจำของพรรคในพื้นที่พื้นฐานของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น
ประการที่สี่ พรรคนี้เป็นพรรค “ดีที่พูด” ผลงานที่ทำมักเป็นผลงานแบบราชการ หรือพึ่งราชการ ขาดผลงานที่สร้างสรรค์หรือใหม่ๆ
ประการที่ห้า การบริหารภายในพรรค มักเป็นกลุ่มบุคคลเพียงกลุ่มเดียว ไม่เปิดกว้าง
ลักษณะที่ว่านี้เป็นลักษณะประจำของพรรคการเมืองพรรคนี้มายาวนาน จนกล่าวได้ว่าพรรคนี้ขาดการพัฒนามายาวนานนับสิบๆ ปีก็ว่าได้
ดังนั้น เมื่อต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งมาสิบกว่าปี
จึงไม่น่าแปลกใจที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
น่าเสียดายมากเพราะพรรคนี้มีทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเหนือพรรคการเมืองอื่นๆ อีกมาก แต่ไม่ทราบเพราะเหตุผลใดจึงประสบชะตากรรมที่ล้มเหลวซ้ำซากอยู่เสมอ
อาจจะกล่าวได้ว่า ความพ่ายแพ้เลือกตั้งครั้งล่าสุด เป็นสัญญาณบอกเหตุว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปครั้งใหญ่ แค่การเปลี่ยนระดับหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคคงไม่พอเสียแล้ว